Test Drive: รีวิว ทดลองขับ All-New Honda HR-V e:HEV RS ช่วงล่างอย่างเทพ, ประหยัดสุดยอด
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 13 ธ.ค. 64 00:00
- 29,338 อ่าน
เอาจริงนะ ผมเองเป็นคนที่ไม่ได้ถูกใจกับการออกแบบของ Honda HR-V ที่เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยใน Generation ที่ 2 ตั้งแต่ปี 2014 ด้วยความที่ผมเองอาจจะอายุเยอะเกินไปสำหรับรถรุ่นนี้ เลยทำให้มันดูไม่เหมาะกับผมสักเท่าไหร่ก็เป็นได้
แต่กับการเปิดตัวแบบปรับโฉมใหม่ในแบบ Model Change ในรอบนี้ เอ๊ะ ทำไมมันถึงได้สวยขึ้นหว่า ด้วยการออกแบบของ All-New Honda HR-V ที่ออกไปแนวที่เพิ่มอายุมากขึ้น เลยทำให้ตอนนี้ผมต้องกลับมามองรถคันนี้อย่างจริงจังเสียแล้ว โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่รถคันเก่าก็อยู่ในสภาพที่อาจจะต้องลาจากกันไปแล้วหลังจากอยู่ร่วมกันมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว
หลังจากที่ทาง ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย เผยโฉมรุ่นใหม่เจน 3 ของ All-New Honda HR-V ได้ไม่นาน ผมในฐานะทีมงาน AUTODFET ก็ได้รับเทียบเชิญจากทางฮอนด้า ให้มาร่วมทดสอบรถยนต์ใหม่ 2021 ด้วยทันที แน่นอนว่าปฏิเสธไม่ได้แน่นอน เพราะถือเป็น 1 ในรถตัวเลือกที่ผมมองเอาไว้ว่าจะเอามาใช้ในครอบครัว และแน่นอนว่าต้องเอามารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน
ก่อนได้เริ่มขับ เรามารับรู้ข้อมูลเบื้องต้นของ All-New Honda HR-V e:HEV กันก่อนเลยดีกว่า โดยรอบนี้ผมได้ทดสอบรุ่น RS ที่เป็นตัวบนสุด ดังนั้นออพชั่นจึงเป็นรุ่นนี้ โครงสร้างมีการปรับใหม่ ตัวมิติของรถเลยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในรุ่นนี้จะมีขนาด 4,385 x 1,790 x 1,590 มม. ซึ่งตัวความยาวจะยาวกว่าตัวเก่า 39 มม. ฐานล้อกว้างเท่าเดิม 2,610 มม. สูงใต้ท้อง 196 มม. สูงกว่าตัวเดิม 26 มม. ช่วงล่างหน้า ใช้เป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท เหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังยังคงเป็นแบบคานเดี่ยวทอร์ชั่นบีม
รอบนี้ของรถใหม่ All-New Honda HR-V เลือกใช้งานเครื่องยนต์ e:HEV กันทุกรุ่นย่อย ใช้ชุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ให้พลังได้สูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันได้สูงสุดระดับ E20 ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้พลังงานได้สูงสุด 131 แรงม้า 253 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์แบบ E-CVT ไม่ได้มีการระบุกำลังสูงสุดเมื่อผสานกำลังกัน แต่วิศวกรให้ดูกำลังสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าได้เลย รวมทั้งตัวแบตเตอรี่ Lithium-ion ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่ามีความจุเท่าไหร่ แต่ก็คาดว่าน่าจะมีขนาดเท่ากับของ Honda City e:HEV นั่นก็คือขนาด 1.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงนั่นเอง
