Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2021 Nissan Navara Double Cab VL 4WD ปิกอัพเทอร์โบคู่ หล่อหรูลุย ออพชั่นเต็มคัน
- โดย : Autodeft
- 12 ก.ค. 64 00:00
- 20,372 อ่าน
ถ้าจะกล่าวถึงค่ายรถเพื่อนที่แสนดีอย่าง นิสสัน สาวกชาวไทยจะนึกถึงรถยนต์คุณภาพที่เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ ขุมพลังที่จัดจ้าน ดีไซน์ที่โดนใจ จนได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งมากว่า 70 ปี โดยหนึ่งในนั้น มีรถปิกอัพหรือรถกระบะรวมอยู่ นับตั้งแต่ Datsun Bluebird 320 ที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทยเป็นครั้งแรกจนมาถึง Nissan Navara
ปัจจุบัน Nissan Navara รหัส D23 เปิดตัวในเมืองไทยครั้งแรกของโลกเมื่อปี 2014 กับหน้าตาแรกๆที่หล่อ ดุ เข้ม โดยช่วงแรกของการจำหน่ายจะมีแค่การปรับปรุงออพชั่นเพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ Black Edition กับ Sporttech ออกจำหน่าย บนหน้าเดิมหล่อเดิม จนเมื่อปีกลาย ประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกเช่นเดิมที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 2020 และ เปิดขายที่แรกของโลกที่เมืองไทยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี 2020 โดยมาทั้งแบบสี่ประตู Double Cab กับ ตอนครึ่ง King Cab และปิดท้ายด้วยการเปิดตัวรุ่นตอนเดียว หรือ Single Cab เมื่อเดือน พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยรุ่นที่มาทดลองขับครั้งนี้ เป็นรุ่น Double Cab VL 4WD Auto ซึ่งเป็นรุ่นเกือบสูงสุดของสี่ประตูรองมาจากรุ่น PRO-4X
ห่างหายจากการปรับโฉมมา 7 ปี มาครั้งนี้เปลี่ยนไปเยอะจากเดิมถึงยังใช้ร่างเดิมรหัส D23 คือจะเรียกว่าเป็นการปรับครั้งใหญ่หรือ Big Minor Change นั่นเอง หล่อคล้ายรุ่น PRO-4X แต่เปลี่ยนบุคลิกจากเข้มดุ มาเป็นหรูๆ เรียบๆตามสไตล์ รถ SUV ชั้นนำ เริ่มที่ กระจังหน้าที่ นิสสัน เรียกซะหรูเลยว่า สไตล์ ‘Interlock’ ขอบกระจังหน้าด้านบนปักชื่อ Navara งานนี้ ตกแต่งด้วยโครเมี่ยมทั้งชิ้น ข้างในกระจังเป็นแบบตะแกรงรังผึ้ง 3 ชั้นสีดำ พร้อมโลโก้ Nissan พร้อมกล้องส่องหน้ารถ ประกบกับฝากระโปรหน้าใหม่ออกแบบให้เท่กว่ารุ่นเดิม ซึ่งฝากระโปรงหน้ารุ่นเดิมจะออกแบบแก้มข้างซ้าย-ขวา สูงกว่าตรงกลาง แต่รุ่นเดิมออกแบบแก้มข้างซ้าย-ขวาและตรงกลางให้มีความสูงเท่ากันซึ่งมีผลทำให้ทัศนวิสัยการมองชัดเจนกว่าเดิม ไฟหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นแบบ LED Projectors แบบ 4 ดวง โดย 2 ดวงด้านล่างจะเป็นการทำงานของไฟต่ำ และ 2 ดวงข้างบนจะเป็นหน้าที่ของไฟสูงที่มีออพชั่นเด่นนั่นคือ ไฟสูงอัตโนมัติ หรือ Auto High Beam นั่นเอง ภายในโคมครอบทับด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Light รูปตัว C แบบ LED ที่ว่ากันว่าเพิ่มความสว่างและความปลอดภัยขึ้นอีกขั้นเมื่อเทียบกับโคมเก่าลงตัวด้วยไฟเลี้ยวซ่ ชุดกันชนหน้าขึ้นรูปทูโทนโดยส่วนบนมาในแบบสีเดียวกับตัวรถแผงกันกระแทกครอบทับส่วนล่างของกันชนหน้าเป็นแบบสีดำเข้มขลิบด้วยเส้นสีเงิน สองเส้น ในชุดกันชนหน้าติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า LED ดวงเล็กๆ สองฝั่งพร้อมฝาครอบไฟตัดหมอกหน้าแบบรังผึ้งสีดำ
