Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line มันสุดทุกแรงกด
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 29 ก.ค. 64 00:00
- 29,371 อ่าน
นับตั้งแต่ ไมซ์สเตอร์ เทคนิค ที่ได้รับหน้าเสื่อเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของการจำหน่ายรถตรา 4 ห่วงจากเยอรมนี ภายใต้ชื่อ Audi Thailand ก็ถือเป็นขาขึ้นของรถแบรนด์นี้ในประเทศไทยทันที หลังจากที่หลายคนเข็ดเรื่องบริการจากเจ้าเก่า แต่รอบนี้ภายใต้ผู้บริหารชุดใหม่ ทำเอารถอาวดี้วิ่งกันเต็มเมืองไปหมด
ก้าวสำคัญของ Audi ในยุคนี้ คือการ “กล้า” นำเข้ารถไฟฟ้าเข้ามาขายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการโดยที่ห่างจากเวลาการเปิดตัวในระดับ World Premier ไม่นาน โดยรถไฟฟ้าคันแรกที่เข้ามาเปิดโอกาสให้คนไทยได้เป็นเจ้าของได้ ก็คือรถสไตล์อเนกประสงค์ SUV อย่าง Audi e-tron นั่นเอง
ใช้เวลาต่อมาอีกไม่นาน ก็มีการเปิดตัวรถยนต์ใหม่กับ Audi e-tron Sportback ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน แต่รอบนี้เน้นให้ดูเป็นทรงสปอร์ตหน่อยกับการจัดการท้ายให้เป็นแนวลาด ดูเพรียวลมมากกว่าเดิม รอบนี้ผมในฐานะทีมงาน AUTODEFT เลยจัดการขอยืมรถมาจาก Audi Thailand เพื่อมาทำการทดสอบเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นกลัวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
รถไฟฟ้าที่นำมาทดสอบในครั้งนี้ เป็นรุ่นย่อยเดียวที่เปิดโอกาสให้จับจองได้ กับ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line แน่นอนว่าทรงโดยรวมก็ยังออกแนว SUV อยู่เหมือนเคย แต่มันจะดูเพรียวกว่าในรุ่นปกติ เป็นการอยู่ตรงกลางของความเป็นพ่อบ้านกับการเป็นสายซิ่ง ดังนั้นผมว่าเป้าหมายของคนใช้รถสไตล์นี้ ก็คือกลุ่มที่เริ่มสร้างครอบครัวแล้ว แต่ยังอยากมีความเป็นวัยรุ่นอยู่ในบางโอกาส
ก่อนการเดินทางเพื่อรีวิวรถไฟฟ้าคันนี้ เราก็มาเริ่มทำความรู้จัก Audi e-tron Sportback 55 quattro S line กันก่อนเลย โดยขุมพลังที่ใช้ในการขับเคลื่อนนั้น ใช้เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อตามสไตล์ quattro ของทางอาวดี้ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าให้กำลังได้สูงสุด 170 แรงม้า ด้านหลังสูงสุดได้ 190 แรงม้า แต่บนรถคันนี้มี Boost Mode เพิ่มกำลังให้เพิ่มขึ้นเป็น 184 แรงม้าในด้านหน้า กับ 224 แรงม้าในด้านหลังได้ เมื่อมารวมกันแล้ว สามารถทำความแรงสูงสุดได้ 360 แรงม้าในโหมดปกติ และ 408 แรงม้าใน Boost Mode แต่ความดีงามของรถไฟฟ้า คือแรงบิดที่มีพลังมหาศาล กับ 561 นิวตันเมตรในโหมดปกติ และ 664 นิวตันเมตรใน Boost Mode ซึ่งแรงบิดมหาศาลนี่แหล่ะ ที่ทำให้การขับขี่รถไฟฟ้านั้นมันเหลือเกิน เพราะมันไม่ต้องรอรอบนั่นเอง เขาเคลมเอาไว้ว่าทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 5.7 วินาทีเท่านั้น
