Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2021 Volvo XC60 T8 AWD Polestar Engineered สปอร์ตเอสยูวีเสียบปลั๊ก แรงโหด 422 แรงม้า จากแดนไวกิ้ง

ทุกวันนี้รถยนต์อเนกประสงค์แนวเอสยูวี ได้รับความนิยมมากขึ้นจนทำให้ผู้ผลิตต่างส่งรถรุ่นใหม่ๆออกจำหน่าย ด้วยคุณสมบัติ ความบึกบึนใหญ่โตของตัวรถ อรรถประโยชน์ใช้สอยครบครัน บุกตะลุยไปได้ทุกที่ แรงเร้าใจทุกการขับขี่ แม้กระทั่งมีไว้เพื่อประดับบารมีในวงสังคมด้วยความหรูหราลักชัวรี่ จึงทำให้รถยนต์อเนกประสงค์แนวเอสยูวีในช่วงหลังๆ เติบโตขึ้นสร้างยอดขายกระจุยกันมาแล้วทั่วโลก หนึ่งในนั้นมีผู้ผลิตรถยนต์จากแถบสแกนด

จาก Volvo XC70 ต้นตำรับเอสยูวีที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1998 จนมาถึง Volvo XC90 ในปี 2002 และ Volvo XC60 ทายาทลำดับที่ 3 ออกอาละวาดบนโลกยนตกรรมมาตั้งแต่ปี 2008 จนปัจจุบันนี้เจเนอเรชั่นที่ 2 สืบสานความสำเร็จโดยเมืองไทยเปิดตัวขายจริงตั้งแต่ปลายปี 2017 หลังจากที่ทีมงาน Autodeft ได้เคยนำรุ่น XC60 Recharge T8 AWD R-Design มาแล้ว ครั้งนี้ถึงคิวนำรุ่น XC60 กลับมารีวิวกันอีกครั้งแต่ครั้งนี้มาแนว ดิบ ดุ จากเทพดาวเหนืออย่าง Polestar สำนักแต่งรถคู่บุญของ Volvo ที่ตอนนี้กลายมาเป็นซับแบรนด์รถแรงในเครือเป็นที่เรียบร้อย มอบความโหดสุดขั้วเทียบชั้นซูเปอร์คาร์ มาสิงในร่างเอสยูวีใช้งานเพื่อครอบครัว ภายใต้ชื่อ Volvo XC60 T8 AWD Polestar Engineered

เอสยูวีสัญชาติสวีเดนรุ่นนี้อัพเกรดการตกแต่งเพิ่มเติมจาก Volvo XC60 Recharge T8 AWD ทั้งกระจังหน้าติดโลโก้สัญลักษณ์ธาตุเหล็ก Iron Mark เอกลักษณ์เด่นของวอลโว่ พร้อมกล้องหน้ารถไว้ใช้ในยามจอดรถเข้าซองแบบเอาหน้าเข้าติดตั้งอย่างสง่างามออกแบบอย่างสะดุดตาแบบพิเศษพร้อมตราโลโก้ Polestar โดยชุดกระจังหน้าตกแต่งด้วยสีดำทั้งชิ้นยกเว้นตราโลโก้สัญลักษณ์ธาตุเหล็ก และเส้นบนล่างตกแต่งด้วยสีเงิน ขนาบความเท่สองข้างด้วยไฟหน้าที่จำลองแบบ “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” (Thor Hammer) แบบ LED Daytime ยังซ่อนไฟหน้า LED ปรับระดับสูง-ต่ำด้วยระบบอัตโนมัติ และยังเพิ่มระบบปรับองศาโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัยและเปิด/ปิดไฟสูงพร้อมปรับมุมสว่างอัตโนมติ รับกับกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถติดตั้งสัญญาณกระยะจอดรถและตกแต่งด้วยคิ้วขอบสีดำเข้ม ทั้งช่องระบายอากาศใต้กันขนหน้า และซ้าย-ขวาที่งานนี้ไร้ไฟตัดหมอกหน้า LED เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ Volvo XC90

ด้านข้างเปลี่ยนตัวตนความสง่างามจากชุดโครเมี่ยม มาเป็นความเข้มทั้งคันด้วยกรอบประตูที่ลากยาวจากเสา A ไปจนถึงเสาด้วยเส้นสายสีดำเงาทั้งหมด กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรง Spoon เดิมเป็นสีเดียวกับตัวรถมาคราวนี้ปลุกเร้าอารมณ์สปอร์ตด้วยสีดำเงากับกล้องซ่อนใต้กระจกมองข้าง 2 ฝั่ง ล้ออัลลอยดีไซน์เฉพาะรุ่นแบบ Forged ให้น้ำหนักเบาโทนสีดำขนาด 21 นิ้วแบบ 5 ก้าน Y-spoke พร้อมยาง 255/40 R21จาก Pirelli P ZERO กับคิ้วขอบล้อสีเดียวกับตัวรถ