ด้านข้างออกแบบในส่วนบังโคลนหน้าและหลังกลมกลืนกับตัวถังเดิม Double Cab โดยบังโคลนหน้า-หลังออกแบบคิ้วขอบล้อแบบขึ้นรูป Built-In ดุดันถึงใจแต่ในสำหรับรุ่น VL 4WD สี่ประตู ไร้คิ้วขอบล้อสีดำขลิบแดงมาเพิ่มเติมแต่โดดเด่นกว่ารุ่น PRO-4X และ Calibre ยกสูงด้วยล้ออัลลอยแบบ 6 ก้านสีทูโทนดำ-เทาโครเมี่ยมแบบปัดเงาขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง H/T จาก Toyo รุ่น Open Country A25 ขนาด 255/60 R18 พร้อมออพชั่นเดิมตกแต่งใหม่ด้วยโครเมี่ยมแพ็คเกจตั้งแต่กรอบกระจก หน้าหลัง และมือจับประตู 4 บาน รวมมือจับกระบะท้าย Single Touch ส่วนกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED เดิมเป็นโครเมี่ยมกลับกลายเป็นสีเดียวกับตัวรถปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้าและติดตั้งกล้องใต้กระจกมองข้างซ้าย-ขวา บันไดข้างสีดำสไตล์เรียบๆแต่ดุดัน แร็คหลังคาสีเงิน เสาอากาศแบบเสาสั้น พิเศษกว่าใครกับกระจกประตูหลังและด้านท้ายจะกรองแสงด้วยสีชา หรือ Privacy Glass แบบเดียวกับรถยุโรปหรือรถญี่ปุ่น ข้อดีคือช่วยลดความร้อนได้ในระดับนึงแต่ข้อเสียก็ต้องมาหาฟิล์มที่ความเข้มเท่าหรือใกล้เคียงมาติดในส่วนบานหน้าใหญ่กับกระจกประตูคู่หน้าซึ่งไม่จำเป็นต้องติดตั้งมาก็ได้
ด้านท้ายออกแบบใหม่ตั้งแต่ไฟท้ายแนวตั้งสีขาวแดงแบบ LED รูปตัว C ฝาท้ายดีไซน์ใหม่ซ่อนสปอยเลอร์หลังในตัวรับกับขอบกระบะท้ายพร้อมมือจับโครเมี่ยมซ่อนกล้องมองหลังและกุญแจไขเปิดฝาท้ายในชุดเดียวกัน ถัดลงมาเป็นโลโก้ Nissan ขนาดใหญ่ และปั้มชื่อ Navara ขนาดใหญ่และสิ่งที่ทาง นิสสัน กล้าให้นั่นคือระบบผ่อนแรงขณะเปิด-ปิดกระบะท้ายติดตั้งเป็นออพชั่นมาตรฐานแบบไม่ต้องเสียตังค์เพิ่มและเปิดปิดเบากว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด กันชนหลังออกแบบใหม่สีเดียวกับตัวรถกลมกลืนและสปอร์ตพร้อมลดความสูงของจุดที่เหยียบให้ต่ำลงกว่าเดิม 17 ซม. และปรับจุดตะขอยึดใหม่ เพื่อตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่และเล็ก เห็นได้ว่าการขึ้นลงดีขึ้นกว่ารุ่นเก่า กล้องมองหลังสำหรับการถอยหลังจอดรถโดยรองรับ กล้องมองภาพ 360 องศา ได้อย่างครบถ้วนครบครัน
มิติตัวรถนั้นมีความใกล้เคียงกับรุ่นเก่าตั้งแต่ความยาว 5,260 มม. ความกว้าง 1,875 มม. ความสูง 1,845 มม. ฐานล้อ 3,150 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 230 มม. น้ำหนักรถ 2,077 กก. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร และมิติกระบะภายในความยาว 1,470 มม. ความกว้าง 1,495 มม. ความสูง 520 มม. เมื่อมาเทียบกับรุ่นเก่าพบว่าความยาวมากกว่าเดิม 5 มม. ความกว้างมากขึ้น 25 มม. ความสูงมากขึ้น 20 มม. ฐานล้อเท่าเดิม ความสูงใต้ท้องรถสูงขึ้น 10 มม. น้ำหนักมากขึ้น 84 กก. และความจุถังน้ำมันเท่าเดิม ถึงยังใข้แชสซีส์เดิมก็ตาม และกระบะท้ายมิติความยาวความกว้างยังเท่าเดิมแต่ออกแบบให้ความสูงขึ้นกว่าเดิม 35 มม.
