Test Drive: รีวิว ทดลองขับ All New Suzuki CARRY กระบะพื้นเรียบ น่ารัก ไม่หวั่นงานหนัก!!

ปัจจุบันรถกระบะเพื่อการพาณิชย์นับเป็นอีกกลุ่มรถยนต์ใหม่ที่มีให้เลือกไม่น้อย หนึ่งในนั้นกับรถกระบะขนาดเล็กจากค่ายรถยนต์ซูซูกิที่เริ่มผลิตรถรุ่นนี้ Suzuki CARRY มาในปี พ.ศ. 2519 และเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 2549 และมียอดขายรวมถึงปัจจุบันกว่า 50,000 คัน ซึ่งล่าสุดนี้กับโฉมใหม่เจนเนอเรชั่นที่ 2 ก็เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ในงาน BIG Motor Sale 2019 โดยก่อนการเปิดตัวในไทยก็

ครั้งนี้นับเป็นอีกโอกาสที่ทางค่ายรถยนต์ซูซูกิได้เรียนเชิญทีมงาน www.autodeft.com เข้าร่วมสัมผัสสมรรถนะการขับขี่รถกระบะเล็กโฉมใหม่นามว่า All New Suzuki CARRY บนเส้นทางจาก จ.ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าเข้าเมืองมายังย่านเลียบด่วนรามอินทรา โดยได้แบ่งเป็น 2 ช่วงการทดสอบหลักๆ ให้ได้ลองทั้งการขับขี่และการนั่งในตำแหน่งของผู้โดยสารด้านข้างด้วยนั้นเอง

แรกเห็นนับตั้งแต่การเปิดตัวรถใหม่ All New Suzuki CARRY ล่าสุดจากซูซูกิ มาพร้อมกับรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่โดยเฉพาะส่วนของด้านหน้ารถหรือห้องผู้โดยสารที่มีการปรับตำแหน่งของเบาะที่นั่งอยู่ด้านบนของซุ้มล้อ และจะไม่มีส่วนของกระโปรงด้านหน้ายื่นออกมาเหมือนกับโฉมก่อน มิติตัวรถโดยรวมใหญ่ขึ้น มีความยาว 4,195 มม. กว้าง 1,765 มม. สูง 1,910 มม. มีระยะฐานล้อที่ 2,205 มม. ซึ่งสั้นกว่าโฉมก่อน ส่งผลให้เรื่องของวงเลี้ยวแคบลงเหลือ 4.4 เมตร กระบะด้านหลังที่เป็นจุดเด่นกับพื้นเรียบก็มีขนาดยาวและกว้างขึ้นอยู่ที่ 2,450 มม. และ 1,670 มม. รองรับน้ำหนักบรรทุกถึง 945 กิโลกรัม นอกจากนี้ด้านหน้ามาพร้อมโคมไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เป็นแบบหลอดไฟฮาโลเจน สเปคของล้อกระทะมากับขนาด 13 นิ้ว รัดด้วยยาง 165/80 R13 กระจกมองข้างสีดำเป็นแบบปรับด้วยมือ ตัวรถมีเพียงสีเดียวสีขาวเท่านั้น

เข้ามาภายในของ All New Suzuki CARRY มีที่นั่ง 2 ตำแหน่ง แบบเน้นใช้งาน ตัวพนักพิงศรีษะยึดติดกับด้านหลัง เบาะที่นั่งคนขับสามารถปรับเลื่อนหน้าหลังได้ระยะ 105 มม. และแน่นอนว่าแดชบอร์ดของรถก็ออกแบบใหม่ทั้งหมด มีการย้ายตำแหน่งเกียร์มาไว้บนแดชบอร์ด มาพร้อมช่องเก็บของขนาดใหญ่ หน้าปัดเด่นด้วยเข็มความเร็ว แต่จะไม่พบกับตัววัดรอบเครื่องยนต์ มีไฟห้องโดยสารให้ รวมไปถึงม่านบังแดด ช่องจ่ายไฟสำรอง และมีติดตั้งฟร้อนเครื่องเสียง 1 din มาให้อีกด้วย 

นอกจากนี้ตัวของเบรกมือที่อยู่ด้านซ้ายผู้ขับยังได้เพิ่มระบบความปลอดภัยกันสินค้าไปโดนปุ่มปลดล็อคคันเบรกมือด้วยการที่เราจะต้องกดปลดล็อคพร้อมกับการดึงขึ้นเล็กน้อยแล้วจีงสามารถปลดเบรกมือลงได้ นับเป็นอีกหนึ่งความใส่ใจในการออกแบบก็ว่าได้ 

ก่อนเริ่มต้นช่วงของการขับทดสอบ All New Suzuki CARRY นั้นมีเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้นที่เป็นระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินใหม่พิกัด 1,500 ซีซี ที่รีดกำลังได้สูงสุด 97 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร ซึ่งมากกว่าโฉมก่อนที่มีเครื่องยนต์ใหญ่กว่า รองรับน้ำมัน E20