ราวหลังคาดีไซน์ขนาดเล็กเรียวสีดำเข้มเติมความหล่อด้วยเสาอากาศแบบครีบฉลามด้านท้ายมีเอกลักษณ์ด้วยไฟท้าย L-Shape LED ดีไซน์แนวยาว พร้อมสัญลักษณ์ Volvo กับตราโลโก้ Polestar ที่ประตูท้ายสามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า แบบไม่ต้องใช้มือเปิด (Hand-Free Opening and Closing of the Power- Operated Booth/Trunk-Lid) ฝาท้ายก็จะเปิดขึ้นและปิดเองด้วยระบบไฟฟ้า เพียงแค่เตะปลายเท้าไปที่ใต้กันชนหลังด้านซ้ายเซนเซอร์คอยจับสัญญาณการเตะปลายเท้าไว้ เพียงแต่ว่าขอให้ตัวกุญแจอัจฉริยะอยู่กับตัวไว้ นับว่าใส่ใจรายละเอียดเอาใจคนบ้าหอบฟางขนานแท้ กันชนหลังดีไซน์เด่นพร้อมท่อไอเสียคู่โดยปลายท่อไอเสียสีดำ Black Chromed รับกันอย่างลงตัวกับ คิ้วชายล่างกันชนตกแต่งด้วยสีดำ และสัญญาณกะระยะเตือนการจอดทำงานร่วมกับกล้องมองหลัง

โครงสร้างตัวรถออกแบบภายใต้ Scalable Product Architecture (SPA) เด่นในเรื่องงานวิศวกรรมที่ทันสมัยในการเพิ่มพื้นที่ภายในให้กว้างขวาง และยังให้พลังแรงกว่าเดิมจากการลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถเสริมคล่องตัวและขับขี่ง่ายกว่าเก่า โดยมีมิติตัวรถที่เทียบกับคู่แข่งตั้งแต่ ความยาว 4,688 มม. ความกว้าง 1,902 มม. ความสูง 1,658 มม. ฐานล้อ 2,865 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 216 มม. น้ำหนักรถ 2,280 กก.และความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร

ภายในเหมือน Volvo XC60 Recharge T8 AWD ทุกประการแต่เมื่อถูกทางแบรนด์ในเครืออย่าง Polestar เข้ามาครอบงำตัวตนภายในจึงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ขัด เริ่มที่เบาะนั่งดีไซน์คุ้นเคยตกแต่งหุ้มด้วยหนังแท้ Fine Nappa สีดำชาร์โคล เดินด้ายสีขาว นุ่ม ไม่เมื่อยล้าตั้งแต่พนักพิงศรีษะ(ดีไซน์พนักพิงเพรียวบาง ตายตัวปรับสูง-ต่ำไม่ได้) ตัวหนุนหลังเบาะหรือ lumbar support และปีกสองข้าง ปรับด้วยระบบไฟฟ้าทั้งสองฝั่งแบบ 4 ทิศทางเพิ่มความสบายอีกระดับด้วยด้วยระบบตั้งความจำการปรับเบาะ ที่ใจดีให้ให้สองฝั่งเช่นกัน หมดปัญหาว่าตัวเองปรับเบาะในตำแหน่งไหน เก๋ไก่ สัญลักษณ์ธงชาติสวีเดนเล็กๆ สื่อความเป็นรถสแกนดิเนเวียนขนานแท้ และมีหลังคาแบบ พาโนรามิกซันรูฟเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าที่ทำได้แค่เปิดสไลด์เท่านั้น ไม่สามารถกระดกขึ้นได้ บนหลังคามีสวิตช์เปิด-ปิดหลังคา พร้อมกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติแบบไร้กรอบและหาที่ไหนไม่ได้แล้วกับสายรัดเข็มขัดนิรภัยสีทองซึ่งติดตั้งเป็นออพชั่นพิเศษทุกที่นั่ง

เบาะนั่งตอนที่ 2 ทรงกว้างใหญ่โล่งสบายทั้งช่องเลครูมมีพื้นที่เหลือเฟือเหยียดขาได้เต็มที่ ส่วนเฮดรูมก็พอมีพื้นที่เหลือๆอยู่บ้าง ตัวเบาะโอบกระชับไม่แพ้เบาะคู่หน้าหุ้มด้วยหนังแท้ Fine Nappa สีดำชาร์โคล แต่เสียดายที่ว่าพนักพิงเบาะหลังไม่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ตรงกลางมีพนักพิงแขนและที่วางแก้วมาให้ หลังเสา B มีช่องแอร์ เบาะนั่งตรงกลางตอน 2 เลื่อนขึ้นซ้อนเป็นที่นั่งสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป น้ำหนักตั้งแต่ 15-36 กก. สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ลืมหยิบ Car Seat มาแถมพับแบบ 60:40 พับได้จากสวิตช์พับลงแบบกดปุ่มหลังตัวเบาะหลังแบบไฟฟ้า เมื่อพับเบาะหลังลงและถอดที่แขวนสัมภาระออกจะมีพื้นที่ขนของมากสุด 1,746 ลิตร