ภายในโดยรวมยังคงสไตล์เดิมจากรุ่นเก่าแต่ถ้ามองกันลึกๆมีดีเทลที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นตัดหลุมบนคอนโซลหน้าออกรวมถึงตัดที่วางแก้วซ้าย-ขวาออกไปตรงจุดนี้ไม่สมควร อยากให้เอากลับมา แต่ได้สิ่งใหม่ๆมาแทนนั่นคือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์ใหม่ยกชุดจาก Nissan Kicks แบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ควบคุมทั้งวิทยุและ Cruise Control หุ้มหนังแปะตราโลโก้ Nissan สีเทา มาตรวัดเรืองแสงดีไซน์ใหม่ตรงกลางมาพร้อมหน้าจอสีแสดงผลสามมิติ TFT ขนาด 7 นิ้ว บอกทั้งระบบเตือนนำทาง ระบบช่วยในการขับขี่ แจ้งการทำงานของระบบเครื่องเสียง ฯลฯ สามารถเลือกได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย กุญแจรีโมทดีไซน์สหกรณ์ใช้กับทุกรุ่นในค่าย ปุ่มสตาร์ท คอนโซลกลางดีไซน์เดิมไม่ว่าจะช่องแอร์เครื่องเสียงแบบจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว Nissan Connect เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับรถได้ ฟังเพลงผ่าน Bluetooth, ระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) ระบบนำทาง (Navigation system) กับลำโพงรอบคัน 6 จุด พร้อมระบบกล้องรอบคัน (Intelligent Around View Monitor – IAVM) ที่ทำงานควบคู่กับ เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection – MOD) ที่ย้ายจากกระจกมองหลังอัตโนมัติ มาลงในจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว เรียกว่าสบายไม่ต้องแหงนไปดูกระจกมองหลังอีกแล้วไม่ว่าจะยามขับไปข้างหน้าหรือถอยหลัง แต่เสียดายที่ว่าไม่มีบริการ Nissan Connect Service ที่แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟนไม่ว่ารถคุณจะอยู่ตรงไหนก็อุ่นใจหายห่วงซึ่งออพชั่นตัวนี้จะสงวนในรุ่น PRO-4X เท่านั้น
ถัดลงมาในส่วนคอนโซลกลางใต้วิทยุเป็นเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา Dual Zone เย็นทั่วถึง พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบปุ่มบิดกับสวิตช์ที่เกียวเนื่องไม่ว่าจะเป็น ปุ่มล็อกการทำงานเฟืองท้าย Diff-Lock ปุ่มการทำงานระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC และปุ่มปิดการทำงานสัญญาณกะระยะการจอดรถ รวมถึงพอร์ต USB Type C ใต้คอนโซลกลาง ด้านหลังใต้ช่องแอร์และคอนโซลกลางแบบมีฝาปิด คอนโซลเกียร์ตกแต่งโครเมี่ยมหุ้มหนังที่ฐานจับ กับคอนโซลกลางแบบมีฝาปิดหุ้มหนังสังเคราะห์ พร้อมเบรกมือคันโยกชุบโครเมี่ยมที่ปุ่มเบรกมือ กับช่องแอร์ด้านหลังและที่เปิดประตูโครเมี่ยมเสริมเอกลักษณ์แบบลักชัวรี่
เบาะนั่งคู่หน้าเปลี่ยนโครงสร้างตัวเบาะใหม่แบบ Zero Gravity โอบกระชับนั่งสบายมากกว่าเดิม ลดอาการเมื่อยล้าขณะขับขี่ทางไกลหุ้มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้สีดำมีลายเฉพาะเดินด้ายขาว หมอนรองศรีษะออกแบบให้ใหญ่กว่าแต่การเดินทางไกลก็อาจทำให้อึดอัดไปบ้างเพราะหมอนดันหัว ปรับสูง-ต่ำปรับแบบไฟฟ้าโดยปรับได้ 8 ทิศทางพร้อมดันหลังไฟฟ้าสำหรับคนขับและ 4 ทิศทางสำหรับคนนั่ง ด้านหลังออกแบบใหม่หมดตั้งแต่โครงสร้างตัวเบาะหมองรองศีรษะขนาดใหญ่และมีตรงกลางอีก 1 จุด พร้อมที่พักแขนกับที่วางแก้วน้ำในตัวที่สบายกว่ารุ่นเก่าอย่างชัดเจน และจุด ISOFIX สำหรับวางคาร์ซีทเด็ก สามารถพับเบาะในส่วนที่รองนั่งได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการวางของไม่ว่าคุณแม่บ้านจะซื้อต้นไม้ หรือสมาร์ททีวีขนาดใหญ่ก็สามารถวางได้