การออกแบบภายนอกนั้น กระจังหน้ามีการยกชุดเปลี่ยนไปจากเดิมจนไม่เหลือเค้าเดิม กระจังหน้าใช้เป็นแผงเม็ด ๆ สีเทา ที่ติดอยู่บนแผงตะแกรงสีดำ มีตรา Blue H-Mark ขอบสีฟ้า ติดอยู่ตรงกลางกระจังหน้าด้านล่างในส่วนของกันขนมีเส้นสีดำนอนเป็นแนวขวางขนานกับตัวถนน แต่มีเส้นสีแดงแทรกอยู่ 1 เส้นเพื่อเน้นให้เห็นว่านี่คือชุดแต่ง RS โดยเส้นนี้มีส่วนที่เขาเรียกว่า AMP UP เหมือนเส้นเสียงที่กระตุกขึ้นประมาณนั้น ไฟหน้า LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ ที่มีทรงเรียวยาวโฉบเฉี่ยว มีเส้นโครเมียมต่อจากไฟ DRL ทำให้ดูว่าเส้นไฟนั้นต่อกันจากซ้ายไปขวา และมีแผงไฟเลี้ยวแบบ Sequential อันสวยงามตัดเป็นขอบด้านบน มีไฟตัดหมอกเป็นเม็ด LED 5 ดวง เรียงตัวเป็นแนวนอนฝังอยู่ที่มุมของกันชน สวยงามดี
ด้านข้างนั้น จะมีการตัดขอบเล่นแถบสีดำในด้านล่าง ไล่ตั้งแต่กันชนหน้า วิ่งผ่านซุ้มล้อหน้า ลงมาลากยาวในแถบสเกิร์ตด้านข้าง ก่อนที่จะวิ่งไปเป็นซุ้มล้อหลัง บนหลังคา มีเสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ ติดกับแผงกระจกบานใหญ่เต็มหลังคา กระจกมองข้างและมือจับประตูแบบ Smart Entry เป็นสีเดียวกับตัวรถ ล้อแม็กซ์อัลลอยสีรมดำขนาด 18 นิ้ว รัดมาด้วยยางขนาด 225/50R18 ของ Bridgestone
ด้านหลังนั้น ฮอนด้ามีการออกแบบตัวไฟให้เป็นแนวนอนขนานกับพื้นโลก เพื่อให้ดูว่า All-New Honda HR-V e:HEV RS คันนี้ดูกว้างมากกว่าเดิม ใช้แผงไฟ LED ทั้งชุดแบบ Light Strip สี Smoke แต่พอใช้งานจริงแล้ว ไฟเลี้ยวดูจะเล็กไปนิด วิ่งตามหลังช่วงแดดจ้าอาจจะเห็นไม่ถนัดเท่ารุ่นก่อน สเกิร์ตด้านหลังเป็นสีดำยางทั้งแผง ประตูเป็นแบบไฟฟ้า เปิดได้ด้วยระบบ Hand Free เพียงแค่เตะเข้าไปที่ใต้กันชนตรงกลาง และที่พิเศษมากขึ้นก็คือ มีระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถด้วย เพียงแค่เรากดปุ่มที่อยู่บนฝาประตูรถ (ที่ไม่ใช่ปุ่มปิดประตู) ยกของแล้วเดินจากไปได้เลย รถจะทำการปิดฝาท้ายให้อัตโนมัติ และถ้าประตูทุกบานปิดสนิท ระบบจะล็อกประตูให้ด้วยเช่นกัน
