Test Drive: ทดลองขับ Toyota Camry 2.5 HV Premium ประหยัดกว่า ขับดีกว่าเดิม
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 30 ม.ค. 62 00:00
- 20,621 อ่าน
หลังจากการออกโฉมใหม่ของ Toyota Camry รถยนต์ใหม่ 2018 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ปีที่แล้ว และทางผมเองในฐานะทีมงานของ AUTODEFT ก็ได้มีโอกาสทดลองขับมาแล้ว ทั้งในรุ่น 2.5 HV Premium และ 2.5G เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากครั้งนั้นเป็นการขับขี่แบบสุดโต่งทั้งการขับประหยัดน้ำมัน กับซัดเต็มแรงในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ. บุรีรัมย์ ทำให้เราไม่สามารถเห็นได้ว่า การขับขี่แบบชีวิตปกติทั่วไป All
ด้วยโอกาสอันดี ที่ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้อนุเคราะห์ให้ทางผมยืมรถ Toyota Camry 2.5 HV Premium มาได้ลองขับขี่เอง รวมทั้งสิ้น 4 วัน จึงทำให้คราวนี้แหล่ะ รู้กันไปสักทีว่า ถ้าเราเอาคันนี้มาลองใช้งานตามปกติบ้าง มันจะทำหน้าที่รองรับอารมณ์ในการขับขี่ของเราได้มากขนาดไหน
เบื้องต้นก็ขอย้อนตัวสเปกกันก่อน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผมเคยลงวรายละเอียดเอาไว้ในการทดสอบครั้งที่แล้ว จึงขออนุญาตคัดลอกบางส่วนกลับมาอีกครั้งครับ
“ มาเริ่มทำความรู้จักรายละเอียดของ All-New Toyota Camry กันก่อนดีกว่าครับ โดยอย่างแรกที่ต้องพูดถึงก็คือ โครงสร้างใหม่ของคันนี้ เปลี่ยนไปใช้เป็น Toyota New Global Architecture หรือ TNGA ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ที่ใช้ต่อจาก Toyota C-HR แต่ทางโตโยต้าบอกว่า โตโยต้า คัมรี่ ใหม่ จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างนี้อย่างเต็มระบบ ทั้งโครงสร้างการออกแบบ, เครื่องยนต์, เกียร์ และอื่น ๆ ส่วน C-HR นั้น จะเอามาใช้แต่ตัวโครงการออกแบบเท่านั้น จึงนับเริ่มต้น TNGA แบบสมบูรณ์ที่รุ่นนี้นั่นเอง ข้อดีของโครงสร้าง TNGA นั้น มีทั้ง
- Body rigidity - เพิ่มความมั่นคงของรถจากโครงสร้างเหล็กที่แข็งแกร่ง พร้อมเพิ่มจำนวนจุดเชื่อมตัวถัง (Spot welding) ช่วยรองรับแรงบิดที่มีต่อตัวถัง เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและเกาะถนนมากยิ่งขึ้น
- Low center of gravity – จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ลดการโคลงตัวของรถ ช่วยเรื่องการทรงตัวและการเข้าโค้งดีขึ้น
- Double Wishbone Suspension ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ เพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม
- Good Handling พวงมาลัยมีการปรับอัตราทดและ ECU ใหม่ ทำให้การตอบสนอง แม่นยำมากขึ้น เพื่อให้การควบคุมรถง่ายเป็นไปอย่างมั่นใจ