ชุดแผงคอนโซลหน้ากับแผงประตูดีไซน์คุ้นเคยไม่เปลี่ยนแปลงทั้งฟังก์ชั่นการใช้งาน ตำแหน่งมาตรวัด คอนโซลเกียร์ แต่ในเวอร์ชั่นแรง Polestar สิ่งที่หายไปจะมีระบบจอแสดงผล Head-Up Display บนกระจกหน้ารถ แสดงข้อมูลขับขี่ได้ชัดเจนสายตาผู้ขับขี่ทุกครั้งที่เหลือบมอง หัวเกียร์คริสตัล และไฟสร้างบรรยากาศภายในหรือ Ambient Light แต่แลกที่ว่าให้ความสปอร์ตปนความหรูเข้าไว้ด้วยกันกับแผงประตูสีดำล้วนดีไซน์ธรรมดาๆเสริมด้วยวัสดุหนังสัมผัสเดินด้ายขาวกับผ้า พร้อมสวิตช์กระจกไฟฟ้าเซ็นทรัลล็อก แผงลำโพงและที่เปิดประตูภายในใช้แบบสีเงินวาว คอนโซลหน้าสีดำเข้มตกแต่งสีเงินใต้ช่องแอร์ยาวไปถึงใต้แผงจอสัมผัสแบบ Graphite Open Grid Textile with Metal Mesh Décor มาตรวัดแสดงผลกราฟฟิกสีขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมมาตรวัดความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ปริมาณน้ำมัน ที่ง่ายชดเจนสบายตา พวงมาลัยทรงสปอร์ต 3 ก้านมาพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นขนาดใหญ่ ทั้งปุ่ม Cruise Control แบบแปรผันความเร็ว ระบบตั้งค่าการทำงานระบบกึ่งขับขี่อัตโนมัติ Pilot Assist ปุ่มสั่งงานด้วยเสียง ล้วนอยู่ในพวงมาลัยวงนี้แถมจับกระชับมือ ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินตกแต่ง พร้อม ตราโลโก้ Iron Mark มี Paddle Shift ซ้าย-ขวา ไว้เหนี่ยวยิงเพิ่มความแรงทุกช่วงความเร็ว 

คอนโซลกลางพร้อมช่องแอร์แนวตั้งประกบซ้าย-ขวากับจอสัมผัสแนวตั้ง ถัดลงมาเป็นปุ่ม ไฟฉุกเฉิน ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหน้า-หลัง ปุ่มกลมๆตรงกลางควบคุมเสียง คอนโซลเกียร์เล็กและจับกระชับมืองานนี้ไม่มีหัวเกียร์คริสตัลอีกต่อไปกลายหุ้มหนังแท้เดินด้ายขาวแทนรายล้อมด้วยปุ่มสตาร์ทรถเล็กๆสี่เหลี่ยมหลังคอนโซลเกียร์ ปุ่ม Drive Mode ที่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 6 โหมด ระบบเบรกมือไฟฟ้าและปุ่ม Brake Hold

จอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว กลายเป็นศูนย์รวมฟังก์ชั่นการใช้งานต่างของรถติดตั้งเอียงไปยังผู้ขับ Portait-Oriented Touchscreen Display ภายใต้ระบบ Sensus Connect ขจัดปัญหาปุ่มสวิตช์หลายปุ่มที่เปลืองเนื้อที่ติดตั้ง แถมใช้งานง่ายเหมือนหน้าจอแท็บเล็ต สามารถตั้งค่าที่เกี่ยวเนื่องกับตัวรถ เช่น โหมดการขับขี่ได้ถึง 6 โหมด ตั้งระบบล็อกประตูอัตโนมัติในตอนรถวิ่ง ระบบการทำงาน ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ Start/Stop ชั่วคราว ปรับเสียงวิทยุ รวมถึงปรับการทำงานแอร์ เป็นต้น นอกจากจะเป็นศูนย์รวมฟังก์ชั่นการใช้งานที่เกี่ยวเนื่องแล้วมาพร้อมระบบเชื่อมต่อไร้สายสุดไฮเทคควบคุมระบบเครื่องเสียงติดรถยนต์ โดยผ่านแอ๊พพลิเคชัน ทำงานกับ Apple CarPlay ที่ช่วยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ระบบ iOS และ Android กับซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับรถ และแสดงแผนที่ระบบนำทางผ่านดาวเทียมด้วย

