Test Drive รีวิว ทดลองขับ Mazda2 Clap Top รถใหม่แต่งพิเศษ อัพเกรดตัวล่างสุดให้เท่มากขึ้น
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 3 ส.ค. 66 10:43
- 7,567 อ่าน
ถ้าจะให้พูดถึงรถ Eco Car ในตลาดของเมืองไทย ความหลากหลายของทางเลือกในการใช้งานของผู้ที่ต้องการหารถราคาย่อมเยา ประหยัดน้ำมัน ทางเลือกที่มีอยู่หลากหลายมาที่สุดคงหนีไมท่พ้นยี่ห้อจากแดนปลาดิบอย่าง Mazda2 นั่นเอง
Mazda2 มีทางเลือกให้เป็นเจ้าของทั้งรูปแบบ Sedan และ Hatchback แถมยังมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งแบบเบนซิน Skyactiv-G 1.3 และ เครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D 1.5 เรียกได้ว่า ลูกค้าสามารถเลือกใช้งานรถที่เหมาะตัวเองได้อย่างละเอียดมากสุดในตลาดกลุ่ม Eco Car ด้วยกันแล้ว นี่ยังไม่รวมรุ่นย่อยต่าง ๆ ที่มีให้เลือกอีกเพียบ
และในปีนี้เอง ทางมาสด้าได้มีการเพิ่มทางเลือกให้กับทางผู้ซื้อได้อีก ด้วยการเปิดชุดแต่พิเศษ ทั้ง Rookie Drive และ Clap Pop ที่มีการนำเอารุ่นเริ่มต้นมาแต่งใหม่ให้ดูเอาใจวัยรุ่นมากกว่าเดิม จากเดิมที่ดูธรรมดาสุด ๆ เพราะต้องการกดในส่วนของราคาค่าตัวให้อยู่ในระดับที่สามารถเอื้อมถึงได้ง่ายที่สุด มาให้กลายเป็นเจ้าชายน้อยที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือรถที่เคยเป็นรุ่นเริ่มต้นมาก่อน
การรีวิวรถใหม่ในรอบนี้ มาจากการที่มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้มีการชักชวนบรรดาสื่อมวลชนสายยายยนต์และสายวาไรตี้บางส่วน มาลองขับรถใหม่รุ่นนี้ เอาจริง ๆ แล้ว ในแต่ละกรุ๊ปก็จะมีรถ Mazda2 หลากหลายรุ่นในการทดสอบ แต่ผมแจ๊คพอตโชคดีได้ขับตัวแต่งใหม่อย่าง Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop ก็เลยเป็นจังหวะดีที่จะได้เอามารีวิวเพื่อให้ทุกคนได้มารู้จักกับรถคันนี้ได้มากขึ้นนั่นเอง
Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop เป็นการเอารุ่นเริ่มต้นอย่าง Mazda2 1.3 C Sports มาใส่ชุดแต่งเสริมพิเศษ เพื่อให้รถคันนี้มีความดึงดูดวัยรุ่นให้เพิ่มมากขึ้น เอาสิ่งที่ดูเด่นที่สุดสำหรับผมคือ ล้อกระทะที่จากเดิมดูแสนจะธรรมดา แต่ในชุดแต่งนี้จะมีฝาครอบล้อสีขาว Ceramic Metallic ครอบไปบนล้อขนาด 15 นิ้ว ที่มาพร้อมกับยางขนาด 185/65 R15 ทำให้ด้านข้างรถนั้นดูดีขึ้นมาอย่างมากเลยทีเดียว ใส่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ , กระจกมองข้าง และหลังคาให้เป็นสีขาว สีเดียวกับที่ใส่ลงบนล้อเลย เสริมความขาวลงบนกระโปรงหน้าและประตูท้ายด้วยสติกเกอร์สีขาวลงไปอีกชุด ทำให้รถคันนี้ดูดีขึ้นมาพอตัวเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือใน Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop นั้น ก็เป็นเหมือนรุ่นเริ่มต้นทั่วไปเลย ทั้งเครื่องยนต์แบบเบนซิน Skyactiv-G 1.3 ลิตร 4 สูบ ที่ให้กำลังได้สูงสุด 93 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมโหมด Manual Activematic ที่เพิ่มความสนุกในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น พร้อมโหมดการขับขี่ 2 รูปแบบ ทั้งโหมด Normal และ Sport รองรับการใช้งานน้ำมันได้สูงสุดที่ E20 ช่วงล่างเลือกใช้งานด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson strut พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ Torsion Beam กึ่งอิสระ เบรกหน้าเป็นแบบดิสก์เบรก และด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก
มิติตัวรถของ Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop อยู่ที่ 1,695 x 4,080 x 1,515 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ฐานล้อกว้าง 2,570 มม. เป็นรถ Hatchback ที่ขนาดไม่ใหญ่มาก โดยตัวใต้ท้องรถสูงจากพื้นเพียง 145 มม.เท่านั้นเอง ไฟหน้าใส่มาเป็นแบบ LEDPorjector ปรับระดับไฟหน้าได้อัตโนมัติ พร้อมเปิด-ปิดได้อัตโนมัติด้วย พร้อมไฟ Day-Time Running Light แบบ LED ส่วนไฟท้ายยังเป็นแบบไฟหลอดธรรมดา กระจกหน้าเป็นแบบ Acoustic Glass ลดเสียงรบกวน เสาอากาศเป็นแบบครีบฉลามสีขาวเช่นเดียวกัน
ภายในของ Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ยังคงใช้วัสดุหุ้มทเบาะเป็นหนังสังเคราะห์ผสมกับผ้า โดยส่วนที่เป็นผ้าจะไม่ได้สัมผัสกับการนั่งของเราเลย ปรับระดับด้วยระบบอัตโนมือ ฝั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง ส่วนฝั่งคนนั่งได้แค่ 4 ทิศทาง เบาะหลังใช้วัสดุเดียวกัน พับเรียบได้แบบ 60:40 หน้าจอกลางใช้แบบระบบสัมผัส 7 นิ้ว (เล็กจัง) โดยจะมีปุ่ม Center Commander ตรงกลางใกล้เกียร์เอาไว้ใช้ควบคุมหน้าจอในช่วงที่รถขับขี่ (รถเลื่อนแล้วสัมผัสที่หน้าจอไม่ได้) รองรับการเชื่อมต่อระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แต่ยังต้องเสียบสายอยู่ มีลำโพงให้ 6 ตัว มีคุณภาพระดับเอาไว้ฟังข่าว
ถึงแม้ว่า Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop จะเป็นการเอารถใหม่ 2023 ตัวล่างสุดมาแต่งเพิ่มเติม แต่ในรถคันนี้ก็ยังใส่ระบบความปลอดภัยมาให้อย่างเยอะพอสมควร โดยเฉพาะระบบ G-Vectoring Control Plus ที่เป็นระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง เอาไว้ใช้ควบคุมการเข้าโค้งมาให้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ก็จะมีเพิ่มเติมทั้ง
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Advance SCBS
- ระบบป้องกันการล้อล็อก 4W-ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบช่วยเบรก BA
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและลื่นไถล TCS
- ระบบควบคุมสเถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC
- ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน ESS
- ถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
- พวงมาลับยุบตัวตามการทำงานของถุงลมนิรภัยและแป้นเบรกแบบยุบตัวได้
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
- เซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด
- กล้องมองหลัง
ข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญก็น่าจะครบถ้วนแล้ว เรามาเริ่มออกเดินทางเพื่อทำการรีวิวรถคันนี้กันเลยดีกว่า รอบนี้เราจะออกเดินทางจากแถวเลียบทางด่วนรามอินทรา มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยปลายทางของเรา จะเป็นสนามของ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ หรือ Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center (ATTRIC) ถ้าให้เรียกอย่างเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ Proving Ground ที่เราเคยเห็นเป็นของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ นั่นเอง เพียงแต่ว่าศูนย์การทดสอบแห่งนี้ จัดสร้างขึ้นโดยรัฐบาลไทย ได้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) มาเป็นแม่งานในการจัดสร้าง โดยที่ ATTRIC นี้ สร้างบนพื้นที่ขนาด 1,235 ไร่ มีสนามในการทดสอบตามมาตรฐานโลกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Skid Pad, Dynamic Platform, Wet Grip Track, Noice Track, Park Brake or Hill, Brake Performance รองรับการออกมาตรฐานของรถยนต์ได้หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น
R13 - Braking System (Truck)
R13H - Braking System (Passenger Car)
R41 - Noise emission (Motorcycle)