ขยับเข้าไปที่ภายในบ้าง โดยเบาะนั่งนั้น หุ้มหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดงแบบสปอร์ต ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางเฉพาะเบาะคนขับเท่านั้น ส่วนคนนั่งข้างปรับมือเอาเอง คอนโซลออกแบบมาให้ดูเรียบง่ายเป็นเส้นตรงจากซ้ายไปขวา เพื่อให้ตัวรถนั้นดูกว้างขวางมากขึ้น ไม่มีปุ่มให้กดเยอะอะไร เน้นเอาไปใส่ในตัวหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto เสียมากกว่า เครื่องเสียงส่งเสียงผ่านลำโพง 8 ตำแหน่ง ปุ่มที่มีให้จะเฉพาะที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นปุ่มควบคุมอุณหภูมิ, ปุ่มไฟ Hazard หรือปุ่มบนหน้าจอพวกเรียกเมนูหรือเพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นเอง มีช่อง USB ให้เชื่อมต่อหน้าจอ 1 ช่องและสำหรับชาร์จไฟอีก 1 ช่อง และยังคงมีช่อง Power Outlet อยู่เช่นเคยด้านล่าง และข้างใต้มีช่อง Wireless Charger ให้ใช้งานได้สะดวก ส่วนแอร์นั้นเป็นระบบอัตโนมัติ แต่ไม่แยกโซนซ้าย-ขวา
พวงมาลัยเป็นแบบทรงกลม ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง หุ้มหนังสีดำสัมผัสดี พร้อมเดินด้านแดงเพิ่มความสปอร์ต (สรุปว่าสปอร์ตจะสีแดงหรือสีดำ) มีวัสดุ Piano Black เป็นก้านเงางามด้านล่าง มีปุ่ม Muti-Function ที่เอาไว้ควบคุมหน้าจอและระบบความปลอดภัยได้ด้วยการกดปุ่ม หน้าจอข้อมูลการขับขี่ ด้านขวายังเลือกใช้งานเป็นแบบเข็ม แต่ด้านซ้านเป็นแบบหน้าจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว บอกข้อมูลได้เยอะแยะมากมาย สาธยายไม่หมด ตัวปรับลมของช่องแอร์ด้านข้างที่ติดกับประตู มีลูกบิดให้หมุนได้ 3 ตำแหน่ง โดยมีการเปิดและปิดเหมือนรถทั่วไป แต่พิเศษมากขึ้นด้วยตำแหน่ง ระบบ Air Diffusion System โดยช่องปรับอากาศได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ มอบทิศทางลมที่หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ กระจายลมได้อย่างเหมาะสม ทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร จะดีหรือไม่ดีอย่างไร ตอนขับมาว่ากันอีกที มีก้าน Paddle Shift ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เปลี่ยนเกียร์ แต่ทำหน้าที่เปลี่ยนความหน่วงในช่วงปล่อยรถไหลได้มาให้ด้วย
คันเกียร์ของรถยนต์ใหม่ 2021 All-New Honda HR-V e:HEV RS เกียร์แบบ E-CVT ยังคงเป็นก้านยื่นยาวขึ้นมาหุ้มด้วยหนังเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ ของฮอนด้า แต่ด้วยความที่รถคันนี้เป็นรถระบบ Hybrid จึงไม่มีการเล่นเกียร์แบบสปอร์ตได้ จึงมีให้มาเฉพาะเกียร์ B เผื่อเอาไว้ใช้งานในช่วงต้องลงเขาเท่านั้น ขยับมาอีกหน่อย จะมีปุ่มให้เลือกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น
• ECON Mode - โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ตามรูปแบบการขับขี่
• Normal Mode - โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป
• Sport Mode - โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้พร้อมตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้น เพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ
ขยับมาอีกนิดก็จะเป็นปุ่ม Hill Descent Control: HDC หรือระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของวงการรถอเนกประสงค์ SUV ในประเทศไทยเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วระบบนี้จะมาเฉพาะบนรถกระบะรูปแบบ 4x4 หรือรถอเนกประสงค์ PPV เท่านั้น ขยับลงมาอีกนิดคือปุ่มเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ในเวอร์ชั่นใหม่ แล้วจะเล่าให้อ่านอีกทีว่ามันมีดีอะไร
ด้านหลังนั้น มีช่องแอร์เพื่อกระจายความเย็นส่งตรงของผู้โดยสารตอนหลัง มีช่อง USB ให้ชาร์จโทรศัพท์ได้อีก 2 ช่องแบบไม่ต้องแย่งคนข้างหน้าใช้ (นั่งคนที่ 5 ก็ชาร์จจาก Power Bank เอาเอง) แต่ความอรรถประโยชน์นั้นอยู่ที่เบาะหลัง ที่สามารถพับได้แบบแบ่ง 60:40 แล้วใช้งานได้หลากหลาย เพราะมันสามารถยกในส่วนตัวเบาะรองก้นให้ยกขึ้นมาได้ด้วย รูปแบบการพับของทางฮอนด้าจึงแบ่งเป็น
• Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย
• Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
• Tall Mode: ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของ ฮอนด้า ที่สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้น
เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง ซึ่งมีเพียงฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่นเดียวในเซกเมนต์ที่สามารถพับเบาะในโหมดนี้ได้
(Copy มาจากข่าวแจก)
เอาล่ะ มาว่ากันเรื่องระบบความปลอดภัยดีกว่า รอบนี้ฮอนด้าจัดเต็มอีกแล้ว ด้วยการยัดระบบความปลอดภัย Honda Sensing มาเต็มรูปแบบ ชุดเดียวกับที่ใส่มาบน All-New Honda Civic เลย ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า
โดยระบบ Honda Sensing จะมาในทุกรุ่นย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อตัวท็อปสุดเพื่อให้ได้ระบบนี้มาใช้งานอีกต่อไปแล้ว แต่เท่านี้ยังน้อยไป ยังมีระบบความปลอดภัยเพิ่มเติมอีกหลานอย่าง ดังนี้
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
- ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (AHA)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็วรถ (Auto Door Lock by Speed)
- ระบบกุญแจนิรภัย IMMOBILIZER พร้อมสัญญาณกันขโมย
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