- STABILITY – จากโครงสร้างตัวถังที่มีความแข็งแรง ทำให้การควบคุมจากพวงมาลัยมีความแม่นยำ เกาะถนนได้ดีเยี่ยม เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ด้วยช่วงล่างอิสระแบบ Double wishbone ยังช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่
- AGILITY – ความคล่องตัวในทุกจังหวะการขับขี่ และการควบคุมได้ดั่งใจ เกิดจากการที่ตัวรถถูกออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้การขับขี่ ที่สนุกมากขึ้น และสามารถขับลัดเลาะไปตามซอกซอยได้อย่างคล่องตัว
- VISIBILITY – จากการออกแบบให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางของรถ พร้อมเพิ่มทัศนวิสัย และการลดจุดอับสายตาภายในห้องโดยสาร ด้วยการปรับกระจกด้านหน้าคนขับให้กว้างขึ้น และลดขนาดเสา เอ (A Pillar) ทั้ง 2 ด้านให้แคบลง ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถมองวัตถุในมุมอับได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
- COMFORT – โครงสร้างรูปแบบใหม่ และช่วงล่างที่อิสระ สามารถลดแรงกระแทกจากพื้นถนนสู่ผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความความนุ่มนวลทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่เมื่อยล้าในการขับขี่ เพลิดเพลินในทุกการเดินทาง
ส่วนเครื่องยนต์ใน All-New Toyota Camry 2.5 HV Premium นั้นเป็นเครื่องยนต์รหัส A25A-FXS แบบเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว D-4S VVT-iE ขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลังที่ 178 แรงม้าที่ 5,700 รอบ แรงบิด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าชนิด มอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ให้กำลังที่ 88 กิโลวัตต์ หรือเทียบเป็นแรงม้าได้เป็น 119 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร ที่หมุนได้ด้วยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ชนิด นิกเกิลเมทัลไฮดราย 6.5 แอมแปร์-ชั่วโมง และเมื่อทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จะสามารถผลิตกำลังได้สูงสุด 211 แรงม้าเลยทีเดียว ซึ่งระบบ Hybrid ที่ติดตั้งนั้น เป็นเจนที่ 4 ของทางโตโยต้าแล้ว ขับเคลื่อนด้วย E-CVT (Electronically-controlled Continuously Variable Transmission)
เครื่องยนต์แบบใหม่ของทางโตโยต้า ที่เรียกกันว่า Dynamic Force ทางวิศวกรได้บอกรายละเอียดว่า จะเป็นเครื่องยนต์ที่สามารถทำงานได้ดีมากขึ้น กำลังแรงขึ้น ภายใต้การใช้งานเชื้อเพลิงที่น้อยลง ด้วยการเพิ่มความหนาแน่นของมวลอากาศที่อัดเข้าไปในกระบอกสูบ, ปรับองศาตรงกลางของวาล์วไอดีใหม่เพื่อให้อากาศไหลเข้าได้ดีขึ้น, ปรับพื้นผิวของท่อไอดีให้เงามันมากขึ้น ส่งผลให้การจุดระเบิดในแต่ละครั้ง สามารถสร้างพลังงานได้ดีกว่าเครื่องยนต์ระบบเดิม เครื่องยนต์มีการใช้ระบบไฟฟ้าไปหมุนเพลาลูกเบี้ยวแทนที่การใช้ระบบไฮโดรลิค ทำให้สามารถควบคุมการทำงานได้เร็วและถูกต้องมากกว่าเดิม เพิ่มหัวฉีดแบบ Direct เข้าไปอีก 4 หัว ทั้งหมดนี้ถูกเรียกรวมเป็นระบบใหม่ว่า Dynamic Force ที่ทางโตโยต้ามั่นใจว่า จะเพิ่มได้ทั้งพละกำลัง และช่วยลดการใช้งานเชื้อเพลิงได้มากกว่าเดิมด้วยครับ