Audi e-tron Sportback 55 quattro S line อาศัยพลังงานในการขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 95 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งถือว่าใหญ่เอาเรื่องอยู่ โดยมีการเคลมเอาไว้ว่าสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 463 ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ซึ่งเวลาใช้จริงมันก็ไม่ถึงหรอก แต่เราจะมาดูกันว่า ของจริงจะได้เท่าไหร่กันแน่
มิติตัวรถของ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line เอาจริงนะตอนแรกที่ได้เห็นภาพจากสื่อต่างประเทศในการเปิดตัว ก็ดูไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่ แต่พอมาดูตัวจริงแล้ว เฮ้ย ใหญ่เอาเรื่องว่ะ กับขนาดตัวรถ 2189 x 4901 x 1616 มม. (กว้าง-ยาว-สูง) ถ้าให้เทียบกับคันอื่นในตลาด รถคันนี้เทียบได้กับรถ 7 ที่นั่งอย่าง Mazda CX-8 เลย (ยาว 4,900 มม. กว้าง 1,840 มม. สูง 1,730 มม.) รถไฟฟ้าคันนี้กว้างกว่าด้วยซ้ำ ล้อก็ใส่มาขนาดใหญ่มาก ก็คือขนาด 21 นิ้วรัดมาพร้อมยาง ขนาด 265/45 R21 ล้อแม็กซ์อัลลอยลายใบพัดแบบ 2 โทน สีดำกับเงินปัดเงา ตัดด้วยสีของคาลิปเปอร์สีส้มทั้ง 4 ล้อ นั่นหมายถึงทุกล้อใช้ระบบห้ามล้อแบบดิสก์เบรกนั่นเอง ด้านหน้าเป็นจานขนาด 15.7 นิ้ว ด้านหลังขนาด 13.8 นิ้ว ช่วงล่างเลือกใช้ระบบถุงลมแบบปรับระดับได้ (Audi Sports adaptive air suspension) ส่วนยางอะไหล่ที่ให้มาคือโคตรเท่ กับยางแบบไม่มีลมภายในนั่นเอง
แน่นอนว่า การออกแบบด้านหน้าของ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line ยังยึดเอารูปแบบตามสไตล์อาวดี้อยู่เช่นเคย มีการเลือกใช้สีทั้งสีตัวรถ, สีดำและสีเงินสลับกันไป กระจังหน้านาดใหญ่สีดำที่ไม่ได้เน้นการรับลมเข้าไประบายอากาศสักเท่าไหร่ จึงมีส่วนที่ทึบด้วยประมาณ 2 ใน 3 ถูกล้อมกรอบด้วยสีโครเมี่ยมเพิ่มความหรูหรา ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light staging) มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ เสริมด้วยไฟ Daytime Running Light แบบ LED มีกรอบสีดำที่มุมกันชนแต่ไม่มีไฟตัดหมอก กระจกมองข้างใช้สีตัวรถกับสีดำตัดกัน ตัวกระจกเป็นแบบตัดแสง มือจับสีเดียวกับตัวรถพร้อมระบบ Smart Entry ในทุกบาน ไฟท้ายใช้แถบไฟ LED ลากยาวจากซ้ายไปจรดขวา ประตูหลังเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ทรงท้ายลาดตามแบบ Sportback หลังคามีเสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ
ภายในของ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line นั้น ประดุจดั่งก้าวเข้าสู่ยานอวกาศ เด่นที่สุดก็คงมอบให้กับ 3 หน้าจอขนาดใหญ่ หน้าจอแรกคือหน้าปัดข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว ที่ให้ลูกเล่นสีสันแสนงดงาม ตามมาด้วยหน้าจอกลาองระบบสัมผัส ระบบ MMI Navigation plus with MMI touch response ขนาด 10.1 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบมีสายและไร้สาย ใช้งาน Apple CarPlay ได้ ส่วนด้านล่างเป็นจอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว เอาไว้คุมพวกระบบปรับอากาศเป็นหลักเลย ซึ่งระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 4 โซน เรียกได้ว่าทั้งคนขับกับผู้โดยสารอีก 3 คน เลือกเอาเลยว่าอยากได้ความเย็นขนาดไหน