รู้จักตัวรถมามากพอแล้ว เรามาเริ่มขับขี่เพื่อทำการรีวิว รถอเนกประสงค์ SUV All-New Honda HR-V e:HEV RS กันเลยดีกว่า เยื้องต้นการเข้าไปนั่งในตัวรถที่ตำแหน่งคนขับนั้น ผมว่ารอบนี้ฮอนด้าออกแบบมาให้ตัวรถดูกว้างมากขึ้นพอตัวเลย โดยเฉพาะที่นั่งด้านหลังที่ Head room เหลือเยอะมากกว่าเดิมพอตัว ด้วยความที่ถูกออกแบบให้การลาดลงนั้นลดน้อยลง หน้าต่างกว้างขึ้น เลยทำให้ตัวรถนั้นดูกว้าขึ้นไปได้ในทันที อย่างที่บอกไปแล้วว่ารอบนี้คุณพี่เขามาเอาใจเอนเอียงมาทางด้านครอบครัวมากขึ้น ลดความวัยรุ่นลงไปพอสมควร รถเลยดูใหญ่ขึ้นประมาณหนึ่งเลย และที่ต้องยอมรับคือ การที่ได้หลังคากระจกมาด้วนั้น ทำให้รถดูกว้าง โปร่ง โล่งสบายได้อีกเพียบเลย ถึงแม้ว่าจะเปิดไม่ได้ก็ตาม แต่มันก็มีความดีงามมากมายเลย
คำถามที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมด้านหลังถึงใส่มาเป็น Sun Shade แทนที่จะใช้แบบม่านเหมือนกับด้านหน้า ทางวิศวกรผู้ออกแบบจากประเทศญี่ปุ่นโดยตรงได้ตอบว่า เพราะต้องการให้หลังคากระจกมีความ “กว้าง” มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การเอามาใส่เป็นม่าน จะต้องลดขนาดของตัวกระจกให้เล็กลงเพื่อมีพื้นที่ในการเก็บม่าน เลยออกมาเป็นแบบนี้ ผมก็นึกเอาเองว่า มันจะทำให้เล็กลงได้สักกี่เซนต์ได้หว่า แต่ก็ได้แต่หัวเราะเก็บไว้ในใจ เขาว่าไวก็ว่างั้น และคำถามต่อมาคือ แล้วติดฟิล์มได้ไหม คำตอบคือ ติดได้ครับ ไม่มีผลอะไร แต่กระจกที่ใช้ก็เคลือบสารกันแสงและความร้อนได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ติดก็ได้นะ
ส่วนเรื่องของเครื่องยนต์นั้น ถ้าดูตามสเปกแล้ว เครื่องยนต์จะให้กำลังได้สูงสุด 105 แรงม้า แรงบิด 127 นิวตันเมตร บวกพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 131 แรงม้า แรงบิด 253 นิวตันเมตร แต่พอถามถึงกำลังสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกัน ทางวิศวกรดันบอกว่า ให้ดูแรงสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าได้เลย ทำให้ผมและเพื่อน ๆ งงกันรอบวง ว่าทำไมถึงได้คำตอบมาแบบนี้ เมื่อถามย้ำว่า ทำไมถึงไม่มีการรวมพลังของเครื่องยนต์ผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบที่ค่ายรถอื่น ๆ ทำ เพื่อที่ตัวเลขจะได้ทะลุโลกกะเขาบ้างคำตอบที่ได้คือ ส่วนใหญ่แล้วรถจะทำงานด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ จริงอยู่ว่าอาจจะมีบางจังหวะที่มีการทำงานพร้อมกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มันก็ไม่ได้สร้างแรงให้มากขึ้นไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ ดังนั้นการใช้ตัวเลขที่สามารถขับได้จริง ดูจะมีความจริงมากกว่า ดังนั้นใช้เลขสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าน่ะ ดีแล้ว ไม่อยากใส่ตัวเลขเกินจริงแต่พอใช้จริงแล้วได้ไม่ถึง ว้าว ตอบตรงแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