All-New Toyota Camry นั้น จะมีขนาดของตัวรถอยู่ที่ 1,840 x 4,885 x 1,445 x 2,825 มม. ใหญ่กว่ารุ่นเดิม มีเพียงความสูงเท่านั้นที่ถูกปรับให้ลดลง นั่นหมายถึงภายในตัวรถมีพื้นที่โดยสารมากขึ้น แต่รถเตี้ยลงเพื่อให้การทรงตัวนั้นดีขึ้น รวมทั้งการจัดวางของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่ของในรุ่น Hybrid ที่ถูกย้ายเอามาวางไว้ที่ใต้เบาะนั่งด้านหลังแทนที่จะเป็นตัวท้ายรถ หรือเกียร์ Hybrid ที่จัดวางใหม่ให้ขยับเข้ามาอยู่ตรงกลางของห้องเครื่องได้มากขึ้น เป็นต้น ด้วยเหตุผลพวกนี้แหล่ะ ที่ทางโตโยต้ามั่นใจมากว่า รถจะสามารถทรงตัวได้ดีมากกว่าตัวเดิมทั้งยามขับปกติหรือการเข้าโค้ง
สำหรับอุปกรณ์ความปลอดภัยนั้น โตโยต้าใด้ใส่ระบบความปลอดภัยที่เรียกว่า Toyota Safety Sense ลงมาด้วย ประกอบไปด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-Collision System, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ Lane Departure Alert, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beams นอกจากนี้ก็ยังมีอุปกรณ์ความปลอดภัย Active Safety อีกหลายอย่าง ทั้ง กล้องมองภาพขณะถอยหลัง พร้อมแนะนำเส้นทางการถอย, ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM, สัญญาณไฟกระพริบเมื่อเบรกกะทันหัน ESS รวมทั้งยังติดตั้งถุงลมนิรภัยมาทั้งหมด 9 จุดอีกด้วย แต่แน่นอนว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะมีครบทุกอย่างเฉพาะในรุ่น 2.5 HV Premium เท่านั้น”
เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากอ่านแบบเต็มของการทดสอบครั้งที่แล้ว สามารถกดไปดูได้ที่ “Test Drive: ทดลองขับ Toyota Camry 2.5 HV Premium และ 2.5G นิ่งและประหยัดกว่าเดิม” กันได้เลยครับ
สำหรับการนำกลับมาทดสอบอีกครั้งในรอบนี้ สิ่งที่อยากจะรู้จริง ๆ ก็คือเรื่องของการใช้ในชีวิตประจำวัน ว่าจะสามารถช่วยให้เราประหยัดน้ำมันได้มากขนาดไหน จากรอบที่แล้วขับแบบ ECO Run สามารถทำได้ 25.4 กิโลเมตร/ลิตร แต่ในชีวิตจริง ใครล่ะจะมาขับแบบนี้ได้ตลอดทางล่ะ รอบนี้จึงอยากดูให้ชัดไปเลย ว่าที่ทางโตโยต้าอวดนักอวดหนาว่า รุ่นนี้มันประหยัดกว่าเดิมอย่างมาก เลยขอพิสูจน์ให้เห็นชัด ๆ กันไปเลย
การทดสอบ 4 วันนี้ ผมใช้งานครบทุกสภาพการจราจรเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นรถติดหนัก ๆ ช่วงเย็นวันศุกร์ปลายเดือน, วิ่งไปซื้อของแถบชานเมือง ที่วิ่งไปได้เรื่อย ๆ แบบมีติดไฟแดงหา ที่จอดจอดรถอะไรพวกนี้ และแบบวิ่งไกลต่างจังหวัดที่พระนครศรีอยุธยา แบบกดแรง วิ่งยาว เอาแบบรวม ๆ ก็คือ ใช้รถแบบที่ใช้ปกติตามชีวิตประจำวันเลยครับ แล้วมาดูบทสรุปว่ามันได้อยู่ตรงไหน