เบาะด้านในนั้น ใช้วัสดุหุ้มด้วยหนัง Valcona มีการเดินเส้นให้เป็นลาย 4 เหลี่ยมข้าวหลามตัด สัมผัสนวลมือมาก เบาะนั่งคู่หน้า ปรับไฟฟ้า มีระบบอุ่นร้อนพร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ได้ 2 ตำแหน่ง วัสดุที่ใช้ตกแต่งเปี่ยมไปด้วยความพรีเมี่ยม พวงมาลัยหุ้มหนังสัมผัสดี มีปุ่ม Multi-Function ให้ใช้งาน ด้านซ้ายใช้ควบคุมหน้าปัดข้อมูลการขับขี่ ด้านขวาใช้ควบคุมเครื่องเสียง ส่วนระบบ Cruise Control แยกก้านไปใช้งานที่ด้านข้างแทน (ไม่ชอบเลย) พวงมาลัยปรับไฟฟ้าแบบ 4 ทิศทาง ผ่อนแรงหมุนด้วยแบบ Progressive กระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ มี Paddle Shift เอาไว้สับให้สนุกกันเล็กน้อย เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 แต่พับได้ไม่เรียบเท่าไหร่ มีระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศด้านหลังได้ มีช่อง USB ให้เสียบชาร์จไฟได้อีก 2 ตำแหน่ง
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น มีดังนี้ครับ
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า
- ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist)
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system)
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic brake distribution)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction control system)
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic control system with stabilization function)
- เซ็นเซอร์หน้า-หลัง และด้านข้างช่วยในการนำรถเข้าจอด
- กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
- ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise control)
เอาล่ะ เราพอรู้ข้อมูลเบื้องต้นของ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line กันจนครบถ้วนแล้ว เรามาเริ่มขยับเพื่อออกเดินทางไปรีวิวกันได้แล้วครับ รถไซส์นี้เป็นขนาดที่ผมชอบมากอยู่แล้ว เพราะการก้าวเข้าสู่รถนั้นมันพอดีกับตัวผมอยู่เสมอ แค่ยื่นตัวเข้าไปแล้วย่อตัวลงนิดเดียว ก็นั่งลงบนเบาะได้อย่างพอดี สัมผัสเบาะดีมาก แตะแล้วรู้ได้เลยว่าเป็นวัสดุแพง นั่งแล้วสบาย ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป นั่งไปแล้วรู้สึกได้ถึงความกว้างโอ่โถงอย่างมาก แน่นอนว่าด้วยความกว้างขนาดใหญ่กว่ารถจากแดนปลาดิบในรูปแบบอเนกประสงค์ SUV ประกอบกับมีหลังคา Sunroof พร้อมหลังคากระจกตลอดคัน ช่วยให้เพิ่มความรู้สึกกว้างขวางได้อีก หน้าจอทั้ง 3 คือความดีงาม ผมนี่ชอบสุด ๆ มันดูทันสมัยดี (ทำไมรถไฟฟ้าต้องใส่จอใหญ่ ๆ เยอะ ๆ ไม่ทำบนรถใช้น้ำมันบ้างเล่า) มุมมองดูได้ทั่วถึงดี
ขยับเกียร์ที่อยู่ตรงกลาง ยังเลือกใช้เป็นหัวเกียร์คล้ายรถทั่วไปอยู่ โยก 1 ทีแล้วแตะคันเร่ง หูย พวกเตรียมจะพุ่งออกตัวไปแล้ว สัมผัสได้ถึงขุมพลังที่รอการปล่อยศักยภาพของตัวเองออกมาให้เห็นเป็นประจักษ์แก่ลูกกะตา มอเตอร์ไฟ้ฟ้า 2 ลูกในโหมดธรรมดา 360 แรงม้า แรงบิด 561 นิวตันเมตร พร้อมออกประจำการทันทีที่เรียก และมาเลยในรอบแรก ๆ นี่แหล่ะคือความมันในการขับขี่รถไฟฟ้าที่หาอารมณ์แบบนี้ไม่ได้ในระสันดาปภายในยกเว้นคุณจะขับ Super Car ราคาระดับ 10 ล้านขึ้นไป เอาเป็นว่า คุณแตะคันเร่งเมื่อไหร่ รถพร้อมจะพุ่งไปด้วยความเร็วสูง อย่าได้เผลอกดแรงเกินไปทีเดียวเชียว