และเมื่อได้ลองขับจริงแล้ว All-New Honda HR-V e:HEV RS มันก็ได้ความรู้สึกในการขับขี่ที่แทบจะไม่ต่างกับคู่แข่งที่เคลมเอาไว้ว่าได้สูงสุดถึง 190 แรงม้าจริง ๆ ช่วงต้นดูสนุกสนาน กดคันเร่งแล้ว รถแทบจะพุ่งตามเท้าไปเลย ให้อารมณ์แบบเดียวกับการใช้รถไฟฟ้าได้ประมาณหนึ่ง แต่มันจะมาถึงแค่ช่วงกลาง แต่พอเข้าช่วงเร็วปลายหลังร้อยก็จะเริ่มแผ่ว ประเมินว่ามาจากการที่ไฟเริ่มจะหมด จึงมีการดึงกำลังจากเครื่องยนต์มาใช้แทน แล้วกำลังเครื่องยนต์มันก็ไม่มากเท่ามอเตอร์ไฟฟ้า เราถึงรู้สึกได้ว่ามีอาการขึ้นได้ช้าลงนั่นเอง แต่เชื่อผมเถอะ เวลาคุณขับในเมืองแล้ว มันสนุกกว่าการขับรถน้ำมันล้วนอย่างแน่นอน และถ้าเราเคารพกฎจราจร ในการขับด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม เราก็ใช้งานรถใหม่คันนี้ได้อย่างไม่มีอะไรอึดอัดแน่นอน
สำหรับช่วงล่างนั้นคือว้าวเลย เป็นการเซ็ตมาได้อย่างลงตัว ความนุ่มนวลอยู่ในระดับที่กำลังดี เอนไปทางแข็งเล็กน้อย แต่ไม่มีปัญหากับการใช้งานแน่นอน นั่งหลังไม่จุกเวลาวิ่งผ่านถนนที่เรียบน้อย ยิ่งเวลาวิ่งด้วยความเร็วระดับ 100 กม./ชม. ขึ้นไป ก็นิ่งดีเลย ผมเองได้มีการทดสอบ Top Speed อยู่ช่วงหนึ่งที่ระดับ 160 กม./ชม. รถยังนิ่งอยู่เลย นิ่งกว่า HR-V ในโฉมเก่าด้วยซ้ำ (อย่าถามว่านานแค่ไหนกว่าจะถึง) อันนี้ชมเชยเลย ขอย้ำอีกรอบว่า รอบนี้ผมทดสอบในรุ่น RS ที่ออกแบบมาเพื่อให้ออกแนวซิ่งเล็กน้อย เลยต้องเซ็ตค่าของช่วงล่างให้แน่นมากกว่าตัว E หรือ EL ที่มียางขนาด 17 นิ้ว และเน้นใช้งานแบบนุ่มนวลมากกว่า แต่ที่ยังไม่ได้ลองแบบจริงจังคือการเข้าโค้งบนภูเขาว่าทำได้ดีขนาดไหน เอาไว้รอยืมมาทดสอบเดี่ยวค่อยว่ากันอีกที แต่ที่แน่ ๆ ก็คือพวงมาลัยที่ให้น้ำหนักดีมาก มีความคม แม่นยำในการหมุนดีเลย ไม่หนักไปยามใช้งานช่วง Walking Speed ไม่เบาไปยามวิ่งความเร็วสูง เจ๋งมาก
แต่สิ่งที่ไม่โอเคกับการทดลองขับ All-New Honda HR-V e:HEV RS รอบนี้ ก็คือเสียงของพื้นถนน, เสียงยางที่เข้ามาในตัวรถได้เยอะมากไปหน่อย อื้ออึงหูมาก ๆ เสียงลมจากกระจกน่ะมีเข้าน้อย แต่เจอเสียงพื้นเข้าไปนี่แทบจะกลบทุกอย่างเลย ประมาณเดียวกับที่เคยได้ลองตัว Honda City Hatchback อะไรประมาณนั้น ที่แย่ไปใหญ่ก็คือการนั่งด้านหลัง ที่ดังมากกว่านั่งด้านหน้าซะอีก เสียดาย แถมเลียงเครื่องยนต์ก็ดังพอสมควร เวลาเราต้องการใช้พลังงานเพื่อเปลี่ยนความเร็ว เครื่องจะทำงานเหมือนตัวเองเป็นเครื่องปั่นไฟ ไม่ได้ทำหน้าที่ในการส่งพลังไปที่ล้อ ดูมันจะวิ่งรอบสูง ครางเสียงดังเกินหน้าที่ไปนิด อันนี้ต้องลองขับเองถึงจะได้ยิน