มีกระจกมองหลังปรับแสงสะท้อนด้วยระบบอัตโนมัติ สบายด้วยระบบกุญแจรีโมทขนาดเล็ก Genius Entry ดีไซน์สหกรณ์ใช้กับทุกรุ่นของ Nissan เก็บใส่ในกระเป๋าก็สามารถสั่งปลดล็อกได้อย่างง่ายดายด้วยการกดปุ่มเล็กๆในก้านประตูและปุ่ม Push Start ตามสมัยนิยมพร้อมระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็วต่ำที่กำหนด
นอกจากการเปลี่ยนหน้าตาครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปีแล้ว ขุมพลังก็เปลี่ยนด้วยเช่นกันคือการตัดเครื่องยนต์เก่า 2.5 เทอร์โบแปรผัน 190 แรงม้าออก ด้วยการยกชุดขุมพลังใหม่จาก Nissan Terra แบบ 2.3 ลิตร YS23DDTT เทอร์โบคู่ ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,298 ซีซี อัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์เป็น 15.4:1 ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ 85.0/101.3 มม. ให้กำลังเท่าเดิม 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ปล่อย CO2 ที่ 200 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดพร้อมโหมด Manual +/- และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4X4 Part-Time shift-on-the-fly ทั้ง 2H, 4H และ 4L (เปลี่ยนจาก 2H เป็น 4H ในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.)
การได้ขุมพลังใหม่มาประจำการพร้อม Downsizing เหลือมาเป็น 2.3 ลิตร จากการร่วมมือกันของ Renault-Nissan ตอบโจทย์เซียนเท้าขวาที่รักในความแรงเป็นทุนเดิมไม่ว่าเส้นทางจะเป็นแบบสองเลนสวน ทางคู่ขนานเลนใหญ่หรือแม้กระทั่งเส้นทางโค้งเขาชัน กำลังของเครื่องสร้างความประหลาดใจในการขับขี่ค่อนข้างมากถึงจะกดคันเร่ง Kick Down เต็มๆแต่ยังมีการรอรอบอยู่แต่ไม่มากเท่าไหร่ (ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะใช้เกียร์ลูกเดิม) แต่ยังตอบสนองไวกำลังเครื่องให้ความต่อเนื่องให้การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ความดีครั้งนี้ยกให้กับเทอร์โบคู่ที่มีหลักการทำงานคล้ายกับคู่แข่งจากแดนอเมริกาก็คือ ระบบเทอร์โบคู่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น รวมถึงพัฒนารอบของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น 150 รอบ/นาทีและรอบของแรงบิดมีการเปลี่ยนแปลงหันมาคบแบบต่อเนื่องหรือ Flat Torque (เดิม 2,000 รอบ/นาที) การทำงานของรอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม.ทำผลงานมีเกิน 2,000 รอบ/นาที แต่ละช่วงของความเร็วมาแบบสุขุมแอบซ่อนความปราดเปรียวบ้าง ด้วยรอบตั้งแต่ 1,600, 1,800 1,950 และ 2,100 รอบ/นาที ตามลำดับ และถือว่าสนองดีกว่าฉับไวกว่ารุ่นเครื่องเดิม 2.5 ลิตรห่างกัน 100 รอบ/นาที