สิ่งที่ต้องพูดถึงอย่างมากก็คือ การนั่งโดยสารในตัวรถ ในฐานะผู้ขับขี่ต้องบอกว่า มันสบายมากจริง ๆ ท่านั่งมันดูลงตัว ตัวเบาะก็โอบรับตัวผมได้อย่างดี เนื้อที่ในตัวรถดูกว้างขวาง โดยเฉพาะวิสัยในการมองรอบตัวถือว่า ทำได้ดีมากกว่ารุ่นที่แล้วอย่างมากเลยครับ อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถใช้งานได้โดยไม่ลำบากอะไร มีการย้ายปุ่มต่าง ๆ หลายจุดเหมือนกัน อย่างปุ่มพัดลมเป่าเบาะ จากใต้คอนโซลก็ถูกย้ายมาอยู่ข้างเบาะแทน, แท่นชาร์จไร้สาย ก็ถูกย้อยไปอยู่ใต้คอนโซล และสามารถเปิดออกมาเพื่อเก็บของข้างใต้ได้ (แต่อันนี้แปลกใจหน่อย ว่าทำไมมันใช้ชาร์จได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะผมใช้ iPhone 8 Plus อยู่ ซึ่งรองรับการใช้งาน แต่พอชาร์จได้แปปเดียวก็ตัดการชาร์จไป ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะคันนี้หรือเปล่า) เบรกมือถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบไฟฟ้า พร้อมปุ่ม Hold เพื่อให้เบรกให้อัตโนมัติเมื่อรถจอดสนิท ทั้ง 2 ปุ่มถูกจัดวางเอาไว้ตรงกลางข้างคันเกียร์ มีปุ่มโหมดการขับขี่มาให้กดเลือกได้ 3 โหมด ทั้ง Eco, Normal และ Sport ที่ในโฉมเก่าไม่มี แต่ที่หงุดหงิดใจหน่อย ก็ปุ่มเปิดปิดม่านบังแดดที่กระจกหลังนี่แหล่ะ ทำไมต้องเอาไปซ่อนอยู่ในเมนูที่หน้าปัดด้วยก็ไม่รู้ ต้องกดเข้าไปถึงจะปิดได้ จริง ๆ เอามาเพิ่มอีกปุ่มไว้ข้างพวงมาลัยหรือใต้คอนโซล มันก็ไม่น่าจะลำบากอะไรนะ ฮึ่ม (แต่เบาะหลังยังกดเปิดปิดได้จากแผงควบคุมที่เบาะพับตรงกลางเหมือนเดิม)
ส่วนตัวเกียร์นั้น รอบนี้จัดเต็มครับ ตัวเดิมนั้นถ้าใครเคยได้ขับ หรือเคยดูจากที่ AUTODEFT เคยรีวิวเอาไว้ จะเห็นได้ว่าเกียร์ในรุ่นท็อปอย่าง Toyota Camry 2.5 HV Premium นั้น จะมีแต่โหมดปกติ ไม่มีโหมด Sport เพื่อให้เราสับขึ้น-ลงได้ แต่งวดนี้ครบครับ จะสับเกียร์ Manual จากคันเกียร์ก็ได้ หรืออยากมันกว่านั้นด้วยการสับที่ Paddle-Shift ก็ไม่มีปัญหา จัดได้เลย เล่นได้ตั้งแต่เกียร์ D ปกติเลยครับ ยิ่งช่วงเปลี่ยนมาเป็นโหมด Sport แล้วสับด้วย Paddle-Shift ยิ่งมัน เรียกได้ว่า ถ้าพ่อหนุ่มสุขุมอยากจะสลัดคราบมาเป็นนักซิ่งเมื่อไหร่ ก็จัดได้ทันที ไม่มีปัญหาครับ
ความดีงามอีกอย่างของ Toyota Camry 2.5 HV Premium ก็คือปุ่ม Hold นี่แหล่ะครับ ยิ่งขับในเมืองช่วงรถติดจัด ๆ มันทำเอาเราสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องคอยสับเกียร์, ไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง, ไม่ต้องคอยยกเบรกมือบ่อย ๆ รถหยุดเมื่อไหร่ ล็อกล้อให้ทันที จะออกตัวก็กดคันเร่งเบา ๆ เท่านี้รถก็ออกตัวได้แล้ว ใครที่ไม่เคยใช้ ช่วงแรกอาจจะต้องปรับตัวในการออกตัวหน่อย เพราะเราปล่อยเท้าแล้สว รถมันจะยังไม่ออกตัว ต้องแตะไปที่คันเร่งก่อน ตรงนี้แหล่ะที่ต้องเตือนกันว่าให้แตะเบา ๆ ไม่อย่างนั้นถ้ากดแรงเกินไป รถอาจพุ่งพรวดแรงเกินไปได้นะ