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ยกเซ็ตมาชุดเดียวกับ Honda Civic ใหม่เลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะชุดความปลอดภัย Honda Sensing ที่มีมาครบทุกรุ่นย่อย เปิดมิติใหม่ของการขายรถในเมืองไทย ที่ไม่ต้องเอารุ่นท็อปสุดเท่านั้น ก็ได้ชุดความปลอดภัยตัวท็อปได้แล้ว รอบนี้ได้ทดสอบไปหลายตัว ก็ทำงานได้ดีทั้งหมด ยกเว้นระบบ ACC ที่ผมว่ามันทำงานแบบ Aggressive มากไปหน่อย หมายถึงว่าเวลาจะเบรกตอนที่เจอรถคันหน้าใช้ความเร็วต่ำ พวกจะเบรกช้าและเบรกแรงมากกว่าที่ใช้งานบน Honda Civic ประมาณหนึ่งเลย เบรกช้าขนาดไหน ช้าขนาดที่ระบบเตือนการชนด้านหน้าเตือน ทั้งที่ผมปล่อยให้ระบบตัดสินใจในการใช้คันเร่งและเบรกเอง เบรกแรงจนหน้าทิ่มหลายรอบ เบรกช้าจนผมยอมที่จะแตะเบรกด้วยตัวเอง สุดท้ายในช่วงความเร็วสูงแบบรถหนาแน่น ผมต้องเลิกใช้ แล้วหันมาใช้บริการเท้าตัวเองดูจะปลอดภัยและเวียนหัวน้อยกว่า แต่ก็ยังยืนยันนะ ว่าถ้าใช้ช่วงความเร็วต่ำ ประมาณใช้ในเมือง มันก็ยังทำงานได้อย่างดีนะ ระบบจะทำงานจนหยุดนิ่ง และเริ่มทำงานใหม่ได้อีกครั้งเมื่อเราแตะคันเร่งหรือปุ่ม Resume บนพวงมาลัย แถมยังมีระบบช่วยเตือนเมื่อรถด้านหน้าขยับ สะดวกมากจริง ๆ
อุปกรณ์ที่รอบนี้ All-New Honda HR-V e:HEV RS ใส่มาแล้วผมนี่กรี๊ดลั่นรถเลย ก็คือระบบ Auto Hold ที่ปกติแล้วในรถเกือบทุกรุ่น ถ้าเราจะใช้งานเราก็ต้องทำการกดปุ่มทุกครั้ง ระบบถึงจะเปิดการใช้งานให้ เวลาเราใส่เกียร์ P หรือดับเครื่อง ระบบก็จะถูกปิดไป ขึ้นรถมาสตาร์ทใหม่ หรือเลื่อนกลับไปที่เกียร์ D ใหม่ เราก็ต้องมากดใหม่ถึงจะใช้งานได้อีก แต่รอบนี้ฮอนด้าเพิ่มความสะดวกมากขึ้นด้วยการเปิดใช้งานตลอดเลย เรียกได้ว่ากดครั้งแรกครั้งเดียว ใช้งานได้แบบยาว ๆ ไม่ต้องกดใหม่ อยากยกเลิกก็กดปุ่มอีกครั้ง เท่านี้ก็ปิดการใช้งานได้เลย ผมนี่ชอบมากเลยครับ
อีกมุมที่ผมชอบก็คือ ช่องแอร์ข้างประตู ที่มาในรูปแบบใหม่ ที่เขาเรียกว่า Diffusion ปกติแล้ว แอร์ตรงข้างประตูเนี่ย ปรับยังไงก็เป่ามือ รอบนี้ออกแบบใหม่ให้มีทั้งแบบเป่ามือ (เป่าจนมือเป็นไอศกรีม) ถ้าไม่ชอบ ก็สามารถหมุนปุ่มให้ลมไปออกด้านข้างได้ ลมจะเป่าเหมือนเป็นม่านลมคอยบังความร้อนจากกระจกข้างเอาไว้ให้ แล้วพุ่งผ่านไหล่ของเราไปถึงด้านหลัง สร้างการหมุนของอากาศไปทั่วทั้งคัน (หูย) ผมเองก็ชอบนะ เพราะเบื่อการถูกเป่ามือจนชาจะแย่อยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันจะไม่เย็นฉ่ำเหมือนการถูกเป่ามือ แต่อย่างน้อยเราก็เลือกได้ว่าจะเอาแบบไหน