ลำโพง Premium Sound มากถึง 15 ตัวและซัพวูฟเฟอร์ขับเสียงทุ้มนุ่มลึกจากค่าย Bowers & Wilkins ขับขานคุณภาพเสียงด้วยพลังขับเสียง 1,100 วัตต์ และระบบเสียงสเตริโอรอบทิศทาง เสมือนตัวเองอยู่ใน Concert Hall ระดับโลกโดยปรับตั้งได้ 3 โหมด ดังนี้ Studio, Individual Stage, และ Gothenburg Concert Hall ยอมรับเลยว่า คุณภาพเสียงดีคมชัด ละเมียดละไม ไม่ผิดเพี้ยนในทุกรายละเอียด และยกให้เป็นที่สุดของลำโพงชั้นแนวหน้าอีกหนึ่งรุ่นเลยทีเดียว

ผ่อนคลายด้วยเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติปรับแยกอุณหภูมิ 2 โซน (ด้านคนขับคนนั่ง) ที่สร้างความเย็นรอบคันแล้วยังมีระบบ ระบบฟอกอากาศบริสุทธิ์ในห้องโดยสาร (Interior Air Quality Systemakes) ทำให้อากาศในรถ สะอาดกว่าอากาภายนอกหลายเท่าตัว และระบบกรองอากาศ CleanZone สูดสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่บริสุทธิ์สะอาดและสดชื่นโดยดักจับดักละอองฝุ่น เกสรดอกไม้ อันเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้

ถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็คงไขประตูไปสู่ความอภิรมย์ ความสุนทรีย์ในการใช้งานภายในไม่ได้แน่นอนกับ กุญแจรีโมททันสมัยด้วยระบบอัจฉริยะ Personal Security ทรงสี่เหลี่ยมหนาๆหุ้มหนัง ทำหน้าที่ทั้งสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูรถที่ก้านเปิดประตูรถและฝากระโปรงท้ายรถได้ อุ่นใจด้วยระบบกันขโมยพร้อมตรวจจับความเคลื่อนไหว และสัญญาณเตือนไว้ ช่วยให้ห่างไกลจากเหล่ามิจฉาชีพที่จ้องจะโจรกรรมรถทุกรูปแบบ

Volvo XC60 Recharge T8 AWD ทุกรุ่นยังใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ T8 Plug-In Hybrid 4 สูบ 2.0 ลิตร รหัส B4204T35 ให้กำลังรวมถึง 407 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร แต่เมื่อถวิลหาความแรงทาง Polestar ปรับจูนพลกำลังเพิ่มขึ้นจนเป็นรหัสใหม่ B4204T49 เบนซินเทอร์โบ T8 แบบ Plug-in Hybrid ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1,969 ซีซี เพิ่มขึ้นเป็น 335 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตร และเมื่อรวมกับกำลังเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า จึงได้เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังแรงถึง 422 แรงม้า แรงบิดสูงถึง 670 นิวตันเมตร พ่วงแพคเกจแรง Polestar Software และแบตเตอรี่ความจุ 11.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ปล่อย CO2 ที่ 49 กรัมต่อกิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม. รถยนต์เอสยูวีรุ่นนี้ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD (เครื่องยนต์/ล้อหน้า, มอเตอร์ไฟฟ้า/ล้อหลัง) ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Geartronic พร้อมโหมดการขับขี่เลือกได้ 6 โหมด ดังนี้

- Pure Electric ระบบนี้จะใช้ได้เมื่อรถถูกชาร์จเสียบปลั้กแบตเตอร์รี่จนเต็ม โดยระบบจะเลือกใช้การทำงานของชุดมอเตอร์ไฟฟ้าทางด้านเพลาหลังเท่านั้นในการขับเคลื่อนในโหมดฟ้าล้วน ซึ่งสามารถขับได้สูงสุดด้วยระยะทาง 44 กม. ...และความเร็วสูงสุดได้ 125 ก.ม/ช.ม.