พร้อมล้อหมุน All New Suzuki CARRY นับตั้งแต่ตำแหน่งที่นั่งของผู้ขับด้วยความที่ตัวเบาะสามารถปรับเลื่อนหน้าหลังได้ ต้องยอมรับว่ามีพื้นที่เหลือๆ เลยทีเดียวสำหรับคนที่สูง 178 ซม. ซึ่งในการปรับตำแหน่งเบาะนั่งเรียบร้อยแล้ว ยังมีพื้นที่เหลือให้สามารถเลื่อนไปได้อีก แสดงให้เห็นว่าใครที่ตัวสูงหรือใหญ่กว่านี้ ก็ยังมีพื้นที่ในการนั่งขับแบบเหลือๆ การวางตำแหน่งเกียร์ใหม่บนแดชบอร์ดก็ให้ความรู้สึกถนัดมือ ระยะการเปลี่ยนเกียร์ต่างๆ ทำได้ง่าย ตัวของแป้นคลัทช์เองช่วงแรกที่ขับอาจรู้สึกว่าสูงไปนิด แต่ต้องขอบอกว่าคลัทช์นั้นนิ่มมาก ส่งผลให้การขับเกียร์ธรรมดานั้นง่ายดายมากๆ แม้คุณจะไม่ได้ขับเกียร์ธรรมดาใช้งานในชีวิตประจำวันก็สามารถที่จะขับ Suzuki CARRY ใหม่นี้ ได้อย่างสบายๆ 

ส่วนของการควบคุมพวงมาลัยเองนั้นอาจจะแตกต่างกับรถเก่งทั่วไปเล็กน้อย ใครที่ไม่เคยขับรถที่เราต้องนั่งบนซุ้มล้ออาจรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยเมื่อต้องเลี้ยวในจังหวะต่างๆ แต่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถที่จะกะระยะและจังหวะในการเลี้ยวได้คล่องไม่ยาก ด้วยความที่เป็นพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบาและควบคุมได้ง่าย แต่ก็จะมีระยะฟรีอยู่เล็กน้อย

และช่วงแรกในการทดสอบที่วิ่งอยู่ในช่วงตัวเมืองที่ค่อนข้างมีการจราจรหนาแน่น รวมไปถึงรถคันอื่นๆ ที่จอดอยู่สองข้างทาง การใช้งานรถบรรทุกขนาดเล็กแบบนี้จึงมอบความสะดวกในการขับขี่ได้คล่องตัวไม่น้อย การเลี้ยงความเร็วช่วงในเมืองแบบนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกเมื่อยขาแต่อย่างใด ต้องขอขอบคุณคลัทช์ที่นิ่มที่ส่งผลให้ขับขี่ได้ง่าย

เมื่อพ้นออกจากช่วงในเมืองก็เป็นจังหวะที่ให้เราได้ลองใช้ความเร็วกันบ้าง กับน้ำหนักบรรทุกด้านหลังกระบะที่มีอยู่ราว 200 กิโลกรัม ตั้งแต่การออกตัวเกียร์ 1 ต่อเนื่องไปในแต่ละเกียร์นั้น จนไต่ระดับความเร็วที่ 90-100 กม./ชม. มีกำลังเพียงพอต่อการใช้งานและการบรรทุก การเข้าเกียร์สามารถเข้าได้ค่อนข้างง่ายมีจังหวะในการเปลี่ยนเกียร์ไปในแต่ละล็อคให้ได้รู้สึกเล็กน้อย และแม้ว่าบนหน้าปัดจะไม่มีเข้มวัดรอบบอกไว้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการขับที่ยุ่งยากแต่อย่างใด 

และแน่นอนว่าในเรื่องของเสียงที่เข้ามาทั้งเสียงเครื่องยนต์ เสียงจากพื้นถนน นั้นสามารถได้ยินมากกว่าเมื่อเทียบกับรถใช้งานโดยสารทั่วไป แต่อีกจุดที่ตอนแรกคาดเอาไว้ว่าช่วงล่างจะให้ความรู้สึกอย่างไรนั้นประทับใจไม่น้อยทีเดียว แม้จะมีอาการเด้งตามสไตล์ของรถบรรทุกของ แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่าแข็งแบบตึงตังเลย และในช่วงที่วิ่งบนเส้นมอเตอร์เวย์นั้นการขับขี่และการนั่งโดยสาร ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าแข็งกระด้างแต่อย่างใด แต่ต้องยอมรับว่าด้วยตัวรถที่ออกแบบมาเพื่อเน้นบรรทุกการใช้ความเร็วในการขับขี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่แนะนำ เพราะด้วยความมั่นใจต่างๆ ตั้งแต่ระดับความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ขึ้นไป จำเป็นต้องใช้สมาธิเพิ่มมากขึ้นในการควบคุมรถ รวมไปถึงแรงลมปะทะด้านข้างตัวรถต่างๆ ที่มีแรงมากพอให้ได้รู้สึกถึงตัวรถนั้นเอง