ในช่วงขับในเมืองนั้น ผมเลือกใช้งานโหมด ECO ตลอดเส้นทาง ดังนั้นการตอบสนองของเครื่องยนต์ จะค่อนข้างดึง ๆ กำลังเครื่องเล็กน้อย โดยรถจะพยายามใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการออกตัวก่อน และเมื่อลอยตัวแล้ว รถก็ติดเครื่องยนต์ขึ้นมา มันจะช่วยเรื่องการประหยัดได้พอสมควรเลย เพราะเราก็รู้กันอยู่แล้วว่า ช่วงการออกตัวนี่แหล่ะ คือช่วงที่ต้องใช้น้ำมันมากที่สุด
ทีนี้ มาดูเรื่องการทำงานของระบบไฟฟ้ากันหน่อยดีกว่าครับ สำหรับ Toyota Camry 2.5 HV Premium คันนี้ จะมีมอเตอร์ขนาด 88 กิโลวัตต์ ที่คอยช่วยทำงาน ทั้งการขับเคลื่อนรถยนต์แบบเดี่ยว ๆ หรือการเอากำลังเข้าไปช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ โดยใช้พลังงานมาจากแบตเตอรี่ชนิด นิกเกิลเมทัลไฮดราย 6.5 แอมแปร์-ชั่วโมง คอยจ่ายไฟให้ ซึ่งจากการที่ผมได้ลองขับแบบโหมด EV ตั้งแต่แบตเตอรี่อีก 2 ขีดเต็ม วิ่งไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง สลับการปล่อยคันเร่ง, เบรก บ้างในบางจังหวะ สามารถวิ่งได้จนระบบตัดการทำงานอยู่ที่ประมาณ 2.8 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าไกลกว่าตัวเก่าพอตัวเลยครับ และในรุ่นใหม่นี้ ถ้าอยุ่ในโหมด ECO ตัวรถจะพยายามใช้พลังงานจากไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด ถ้าเป็นตัวเก่า บางทีกดคันเร่งแรงไปหน่อย ตัวรถก็สับเข้าโหมดเครื่องยนต์แล้ว แต่ในตัวนี้ การติดเครื่องยนต์นั้น จะทำได้ช้ากว่า มันจะพยายามใช้ไฟฟ้าให้หมดก่อน ถึงจะค่อยติดเครื่องยนต์ขึ้นมาปั่นไฟใหม่ แต่กระนั้นถ้าเราอยากได้ความแรง กดคันเร่งให้แรงหน่อย เครื่องยนต์ก็สามารถติดขึ้นมาได้ทันที รวมทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าก็ร่วมด้วยช่วยกันทำงานด้วย รถก็พุ่งออกไปได้อย่างง่ายดายแล้ว ส่วนในช่วงความเร็วสูงก็เช่นกันครับ ตัวเดิมนั้น ถ้าขับเกินซัก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป เรื่องให้ตัวรถทำงานแบบ EV นั้นยากมาก แต่ตัวนี้เห็นได้บ่อยครับ จังหวะรถลอยตัวแล้ว ถ้าเราแตะคันเร่งนิ่ง ๆ และมีแบตเตอรี่มากพอ รถก็ตัดการทำงานของเครื่องยนต์ แล้วใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาขับเคลื่อนอย่างเดียวได้เลยครับ
หลังจากลองขับในเมือง ทั้งแบบติดขัด และแบบพอวิ่งได้แล้ว คราวนี้มาลองวิ่งระยะทางไกลดูบ้าง ผมลองใช้งานตั้งแต่แถวมีนบุรี มุ่งหน้าสู่ จ. พระนครศรีอยุธยา โดยใช้เส้นทางหลักทั้งสิ้น เป็นการเดินทางในวันอาทิตย์ การจราจรก็พอมีรถเยอะอยู่ แต่ก็พอจะมุดตามซอกอะไรได้บ้างไปเรื่อย ๆ คราวนี้กดโหมด Sport เลยครับ ช่วงไหนกดได้ก็กด, ช่วงไหนไปไม่ได้ก็ปล่อยไหลไปเรื่อย รู้สึกได้เลยว่าการตอบสนองเครื่องยนต์มันมากครับ โดยเฉพาะในช่วงที่ตัวรถมีกำลังจากมอเตอร์มาส่งด้วย พุ่งออกไปแบบสนุกมาก กดเป็นมา อยากได้กำลังเครื่องเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จากการสังเกตุเห็นช่วงที่แบตเตอรี่มีไฟเหลือน้อย