- Hybrid Mode โหมดเลือกการขับขี่อัตโนมัติทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์กับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันดีที่สุด

- Individual mode โหมดพิเศษสามารถปรับตั้งโปรแกรมเครื่องยนต์ เกียร์ และอื่นๆตามผู้ขับ

- Polestar Engineered Mode (Power Mode) ใช้ในการสร้างสมรรถนะในการขับขี่สูงสุดในระหว่างการขับขี่ โดยใช้กำลังจากเครื่องยนต์เป็นสำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังแรงที่สุดเท่าที่ระบบจะสามารถทำได้ หรือเท่ากับมันจะกล่ายร่างเป็นรถสปอร์ตน้อยๆ 422 แรงม้า

นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีอีก 2 โหมด สำหรับคนที่ชอบลุยแบบพอดีๆ นั่นคือ โหมด OFF Road และ Constant AWD ใช้ในการขับขี่เฉพาะตามความต้องการของผู้ขับขี่ในทางลุยๆ

การใช้งานในชีวิตประจำวันกับเจ้า Volvo XC60 Polestar Engineered ทุกครั้งที่บิดปุ่มสตาร์ทหลังคอนโซลเกียร์โหมด Hybrid จะทำงานเป็นหลักเมื่อออกตัวทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วเสียงเงียบจนคนในบ้านไม่ได้ยินเสียงและเครื่องยนต์จะตามมาช่วยทีหลังโดยระบบนี้สามารถวิ่งไกลสุดเพียง 35 กม.แล้วถ้าหมดหละสามารถชาร์จกลับได้ไหม บอกเลยว่าทำได้เพียงเข้าไปโหมด Car Functions แล้วกดไปที่ ปุ่ม Charge บนหน้าจอ 9 นิ้ว ระบบจะลดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าลงแล้วใช้เครื่องยนต์ชาร์จไฟฟ้ากลับไปตัวแบตเตอร์รี่มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะชาร์จได้เร็วอะไรมากมายนักอย่างที่หลายคนเข้าใจอาจจะไม่เต็มร้อย ได้แค่ 2-3 กม. พอลองมาเล่นโหมด Pure ซึ่งโหมดนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 100 % ในการขับขี่แทนเครื่องยนต์ บอกได้เลยว่าถ้าเล่นโหมดนี้สามารถพาร่างสองตันต้นๆพุ่งทะยานแบบสนุกมันส์ติดเบาะตอบสนองดีเยี่ยมดีกว่ารุ่น XC60 ปกติอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเยอรมันค่าตัว 5 ล้านทอนพันนึง ให้ความสะใจคนละแบบโดยเจ้าเอสยูวีเยอรมันให้ความดิบๆ เถื่อนๆจากขุมพลัง V6 เทอร์โบคู่ 390 แรงม้าที่พัฒนาโดยเฉพาะกับเสียงเครื่องคำรามเสียงสังเคราะห์จากท่อที่สามารถปรับปรับแต่งเสียงได้ และคล่องตัวกว่า แต่เจ้าเอสยูวีจากสวีเดนยังมีความสุขุมในการใช้งานประจำวันแบบผู้ดีๆในโหมด Hybrid หรือ Pure

แต่ถ้าอยากเติมสีสันให้ชีวิตเร้าใจราวขับรถไล่ล่าแบบ โดมินิค โทเรตโต ในหนัง Fast and Furious ขอแนะนำโหมด Polestar Engineered Mode (Power Mode เดิม) เรียกใช้บริการ ในโหมดนี้หนักไปทางการทำงานของเครื่องยนต์เป็นหลักแล้วมาตรวัดที่เคยบอกการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเปลี่ยนมาเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แทน ความหัวร้อนของขุมพลังที่ได้รับการพัฒนามา สร้างความสะใจรวดเร็วไวปานขับรถซูเปอร์คาร์ถึงน้ำหนักรถหนัก 2 ตันต้นๆที่พ่วงด้วยแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ความเร็วปลายๆคันนี้ไปไหลกว่าเจ้าเอสยูวีเยอรมัน ถึงไม่มีเสียงท่อสังเคราะห์ก็ตาม รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 100 -120 กม./ชม. ในโหมดนี้ ทำผลงานสูงสุดไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ด้วยรอบตั้งแต่ 1,600 1,800 และ 1,950 รอบ/นาที ตามลำดับ ด้านโหมด Performance Test จับอัตราเร่ง มีเรื่องต้องให้ว้าวด้วยการจับเวลาโดยใช้โหมดการขับขี่ Hybrid ผลออกมามีดังนี้

1. การทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. จับ 3 ครั้งดังนี้ 1. ครั้งที่ 1 6.22 วินาที 2. ครั้งที่ 2 6.26 วินาที 3. ครั้งที่ 3 6.30 วินาที = เฉลี่ย 6.26 วินาที

2. การเร่งแซง 80-120 กม./ชม. จับ 3 ครั้งดังนี้ 1. ครั้งที่ 1 4.11 วินาที 2. ครั้งที่ 2 4.10 วินาที 3. ครั้งที่ 3 4.08 วินาที = เฉลี่ย 4.10 วินาที

เรียกว่ากำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่แข่งจากเยอรมนีที่ทำได้เฉลี่ย 6.55 วินาที สำหรับ 0-100 กม./ชม. และ 5.30 วินาที สำหรับเร่งแซง 80-120 กม./ชม.