ในช่วงวิ่งทางยาวบนมอเตอร์เวย์นี้เองที่ระดับความเร็ว 80 กม./ชม. ที่เกียร์ 5 เพียงแต่การเติมคันเร่งลงไปมากขึ้นก็สามารถเพิ่มความเร็วขึ้นไปได้ มีกำลังพอที่จะไต่ความเร็วให้รถเพิ่มขึ้น แต่เมื่อต้องการที่จะเรียกกำลังที่มากขึ้นเพื่อการแซงหรือในสถานการณ์อื่นๆ ก็เพียงแต่ลดเกียร์และเติมคันเร่งสวนขึ้นไป พร้อมกันนั้นจะได้ยินเสียงคำรามจากเครื่องยนต์ที่ต้องบอกว่าแอบสนุกสนานไม่น้อย ซึ่งภาพรวมในส่วนของเกียร์และเครื่องยนต์ปรับจูนในช่วงความเร็วต้นไม่เกิน 100 กม./ชม. มาให้ตอบสนองได้อย่างเพียงพอเลยทีเดียว 

ซึ่งส่วนของทัศนวิสัยโดยรวมต้องบอกเลยว่าโปร่งตาไม่น้อยกับทั้งกระจกบานหน้าขนาดใหญ่ และกระจกข้างขนาดใหญ่ที่เป็นแบบมือหมุนเน้นคงทนไม่ยุ่งยาก และเมื่อต้องเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารความรู้สึกว่าตัวเบาะรองนั่งนั้นสั้นกว่าฝั่งของเบาะผู้ขับเล็กน้อย และไม่สามารถที่จะปรับเลื่อนได้ แต่ส่วนของพื้นที่วางขานั้นค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว บวกกับซุ้มล้อที่เลื่อนมาด้านหลังอยู่ใต้เบาะก็ช่วยเพิ่มความกว้างจากเดิมเมื่อเปรียบเทียบจากโฉมก่อน 

และเมื่อต้องการเซอร์วิสเครื่องยนต์ก็เพียงแต่ปลดล็อคกิ๊บ 2 ตำแหน่งที่ฝั่งเบาะโดยสารก็สามารถที่จะยกเบาะนั่งขึ้นมาแล้วพบกับเครื่องยนต์ K15B ด้านล่าง และอีกหนึ่งคำถามที่ถามกันเข้ามามากมายว่ารถใหม่นี้มีอัตราการบริโภคอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งในครั้งนี้แม้จะไม่ได้มีการทดสอบอัตราสิ้นเปลือง แต่ทางซูซูกิก็ได้เคลมตัวเลขไว้ที่ 13.3 กม./ลิตร ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ และน้ำหนักการบรรทุกในแต่ละครั้งนั้นๆ ประกอบด้วย 

สิ่งที่ชอบ ต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งรถกระบะบรรทุกเกียร์ธรรมดาที่ขับขี่ได้ง่ายมากๆ แม้จะไม่ได้ใช้งานรถเกียร์ธรรมดาเป็นชีวิตประจำวัน แต่ก็สามารถกระโดดขึ้นมาขับเจ้า Suzuki CARRY ใหม่ นี้ได้เลยอย่างคล่องแคล่ว และด้วยราคาค่าตัวไม่ถึง 4 แสนบาท (ราคารถ 385,000 บาท) นับเป็นการเริ่มต้นธุรกิจในรูปแบบที่กำลังเป็นที่นิยมได้อย่าง Food Truck ซึ่งรองรับการตกแต่งได้อย่างหลากหลาย และมั่นใจได้มากกับศูนย์บริการ

สิ่งที่ไม่ชอบ หากมองว่านี้คือรถเพื่อการพาณิชย์ ก็ต้องยอมรับว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เราอาจคุ้นเคยนั้นไม่จำเป็นเท่าไหร่ในรถประเภทนี้ รวมไปถึงการเก็บเสียงของห้องโดยสารเองก็ตามที่ยังทำได้ไม่ดีเมื่อขับขี่ในช่วงความเร็วเดินทาง แต่ทั้งหมดนี้นั้นถูกอธิบายด้วยตัวของมันเองแล้วว่า นี่คือรถเพื่อการพาณิชย์ที่เน้นใช้งานบรรทุก ไม่ใช้เพื่อการโดยสารทั่วไป 

ทั้งหมดนี้กับอีกหนึ่งการทดสอบรถใหม่เพื่อการพาณิชย์ที่เน้นใช้งานบรรทุกหนัก มีความสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุก 945 กก. มีขนาดตัวรถที่เล็กกะทัดรัด สามารถตอบโจทย์กลุ่มคนที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองในรูปแบบ Food Truck หรือการดัดแปลงรูปแบบต่างๆ ที่พร้อมออกจากโชว์รูมโดยที่พวกเขาไม่ต้องไปเสียเวลาตกแต่งต่อเติมเอง และจากข้อมูลนับตั้งแต่เปิดตัวเพียงประมาณไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็สามารถกวาดยอดไปได้แล้วมากกว่า 500 คัน ใครที่สนใจก็สามารถไปสัมผัสทดลองขับกันได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ สุดท้ายนี้อย่าลืมที่จะทดลองขับด้วยตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะมีแต่คุณเท่านั้นที่จะรู้ว่าต้องการอะไร...