มาดูกันเรื่องอัตราประหยัดบ้าง เอาจริง ๆ แล้วผมไม่ได้ทำการจับอัตราประหยัดกันอย่างจริงจัง เพราะเป็นการขับขี่แบบ Group Test และขับกัน 2 คน มีเส้นทางและเวลากำหนดเอาไว้แล้ว จึงไม่สามารถจับแบบที่เคยจับไม่ได้ แต่บอกคร่าว ๆ ได้ว่า เริ่มเส้นทางจากนิคมอุตสาหกรรมบางชัน วิ่งผ่านเส้นวงแหวนรอบนอก ก่อนที่จะเผลอหลงไปเส้นทางบางนา-ตราดเล็กน้อย (จะไปไหน) ก่อนจะวกกลับมาวงแหวนอุตสาหกรรมมาลงพระราม 2 ซึ่งช่วงนี้ก็เจอกับการจราจรปกติ รถเยอะ ทำความเร็วได้ไม่มาก วิ่งเร็วได้แค่บางช่วง วิ่งไหลแบบยาวหน่อย ตัวเลขออกมาแตะเลข 20 กิโลเมตร/ลิตรได้เลย โห ประหยัดมาก จากนั้นก็วิ่งด้วยความเร็วไปแถว 120 กม./ชม. เกินบ้างในบางจังหวะ ตัวเลขก็ลงมาแถว 17.7 กิโลเมตร/ลิตร จากนั้นก็เอาไปเทส 0-100 กับลอง Top Speed ตัวเลขหล่นมาที่ 17 กิโลเมตร/ลิตร ก่อนที่จะจบแถวตัวเมืองหัวหิน ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ได้ตัวเลขสุดท้ายมาที่ 17.3 กิโลเมตร/ลิตร เฮ้ย ประหยัดมาก ประหยัดกว่ารถ ECO Car ที่เคยเทสด้วยซ้ำ รอบนี้ต้องชมการออกแบบวิธีการใช้พลังงานได้ดีมาก คิดว่าจะมีการเน้นใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก แล้วเน้นให้เครื่องยนต์ทำตัวเป็นเครื่องปั่นไฟฟ้าเป็นงานหลัก แต่ก็พร้อมจะปั่นล้อด้วยก็ได้ อันนี้ต้องชมเลย
เอาล่ะ มาถึงการทดสอบ 0-100 กันดูบ้าง รอบนี้เช่นเคยครับ ผมใช้แอพ iBolid 0-100 บน iPhone 11 ในการจับเวลา และเดินทางกัน 2 คนพร้อมสัมภาระนิดหน่อย ได้เวลาออกมาดังนี้ครับ
ครั้งที่ 1 - 10.45 วินาที
ครั้งที่ 2 - 10.19 วินาที
ครั้งที่ 3 - 10.31 วินาที
เฉลี่ย - 10.31 วินาที
อัตราระดับ 10 วินาทีในรถอเนกประสงค์ SUV B ขนาดเกือบตันครึ่ง ได้อัตรามาขนาดนี้ถือว่าดีเลยครับ เอาเป็นว่าวัดออกไฟแดงกับรถในกลุ่มราคาเดียวกัน ไม่แพ้ใครง่าย ๆ แน่นอน
สรุปการขับขี่ All-New Honda HR-V e:HEV RS ไปได้ประมาณร้อยกว่ากิโลเมตร พอจะสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้ครับ
ชอบ
- ช่วงล่าง ชอบมาก ให้ความนุ่มหนึบ เกาะถนนดีมาก วิ่งความเร็วสูงยังนิ่ง
- หลังคากระจก ติดมาแล้วทำให้รถดูโปร่งโล่งสบายกว่าตัวเก่ามากเลย
- พวงมาลัยคม น้ำหนักดี
- อัตราประหยัด ขนาดยัดเต็มเท้า ขยี้ไปหลายรอบ ยังได้เกิน 17 เลย
ไม่ชอบ
- ทำไมเสียงจากใต้รถเข้ามาเยอะจัง
- ระบบ ACC ทำงานไม่เนียนเท่า Civic
All-New Honda HR-V e:HEV RS ถือเป็นตัวท็อปแล้วในรุ่น ตั้งราคาขายเอาไว้ที่ 1,179,000 บาท แพงขึ้นกว่าตัวเก่าอีก 60,000 บาท แต่ได้เครื่องยนต์ Hybrid และอุปกรณ์เพิ่มเติมอีกมากมาย โดยเฉพาะระบบความปลอดภัย Honda Sensing ที่ตีมูลค่ามาก็น่าจะเกินแล้ว จริงอยู่ว่าภาพลักษณ์อาจจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่เชื่อเหอะว่าการขับขี่นั้นมันยังสนุก ตรงใจวัยรุ่นได้อย่างแน่นอน
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com