การเก็บเสียงบอกได้เลยว่ามีผลงานที่ดีเยี่ยมเทียบเท่ากับรถที่จะประกอบจากสวีเดนแต่ดีกว่ามาเลเซีย เพราะรถที่ขับนี้เป็นรถนำเข้าจากประเทศจีน ฟังไม่ผิดหรอกครับคันนี้ประกอบที่จีนจริงๆ ส่งผลให้การเก็บเสียงไม่ว่าจะช่วงความเร็วต่ำ กลาง ค่อนข้างเงียบ แต่จะได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์ยามเร่งแซง ระบบส่งกำลังที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำงานได้อย่างสมดุลแม่นยำ ส่งกำลังฉับไวแบบไม่ขาดตอน ทำงานไม่มีอากากระตุก ความสนุกคูณ 2 เมื่อมี Paddle Shift หฤหรรษ์ได้ทุกเวลาเมื่อใช้มัน เหนี่ยวหลังพวงมาลัย ด้านพวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้า สามารถปรับความหนืดตามระดับความเร็วงานนี้เซ็ตพวงมาลัยได้ค่อนข้างแม่นยำ น้ำหนักเบาไปหน่อย แต่ก็ยังมั่นใจมากขึ้นในการควบคุมเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นช่วงเข้าโค้ง ขับความเร็วสูงๆบนถนนโล่งๆ หรือการขับขี่เน้นใช้งานในเมืองกับชานเมืองเป็นหลัก

การชาร์จแบตเตอรี่ของรถคันนี้ตำแหน่งจะอยู่ทางด้านซ้ายของบังโคลนรถ ปลั๊กที่เสียบชาร์จเป็นแบบ Type 2 เป็นปลั๊กมาตรฐานที่มอบให้ Volvo ทุกรุ่นรวมถึงคันนี้ สามารถชาร์จได้โดยมีชุดปลั๊กที่ติดมากับตัวรถเสียบชาร์จในบ้านโดยที่บ้านของคุณนั้นสามารถรองรับ Home Charger ได้ หรือถ้ามีธุระก็สามารถชาร์จนอกสถานที่ตามปั้มน้ำมัน ศูนย์การค้า ฯลฯ เข้าเรื่องกันดีกว่าสำหรับลักษณะการชาร์จนั้นเป็นเหมือนกันทุกรุ่นของ Volvo ถ้าชาร์จแบบธรรมดาใช้เวลาชาร์จถึง 3 ชม. ส่วนการชาร์จแบบเร็วอาจได้เพียง 30 นาที ซึ่งระดับแบตเตอรี่ที่ได้กลับมานั้นอยู่ที่ราว 1 ใน 4 ของความจุทั้งหมด โดยจะมีข้อความบนมาตรวัดบอกเลยว่าจะชารจ์เสร็จถึงกี่โมงและจะแสดงตัวเลขระยะทางสำหรับการวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวว่าสามารถวิ่งได้ไกลกี่กิโลเมตร แยกกันกับส่วนของการใช้น้ำมันที่อยู่ถัดลงมา และถ้าอยากค้นหาโลเคชั่นของสถานีชาร์จ สามารถดาวน์โหลดผ่านแอพพิลเคชั่นได้ไม่ว่าจะเป็น EA AnyWhere หรือ ของทางการไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น

สระบบช่วงล่างและแชสซีส์ของรถยนต์รุ่นนี้นำพื้นฐานจาก Volvo XC60 Recharge T8 AWD รุ่นปกติทั้งด้านหน้าแบบ ปีกนกคู่ ด้านหลังแบบอินทิกรัลลิงค์หรือแหนบวางขวางที่รวมความดีของการเกาะถนนแบบมัลติลิงค์และให้ตัวอิสระมากกว่าทอชั่นบีม ซึ่งช่วงล่างหลังนี้เก๋งร่วมค่ายอย่าง Volvo S90 ก็เคยใช้มาแล้ว แต่เมื่อมาสิงในร่างเอสยูวีจอมโหดจากเมืองโกเทนเบิร์ต ทาง Polestar จับมือกับทาง Ohlins อัพเกรดระบบกันสะเทือนและอุปกรณ์เบรกเพื่อเพิ่มความเร้าใจในขณะขับขี่ภายใต้ชื่อ Polestar Engineered Ohlins Chassis ติดตั้ง Ohlins Shock Absorbers สีทอง 4 ต้น โดยสามารถปรับความหนืดหน่วงของช่วงล่างได้ถึง 22 ตำแหน่ง เหล็กค้ำโช๊คหน้า (Strut Bar) พาดยาวบริเวณห้องเครื่อง ตามความเข้าใจนั้นทาง Volvo ต้องการอยากให้เจ้าของที่ครอบครอง เข้าถึงการขับขี่แบบสุนทรีย์และเร้าใจนั้นสามารถปรับได้ตามใจเราเอง ด้วยการออกแรงลงจากรถเปิดฝากระโปรงหน้าหรือเอื้อมมือไปขันช็อกอัพด้านหลังด้วยตนเองถึง 4 ต้น ไร้การปรับแบบอัตโนมัติหรือไฟฟ้าเข้ามาช่วย สำหรับผมลองปรับเพื่อเข้าอารมณ์สปอร์ตมากขึ้นผลที่ได้อาจมีอาการแข็งกระด้างแต่หนึบบนถนนทางเรียบทุกช่วงความเร็ว ซับแรงกระแทกที่เป็นหลุมเป็นบ่อรวมถึงช่วงจัมพ์คอสะพานได้ดี การเก็บเสียงยางทำได้ดีในช่วงความเร็วกลางๆ

ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ดิสก์เบรกหน้ามีคาลิปเบอร์ขนาดใหญ่ 6 Pot Akebono มีรูระบายความร้อนขนาด 20 นิ้ว คาลิเปอร์เบรกหลังกับจานเบรกเพลตสวย ดิสก์เบรกทั้ง 4 ตกแต่งด้วยสีทอง Ohlins Gold จาก Ohlins Shock ระบบเบรก ระยะการเหยียบเบรกเมือเหยียบแป้นเบรกไป 20 % ระบบทำงานหยุดได้อย่างฉับไวเทียบเท่ากับคู่แข่งจากเยอรมนี

ในเรื่องระบบความปลอดภัย Volvo เองก็ไม่เป็นสองรองใครเพราะมีสารพัดระบบไฮเทคเพื่อความปลอดภัยหลายๆอย่างติดตั้งแบบจัดเต็มครบครัน ภายใต้ชื่อ IntelliSafe ไม่ว่าจะเป็น

- Pilot Assist ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ที่ไม่ต้องจับพวงมาลัยขณะขับรถทางไกลยาวๆ และการจราจรโล่งโดยช่วยบังคับควบคุมพวงมาลัยเพื่อให้รถวิ่งอยู่ในเส้นจราจร โดยจะทำงานที่ความเร็วสูงสุดถึง 130 กม./ชม.

- City Safety เป็นระบบที่ป้องกันก่อนการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งรวมความปลอดภัยย่อยไว้ทั้งหมด เช่น ระบบตรวจจับสัตว์ใหญ่กับระบบจับทำงานในตอนกลางคืน ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลีกเลี่ยงการชนบริเวณทางแยก และระบบรัดตรึงเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ

- Park Assist Pilot ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ทั้งแบบถอยเข้าซอง และถอยจอดขนานฟุตบาท

- 360-degree Parking Camera กล้องช่วยจอดให้มุม 360 องศา

- Blind Spot Information System and Steer Assist ระบบช่วยเตือนมุมบอดสายตา พร้อมฟังก์ชั่นหักหลบแบบอัตโนมัติ

- Cross Traffic Alert with Auto Brake ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการจราจรตัดผ่านขณะกำลังถอยหลัง พรอมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ

- Collision Avoidance & Mitigation Support with Auto Brake - front, rear & intersection ระบบป้องกันการชนและบรรเทาการบาดเจ็บพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ ดานหน้าด้านหลัง และบริเวณทางแยก

- Distance Alert ระบบแจ้งเตือนเพื่อให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้า

- Lane Keeping Aid (LKA) ระบบแจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางทางเดินรถ

- Adaptive Cruise Control with Queue Assist ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันเพื่อรักษาระยะห่าง พร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถโดยอัตโนมัติ

ระบบความปลอดภัยทั้งหมดที่มากล่าวมานี้ตลอดการขับขี่ที่ได้ใช้จริงๆก็จะมีทั้งระบบ Pilot Assist ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ถ้าขับเส้นทางตรงๆ ไม่ต้องจับพวงมาลัยกันเลยที่เดียวและการเดินทางต้อง แต่ถ้าหากเข้าโค้งนิดหน่อยระบบจะส่งเตือนให้ผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยตามโค้งเพื่อความปลอดภัยแต่ระบบนี้ต้องทำงานร่วมกับล็อคความเร็วแปรผันอัตโนมัติหรือ Adaptive Cruise Control ส่วนระบบ City Safety ทำงานได้แม่นยำฉับไว ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ ในความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ป้องกันไม่ให้รถของคุณชนท้ายรถคันข้างหน้าด้วยเซนเซอร์ มีระบบเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าที่รัดตรึงให้กระชับช่วยลดอาการสะบัดรุนแรงของร่างกาย ชื่นชมว่าทำงานได้แม่นยำเช่นกันขนาดกรณีลงจัมพ์คอสะพานยังจับสัญญาณที่ทำให้เข็มขัดนิรภัยรัดตรึงได้และคลายได้โดยอัตโนมัติ และระบบ Lane Keeping Aid แจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางทางเดินรถซึ่งทำงานได้ฉับไวไม่ดึงพวงมาลัยแรงมาก ถือว่าทำงานดีกว่ารถญี่ปุ่นบางยี่ห้อที่ดึงแรงสั่นจนสร้างความตกใจมาแล้ว

ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode กับตัวเลขสิ้นเปลืองทำได้ 65.07 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 61.1 กม.จัดน้ำมันแก็สโซฮออล์ 95 เต็มถังจากปั๊มแถวเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 0.93 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง โดยโหมดการขับขี่ใช้แบบ Hybrid ส่วนการใช้งานในเมืองได้ตัวเลข 9.88 กม./ลิตร นับว่าเป็นตัวเลขสิ้นเปลืองที่กล่าวมานี้ ประหยัดจนต้องตาค้างกันเลยทีเดียวว่าทำไปได้อย่างไร

ค่าตัว 4,390,000 บาท กับการเป็นรถยนต์เอสยูวีที่พ่วงความแรงมหาโหดถ้าหากต้องกำเงินซื้อสักคันก็อาจมองว่าไม่อัพราคาขึ้นไปเล่นพี่ใหญ่อย่าง Volvo XC90 ที่ให้ความกว้างสบาย 7 ที่นั่ง ถ้าไม่แคร์เครื่องที่ด้อยกว่าแต่ถ้าคนรักความแรงรักความเป็น Polestar คันนี้ถือว่าเหมาะสมอย่างมากคือไม่ต้องไปซื้อ Volvo XC60 Recharge T8 AWD แล้วมาแต่งทีหลัง คันนี้แต่งเสร็จสรรพจากโรงงานที่จีน แถมเก็บเงินส่วนที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้ ความพยศของเจ้าอสูรกาย 422 แรงม้า 670 นิวตันเมตรเรียกกำลังได้อย่างสะใจทันใจสาวกเท้าหนักเป็นอย่างมาก สิ่งที่น่าทึ่งนั้นคือความเร็วสูงสุดของโรงงานเคลมไว้ 230 กม./ชม. แต่กลับทำได้ถึง 234 กม./ชม.

แต่ถ้าอยากได้ความประหยัดเจ้าเอสยูวีคันนี้ให้ความประหยัดแบบเป็นมิตรกับเจ้าของได้อย่างดี ขณะรถ Eco-Car ยังมองค้อนกันทีเดียว ข้าวของที่ให้ยังสร้างจุดเด่นให้คันนี้อย่างมากทั้ง ระบบลำโพงไฮเอนด์จาก Bowers & Wilkins 15 จุด เบาะหนังทรงสปอร์ต ระบบช่วงล่างที่ขับช็อกอัพ เลือกความนุ่มหนืด ได้ตามต้องการ ฯลฯ สิ่งนี้ซื้อใจสาวกไปเต็มๆสำหรับ Volvo XC60 Polestar Engineered

 

เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย

 

ขอขอบคุณ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Volvo XC60 Polestar Engineered มารีวิวทดลองขับครั้งนี้

สิ่งที่ชอบ >>> รูปลักษณ์เด่นตามสไตล์สวีดิชหรูหราผสมความดุกร้าว ระบบเครื่องเสียงขั้นเทพมอบเสียงเพลงไพเราะเสนาะหู น่าฟัง ความประหยัดเกินหน้าเกินตา Eco Car พลัง 422 แรงม้า ให้การตอบสนองที่คล่องแคล่วกว่า รวมถึงช่วงล่างสปอร์ตจาก Polestar ปรับตามใจคนขับได้หลายรูปแบบ แถมมีระบบออกตัวและควบคุมความบนทางลาดชัน ราคาถูกกว่าคู่แข่งจากเยอรมนีด้วยส่วนต่าง 600,000 บาท

สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ไม่มีระบบ Head-Up Display ซึ่งเป็นประโยชน์ในการใช้งานประจำวัน ขาดเสียงท่อสังเคราะห์เพราะมันทำให้เกิดการปลุกเร้าโสตประสาทความแรงเข้ามา พวงมาลัยน้ำหนักเบาไป และระบบปรับความนุ่มหนืดของช่วงล่างยังเป็นแบบต้องปรับด้วยมืออาจไม่ถูกใจนักซิ่งหน้าใหม่ที่พึ่งจับเอสยูวีรุ่นนี้มาครอบครอง

 

ชม Gallery Test Drive Volvo XC60 T8 AWD Polestar Engineered ได้ที่นี่ !!

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com