R51 - Noise emission (Car)
R79 - Steering Equipment
UN R117 - Rolling Sound Adhesion on Wet Surfaces Rolling resistance
UN R16 - Safety Belt
UN R14 - Safety Belt And ISOFIX Anchorages
UN R100, R136 - EV Battery
นอกจากนี้ ในอนาคตที่ ATTRIC กำลังดำเนินการสร้างอยู่ ก็คือ Oval High Speed Test Track และ Vehicle Crash Test Building ที่จะแล้วเสร็จภายในปี 2026 และจะเริ่มทำการออกการรับรองมาตรฐาน UN R94 และ UN R95 หรือมาตรฐานการป้องกันผู้โดยสารจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง ซึ่งมาตรฐานนี้ จะเป็นมาตรฐานที่ต้องใช้งานการทดสอบเพื่อขออนุญาตในการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทย นั่นหมายความว่า ในอนาคตเราก็ไม่ต้องส่งรถออกไปทดสอบที่ต่างประเทศกันแล้ว ใช้ในเมืองไทยได้เลย
เมื่อเราเดินทางมาถึง เราเริ่มการทดสอบด้วยการวิ่งกันแบบ Gymkhana ที่จำลองเส้นทางแบบเดียวกับสนามฟูจิสปีดเวย์ในประเทศญี่ปุ่น เพียงแต่ย่อส่วนลงมาให้อยู่ในพื้นที่ประมาณ 200 ตารางวาเท่านั้น โดยแต่ละคนจะมีโอกาสได้ทำการซ้อมจำนวน 1 รอบ และทำการจับเวลาอีก 1 รอบ ซึ่งการได้ทดสอบในสนามนี้ทำให้เห็นเลยว่า การทรงตัวของ Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop ยังคงเป็นอันดับต้น ๆ ของกลุ่มรถ Eco Car เช่นเดิม ควบคุมการเข้าโค้งได้ง่าย พวงมาลัยไฟฟ้าก็แม่นยำพอตัว แต่สิ่งที่ยังไม่ค่อยทันใจเท่าไหร่ ก็คือเรื่องของอัตราเร่งบนเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร ที่ตอนต้นยังออกไปแนวทาง “อืด” ไปนิดนึง ถึงแม้ว่าจะใช้โหมด Sport แล้วก็ตาม สรุปแล้วภาพรวมถือว่าโอเคเลยครับ
สถานีต่อมา ก็คือการทดสอบ Slalom, Lane Change และอัตราเร่ง ขับเข้าสถานีด้วยความเร็วประมาณ 40-60 ก็ตามคาดครับ ช่วงล่างไว้ใจได้ พวงมาลัยคม ควบคุมได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะหักเลี้ยวแบบกะทันหันก็ตาม ส่วนเรื่องอัตราเร่ง ด้วยเครื่องยนต์ 93 แรงม้า มันไม่ใช่พละกำลังที่มากพอที่จะทำให้การซิ่งแบบปรู๊ดปร๊าดทำได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าเพียงพอไหมในการใช้เดินทางในเมือง มันพออยู่แล้ว ส่วนการเดินทางต่างจังหวัดก็สบาย แต่อาจจะต้องกะจังหวะดี ๆ หน่อยในการแซงช่วงเลนสวน เพราะมันไม่ได้พุ่งทันใจได้อย่างแน่นอน
สถานีสุดท้าย เป็นการทดสอบการเบรก ซึ่งสถานีพระเอกของเรา ที่เป็นเส้นทางเปียกพร้อมพื้นที่ลื่นนั้น วันนี้เครื่องปั๊มน้ำดันเสีย พื้นเลยไม่ลื่น เราเลยไม่ได้รับอนุญาตในการทดสอบ ได้แต่ลองเบรกบนถนนปกติ ดังนั้นผมจึงขอข้ามในการรีวิวด้วยเช่นกัน
ผมมองว่า ในการเปลี่ยนแปลงรอบนี้ของมาสด้าในการปล่อยรถยนต์ใหม่ 2023 ชุดแต่งพิเศษอย่าง Mazda2 1.3 C Sports Clap Pop ออกมานั้น เป็นการเขย่าตลาดรถ Eco Car ได้เล็กน้อย เพราะอย่างน้อยในช่วงไม่กี่วันหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ รถใหม่ MY2023 อย่าง Mazda2 ก็กวาดยอดจองไปเกิน 1,500 คันไปแล้ว นั่นหมายความว่ารถรุ่นนี้ก็ยังอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคอยู่เสมอ และการที่เอารุ่นเริ่มต้นมาใส่ชุดแต่งใหม่ ก็คือความฉลาดของผู้คิดอย่างมาก และฉีกให้เกิดความต่างขึ้นมาเลยทีเดียว ซึ่งถ้ามองเรื่องราคาในรุ่นเริ่มต้น Mazda2 1.3 C Sports จะอยู่ที่ 599,000 บาท แต่ถ้าใส่ชุดแต่ง Clap Pop ก็ต้องเพิ่มเงินอีก 48,000 บาท รวมเป็น 647,000 บาท ผมว่าในราคานี้ ได้รถที่สะดุดตาคนทั่วไปได้ประมาณหนึ่ง ระบบความปลอดภัยครอบคลุมการใช้งานได้ดี ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่น่าใช้งานพอสมควรเลยครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com