Audi e-tron Sportback 55 quattro S line มีโหมดการขับขี่ได้ 5 โหมด Allroad, Efficiency, Comfort, Auto และ Dynamic นอกจากจะปรับการตอบสนองของคันเร่งกับพวงมาลัยแล้ว ยังปรับในด้านของช่วงล่างอีกด้วย ถ้าเลือก เป็น Allroad รถจะยกสูงสุดเลย เผื่อเอาไว้วิ่งลุยถนนลูกรังได้ แต่ถ้าเรื่อง Dynamic เมื่อไหร่ รถจะลดตัวลงต่ำสุดเลย รองรับการใช้งานแบบความเร็วสูง เจ๋งสุด
และช่วงล่างนี่ต้องบอกเลยว่า ดีสุด ๆ ทั้งความนุ่มนวล ความหนึบ เข้าโค้งดี นิ่งในความเร็วสูง มาครบหมดเลย ช่วงล่างในแบบถุงลมนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง ตัวการบังคับพวงมาลัยเองก็คมกริบ หมุนง่าย อัตราทดเยอะมาก หมุนรอบเดียวก็ครบแล้ว ขับเข้าช่องไหน หมุนไปนิดเดียวรถก็ไปได้ตามใจของเราแล้ว แต่น้ำหนักค่อนข้างไปทางเบาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรถ SUV ทั่วไป ขับสบายมือ สบายแขนมากทั้งความเร็วต่ำและสูง รวมทั้งยังมีการปรับน้ำหนักได้ตามโหมดที่ใช้งานได้อีกด้วย
แต่เรื่องที่ Audi ยังเป็นรองคู่แข่งในตลาด ก็คือเรื่องของระบบความปลอดภัยนั่นเอง เช่นเดียวกับบน Audi e-tron Sportback 55 quattro S line ที่ผมว่ามันมีน้อยไปหน่อย คือระบบพื้นฐานมันก็ครบแหล่ะ พวก ABS, EBD, TCS, กล้องรอบคัน, เซ็นเซอร์อะไรพวกนี้ แต่รถราคาระดับนี้ มันก็ควรมีพวก BA, Adaptive Cruise Control (คันนี้ให้มาแค่ Cruise Control) เตือนการชนด้านหน้า, เตือนมุมบอด อะไรพวกนี้ก็น่าจะใส่มาให้หน่อย เข้าใจแหล่ะครับว่าต้องการควบคุมราคาให้อยู่ในจุดที่พอจะขายแข่งกับเจ้าอื่นให้ได้ เพราะตัวเองต้องนำรถนำเข้ามาทั้งคัน เสียภาษีแบบ CBU เต็มอิ่ม ในขณะที่เจ้าใหญ่ในตลาดมีรถแบบ SDK มาขาย ก็ทำราคาและเพิ่มระบบความปลอดภัยได้อีกเพียบในราคาที่ไม่ต่างกันมาก อันนี้ก็อาจจะทำให้คนซื้อรู้สึกบ้างแหล่ะ อันนี้เสียดายนะ รถดีสู้ได้เลย แต่อุปกรณ์สู้ไม่ได้ เสียดายครับบอกตรง ๆ แต่ถ้าใครอยากได้เพิ่มมากกว่านี้ เข้าใจว่าสั่งได้ครับ แต่ก็ต้องเพิ่มเงินเข้าไปและรอรถนานหน่อยเท่านั้นเอง
อีกอย่างที่ผิดหวังเล็กน้อย ก็คือเรื่องของการเก็บเสียง ปกติแล้วรถที่ผมเคยคับของค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็น Audi TT, A5 ต่างก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในเรื่องเก็บเสียง แต่กับบนรถไฟฟ้าคันนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแฮะ เวลาเริ่มขับด้วยความเร็วสูง ระดับประมาณ 120 กม./ชม. ถึงเริ่มได้ยินเสียงลมพัดเข้ามาที่ข้างหูบ้างแล้ว ซึ่งเอาจริง ๆ รถกลุ่มนี้ปกติแล้วกว่าเสียงจะดังก็น่าจะเกิน 140 กม./ชม. ไปแล้ว อันนี้รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย เพราะคาดเอาเองว่าน่าจะดีได้กว่านี้นะ แต่อันนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่เราไม่ได้ยินเสียงเครื่องหรือเปล่า เพราะมันจะมีแต่เสียงวี้ ๆ ของมอเตอร์ไฟฟ้ากับเสียงยางที่บดลงกับถนน เลยทำให้เราได้ยินเสียงยางดังขึ้นไหม อันนี้ขอเอาไปขบคิดอีกที