การออกตัวที่มีแต่กำลังเครื่องยนต์ มันจะถูกทอนกำลังหายไปเล็กน้อยครับ แต่เอาจริงมันก็มีไม่ได้บ่อยหรอกช่วงจังหวะไฟหมด เพราะถ้าเรากดยาว ๆ ช่วงที่รถลอยตัวแล้ว เครื่องยนต์จะอัดไฟกลับเข้าไปที่แบตเตอรี่ทันที ทำให้เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากดคันเร่งเพิ่มไปอีก มอเตอร์ไฟฟ้าก็มีกำลังมาช่วยส่งตัวรถให้พุ่งออกไปได้อย่างไม่ยากเย็น และความต่อเนื่องของกำลังเครื่องนั้น มียาว ๆ ยันความเร็วปลายเลยครับ บางช่วงผมอัดไปถึงช่วง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันก็สามารถไหลต่อเนื่อง ไม่มีห้อยช่วงปลายเลย คิดว่าถ้ากดอีก ก็คงวิ่งเพิ่มได้อีกครับ
สำหรับความนิ่ง กับการเข้าโค้งในความเร็วสูงนั้น ถ้าให้เปรียบเทียบกับตัวก่อน ถือว่าโครงสร้างใหม่ TNGA ของโตโยต้า ทำได้ดีขึ้นเยอะเลยครับ โดยเฉพาะช่วงเข้าโค้งที่ตัวเก่าจะมีท้ายไหลบ้างถ้าเราเข้าโค้งด้วยความเร็ว แต่ตัวนี้อาการหายไปเยอะ อาจจะมีบ้างแต่น้อยมาก และตัวพวงมาลัยก็หมุนได้คมกว่าเดิม ทำให้การควบคุมในช่วงการเข้าโค้ง สามารถทำได้อย่างดี ส่วนช่วงรถลอยตัวทางตรงในความเร็วสูง การประคองพวงมาลัยก็ไม้ต้องทำมาก ทำให้ไม่รู้สึกว่ามีอาการล้าจากการต้องคอยประคองเหมือนกับรถบางรุ่น ดังนั้นการจัดศูนย์ถ่วงในตัวรถใหม่ให้มาอยู่ตรงกลางมากขึ้น ทั้งชุดเกียร์ด้านหน้า และแบตเตอรี่ด้านหลัง เลยทำให้การทรงตัวของ All-New Toyota Camry 2.5 HV Premium ทำได้ดีกว่าโฉมเดิมเยอะเลย
อีกระบบที่ชอบมากคือ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control ที่ทำงานได้ดีขึ้นกว่าตัวเดิมเยอะ ผมทดลองใช้งานบนถนนสายวงแหวนรอบนอก ที่ช่วงนั้นมีการจราจรค่อนข้างหนาแน่น แต่วิ่งไปได้เรื่อยๆ ผมจึงได้ตั้งระบบนี้ไว้ แล้วล็อกความเร็วเอาไว้ที่ 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วคุมพวงมาลัยอย่างเดียว รถข้างหน้าผมก็มีขยับเร็วบ้าง ช้าบ้าง ไปตามสภาพการจราจร รถสามารถปรับระดับความเร็วได้ตามรถคันหน้า แบบที่ไม่ได้มีความกระโชกโฮกฮาก ประเภทเร่งซะสุดคันเร่งเมื่อรถห่างออกไป หรือเบรกจนตัวโก่งเมื่อมีรถแทรกเข้ามาในช่องว่างด้านหน้า ใกล้เคียงกับการที่เราใช้คันเร่งและเบรกเองอย่างมาก ผมล่ะชอบใช้งานมันจริง ๆ (ใช้แบบยาว ๆ ช่วยลดความเมื่อยล้าได้เยอะเลย)
ในส่วนของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่อยากจะพูดถึง ก็คือเครื่องเสียงในชุดของ จอระบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว และลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง ที่เขาว่าเสียงดีมาก แต่สำหรับผมแล้ว มันก็กลาง ๆ นะ ไม่ได้ดีแบบสุดยอดอะไร และถึงจะให้ลำโพงมาดี แต่ตัวขับยังเป็นแบบธรรมดาอยู่ แถมยังปรับเสียงได้แค่ 3 ย่าน แบบนี้ยังไม่สุดครับ ส่วนตัวระบบนำทางนั้นเจ๋งครับ ถึงแม้มันจะยังไม่ฉลาดเท่า Google Maps แต่มันก็สามารถหาเส้นทางพร้อมบอกสภาพการจราจรแบบ Real-Time ได้ และถ้าไม่สะดวกในการค้นหา ก็สามารถใช้งานที่หน้าจอเพื่อโทรหา Call Center ของทางโตโยต้าผ่านระบบ Telematics ได้ เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่ก็จะส่งจุดหมายปลายทางมาโผล่ที่หน้าจอเอง