มาว่ากันเรื่องอัตราประหยัดกันดีกว่า แน่นอนครับว่า Audi e-tron Sportback 55 quattro S line เป็นรถไฟฟ้าแบบ EV พลังงานไฟฟ้า 100% เราจึงไม่มีตัวเลขเท่านั้นเท่านี้กิโลเมตร/ลิตร แต่มาในรูปแบบของระยะทางที่ใช้งานได้จากการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ถ้าดูตามที่แปะไว้ในโบรชัวร์ ก็จะเป็นตัวเลขที่ 463 กิโลเมตร เพราะมีแบตเตอรี่ลูกใหญ่ระดับ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงหายไปเละเทะเลยครับ เพราะวันที่ไปรับรถที่ศูนย์ใหญ่แถวเลียบด่วนรามอินทรา หน้าจอแจ้งไฟเต็ม 100% แต่แจ้งว่าวิ่งได้ 345 กิโลเมตรเท่านั้น ด้วยความงงของตัวเองที่ลืม Set Trip ให้เป็น 0 ตอนรับรถมา แต่มากดเอาตอนที่วิ่งไปแล้วประมาณ 15 กิโลเมตร เอาเป็นว่าผมจะบวกไปอีกตอนจบท้าย ซึ่งจากตัวเลขที่ใช้งานไปประมาณ 3 วัน ได้เลขที่หน้าจอที่ 260 กิโลเมตร บวกกับ 15 กิโลเมตรก็กลายเป็น 275 กิโลเมตร ในขณะที่ยังคงเหลือระยะทางวิ่งได้อีก 37 กิโลเมตร สรุปว่ารวมแล้ววิ่งจริงได้ประมาณ 300 ต้น ๆ เท่านั้นเอง ห่างจากการทดลองวิ่งใน Lab บานเลย แต่ก็ต้องบอกว่า ผมเอาไปกด 0-100 เล่นประมาณ 3-4 รอบ, วิ่งความเร็วสูง, วิ่งแซง ลองอัตราเร่งแซง นู่นนี่นั่น มีรถติดในเมืองและวิ่งทางไกลต่างจังหวัดในอัตราประมาณเดียวกันนะครับ ดังนั้นมันก็คงหายไปอีกประมาณหนึ่งถ้าเทียบกับการใช้งานปกติทั่วไป
ว่าถึง 0-100 นั้น ผมได้ลองทดสอบรวมทั้งหมด 3 ครั้งใน Boost Mode ได้ตัวเลขออกมาดังนี้ครับ
ครั้งที่ 1 - 5.97 วินาที
ครั้งที่ 2 - 5.86 วินาที
ครั้งที่ 3 - 5.93 วินาที
เฉลี่ย - 5.92 วินาที
ถ้าไปดูสเปกทางการ บอกว่าอัตราเร่ง 0-100 สามารถทำได้ 5.7 วินาที แต่การเทสจริงได้ระดับนี้ ผมนี่ว้าวเลยครับ เพราะปกติแล้วค่าที่เคลมกับเทสจริงจะช้ากว่าระดับ 1 วินาทีอยู่เสมอ บางรุ่นไประดับ 2 วินาทีด้วยซ้ำ แต่กับรถไฟฟ้าคันนี้กลับห่างกันแค่ระดับเสี้ยววินาที ผมว่าดีสุดยอดเลยครับ
อาวดี้ ประเทศไทย ตั้งราคาเริ่มต้นของ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line เอาไว้ที่ 5,299,000 บาท คือถ้าจ่ายเงินระดับนี้ในค่ายเดียวกันแต่เป็นเครื่องยนต์ปกติ ก็จะได้ประมาณ A7 Sportback 55 TFSI quattro S line หรือไม่ก็ Q7 45 TDI quattro S line ไม่หรูกว่าก็ใหญ่กว่า แต่การที่คุณได้ขับรถพลังงานไฟฟ้า นอกจากคุณจะได้เรื่องอัตราเร่งมันสะใจประดุจมีแรงกระชากมาจากหลุมดำแล้ว คุณยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้งานรถยนต์ไร้มลพิษอีกด้วย ถ้าคุณมีเงิน และเอารถไปใช้งานในเมืองเป็นหลัก ซื้อเถอะครับ อย่าไปกังวลเรื่องวิ่งได้เท่านั้นเท่านี้เลย ผมเชื่อว่ามีไม่กี่คนหรอกที่ขับรถทำธุระในเมืองแต่ละวันจะเกิน 300 กิโลเมตร เสียบปลั๊กชาร์จทุกคืนช่วงเวลาที่เรานอนก็ได้แล้วครับ เหลือเฟือ แต่ถ้าจะซื้อเพื่อเป็นรถคันเดียวในบ้านก็ต้องคิดเยอะหน่อย เพราะตอนนี้มันยังไม่เหมาะกับการใช้งานวิ่งไปต่างจังหวัดจริง ๆ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com