ที่นั่งด้านหลังของ All-New Toyota Camry 2.5 HV Premium นี่ ถูกออกแบบมาให้เพื่อผู้บริหารได้นั่งจริง ๆ เพราะเพียงเอาที่ท้าวแขนตรงกลางลงมาเท่านั้น จะพบกับปุ่ม Power ติดอยุ่ตรงกลาง เราก็กดปุ่มซะ มันจะมีแผงควบคุม ที่สามารถคุมได้ทั้งเครื่องเสียง, อุณหภูมิด้านหลัง (สามารถแยกได้ 3 โซนคือ ด้านหน้าทั้งซ้ายและขวา และส่วนของด้านหลัง) ปรับเบาะนั่งให้ตั้งตรงมากขึ้นได้ และที่สำคัญ มีปุ่มเปิดปิดม่านด้านหลัง ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดาย (รายแว้) ด้านหน้าตรงช่องใส่ของ มีช่อง USB ที่ปล่อยกระแสไฟระดับ 2.1A มาให้อีก 2 ช่อง ซึ่งไฟระดับนี้ สามารถชาร์จ iPad ได้อย่างสบาย ได้นั่งข้างหลังแล้วแทบไม่อยากกลับไปนั่งด้านหน้าอีกเลย ถ้ามีปุ่มุมหลังคา Sun Roof ได้อีก น่าจะเจ๋งขึ้นอีกมากเลย อ้อ และที่สำคัญ ในรถคันนี้ มีระบบฟอกอากาศของ Nanoe ที่ช่วยขจัดฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 ได้นะจ๊ะ ดังนั้นตอนนั่งอยู่ในรถ ก็ถอดหน้ากากออกได้เลยครับ
การทดสอบรอบนี้ ผมใช้ระยะทางในการทดสอบรวม 341.4 กิโลเมตร ขับหมดทุกโหมด ทั้ง ECO, Normal และ Sport แต่อาจจะใช้โหมด ECO เยอะหน่อยในสัดส่วนราว 50%, Sport 30% และ Normal 20% ขับแบบพฤติกรรมปกติที่ผมใช้ตามชีวิตประจำวันเลย ได้อัตราการใช้น้ำมันที่ 18.5 กิโลเมตร/ลิตร (ตามหน้าจอ) ถือว่าทำได้ดีกว่าตัวเดิมเยอะมากครับ
All-New Toyota Camry 2.5 HV Premium ราคา 1,799,000 บาท ถูกกว่าตัวเก่าเพียบ เนื่องมาจากอัตราการจัดเก็บภาษีของแบตเตอรี่ที่ลดลงนั่นเอง ทำให้สามารถลดราคาตัวรถลงมาได้ รวมทั้งใครที่ห่วงเรื่องราคาการเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้น ทางโตโยต้าบอกว่า แบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ใน All-New Toyota Camry จะมีรับประกันการเปลี่ยนลูกใหม่ให้ทันทีในระยะรับประกัน 10 ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เกิดอาการเสียตามเงื่อนไขขึ้นมา ซึ่งราคาแบตเตอรี่ในปัจจุบัน ราคาเบิกศูนย์จะอยู่ที่ 67,000 บาทเท่านั้น ถูกลงกว่าเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง แต่มองดูแล้ว อีก 10 ปีข้างหน้า ก็เป็นไปได้ว่าค่าแบตเตอรี่ก็น่าจะถูกลงมากกว่านี้อีก ดังนั้นผมว่ามันไม่มีอะไรน่าห่วงสำหรับเรื่องนี้เลย เอาเป็นว่าถ้าใครอยากได้รถแบบขับสบาย, นั่งสบาย, ใช้น้ำมันไม่เปลืองเมื่อเทียบกับการเป็นรถยนต์ 2.5 ลิตร และอยากได้ความแรงในบางโอกาส ผมว่า All-New Toyota Camry 2.5 HV Premium จะเหมาะกับคุณมากครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com