สำหรับรุ่น Double Cab VL 4WD คันนี้ยังคงใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดลูกเดิม ด้วยอัตราทดในแต่ละเกียร์ดังนี้ เกียร์ 1 = 4.887 เกียร์ 2 = 3.170 เกียร์ 3 = 2.027 เกียร์ 4 = 1.412 เกียร์ 5 = 1.000 เกียร์ 6 = 0.864 เกียร์ 7 = 0.775 เกียร์ถอยหลัง = 4.041 อัตราทดเฟืองท้าย = 3.357 ถึงเป็นเกียร์ลูกเดิมแต่ยังสร้างความประทับใจในการเรียกกำลังสำหรับขึ้น-ลงทางลาดชัน ไม่กระตุก ไม่ว่าจะอยู่ในในโหมดเกียร์ D หรือ Manual Mode +/- ให้ความสนุกพอสมควร การเข้าตำแหน่งและการทอนเกียร์ลงมา สั่งการอย่างเหมาะสมในระหว่างที่เราใช้ความเร็วทุกช่วงในการขับขี่นับว่ารู้ใจ ตรงใจคนขับ ถึงไม่รวดเร็วทันใจเหมือนตอนอยู่เครื่องเดิมเพราะยังใช้เกียร์ลูกเดิมที่ไม่พัฒนาเรื่องอัตราทดให้สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ใหม่จึงมีอาการรอรอบบ้างและส่งผลให้การจับอัตราเร่ง Performance Test จากจุดหยุดนิ่งทำผลงานไม่ดีเท่าเครื่องเดิม ตามเวลาดังนี้
1. การทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. จับ 3 ครั้งดังนี้
1. ครั้งที่ 1 = 11.74 วินาที
2. ครั้งที่ 2 = 11.23 วินาที
3. ครั้งที่ 3 = 11.25 วินาที = เฉลี่ย 11.41 วินาที
2. การเร่งแซง 80-120 กม./ชม. จับ 3 ครั้งดังนี้
1. ครั้งที่ 1 = 7.74 วินาที
2. ครั้งที่ 2 = 7.97 วินาที
3. ครั้งที่ 3 = 8.16 วินาที = เฉลี่ย 7.96 วินาที
(อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ Nissan Navara Double Cab 2.5 VL 4WD ครั้งที่ 1. 10.99 วินาที ครั้งที่ 2 11.00 วินาที ครั้งที่ 3 8.99 วินาที = เฉลี่ย 10.33 วินาที)
ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อนแบบใต้เพลา ถึงพื้นฐานช่วงล่างยังคงเดิมแต่มีการพัฒนาใหม่ให้มีความนุ่มนวลเข้ามาแทนที่ความหนึบแต่แอบแข็งหน่อย แต่ยังดีที่ไม่เด้งไม่ย้วย คล้ายกับรุ่น PRO-4X ที่เคยทดลองขับไป ไม่ว่าช่วงความเร็วปกติ ความเร็วสูง มั่นใจในการเกาะถนนทุกสภาพเส้นทาง โดยการปรับจูนช่วงล่างที่ถูกจริตสาวกเพื่อนที่แสนดีชาวไทยนั้นปรับในส่วนช็อกอัพและปรับในส่วนยางรองหัวเก๋งเพิ่มความแข็งแกร่งและลดการสั่นสะเทือนในห้องโดยสาร นอกจากนี้ ตำแหน่งเพลามีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้มั่นใจการทรงตัวที่ดีขึ้นไม่ออกอาการท้ายปัดหน้าลื่นแต่อย่างใด นอกจากนี้ติดตั้งระบบระบบออกตัวบนทางลาดชัน HSA และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC ที่ ตรวจจับการทำงานอย่างแม่นยำมีหน่วงบ้างเล็กน้อยและไม่กระตุกในตอนช่วงลงจากทางลาดชัน เหมือนรุ่นเก่า 2.5 ลิตรที่แสนจะกระตุกตลอดเวลาลงทางชัน และความดีในการกทรงตัวที่คุมแล้วไม่นอกลู่นอกทางส่วนหนึ่งเพราะมี ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป (LSD) เปลี่ยนอุปสรรคการลุยให้ง่ายขึ้นและการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไม่ว่าจะ 2H เป็น 4H หรือ 4L ก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็วไม่กระตุกแต่อย่างใด บนแชสซีส์ชิ้นเดียวทำจากเหล็กกล้าตลอดชิ้นแบบ Fully-Boxed Frame ด้านระยะความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ ช่วยให้ขับขี่ลุยผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งทัศนวิสัยในการมองเห็นโดยเฉพาะด้านหน้ากระจกจากผลพวงของการปรับปรุงดีไซน์ฝากระโปรงที่ขอบฝากระโปรงออกแบบมาให้อยู่ในระดับสายตาที่มองได้ดีกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นๆรวมถึงการเก็บเสียงที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่าและมีจอมอนิเตอร์ระบบ Off-Road Meter ในจอ TFT 7 นิ้ว ช่วยให้เห็นอุปสรรครอบคันขณะขับขี่ลุยไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ
ระบบพวงมาลัยตามสมัยปิกอัพปัจจุบันเป็นระบบพาวเวอร์ควบคุมด้วยแร็คแอนด์พีเนี่ยนน้ำมัน ที่ปรับปรุงใหม่โดยมีน้ำหนักเบาขึ้นกว่าเดิม 15 % คุมง่ายด้วยการปรับระยะการหมุนลดลงเหลือ 3.4 รอบ (เดิม 4.1 รอบ) ลดการขยับของพวงมาลัยได้ลดลงงานนี้ปปรับดีขึ้นถูกใจผมจริงๆไม่ว่าจะขับเข้าโค้งทุกโค้งก็มั่นใจแม้กระทั่งทางออฟโรดโหดๆก็สบายคมขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนระบบห้ามล้อนั้นด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อนและดรัมแบรกในด้านหลังในการแบรกแต่ละครั้งไม่ว่าจะเบรกปกติ 30 % ระยะการเบรกอาจจะยาวไปนิดหน่อย ไม่ทันใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งแต่อย่างน้อยยังดีกว่ารุ่นเก่า 2.5 ลิตร ที่สั้นกว่าเดิม และยังมีระบบเบรก ABS และกระจายแรงเบรก EBD มาด้วย
ด้านระบบความปลอดภัยที่ Nissan Navara Double Cab VL ตั้งใจให้มาเป็นมาตรฐานครบครันทั้ง เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning - IFCW) เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ระบบเตือนคนขับอัจฉริยะ (Intelligent Driver Alertness) เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง (Lane Departure Warning) เทคโนโลยีควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention) เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ระบบป้องกันการลื่นไถล (Active Brake Limited Slip Differential System) ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (Trailer Sway Assist) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ Automatic High Beam (AHB) และถุงลมนิรภัย 7 จุดใต้เข่าคนขับ โดยการทำงานของระบบที่กล่าวมาทั้งเตือนการชน เบรกฉุกเฉิน เตือนออกนอกเส้นทาง เตือนมุมอัพสายตา เตือนการถอยหลัง ฯลฯ ทำงานได้ค่อนข้างแม่นยำ
ปิดท้ายอัตราสิ้นเปลืองด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 12.92 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 60.9 กม.จัดน้ำมัน B7 เต็มถังจากปั๊มแถว ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 4.71 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง การใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 11.23 กม./ลิตร และนอกเมืองกลับได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 12.39 กม./ลิตร จากระยะทาง 370.1 กม.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-สระบุรี (มวกเหล็ก) และเติมเข้าไปเต็มถัง 29.862 ลิตร (อัตราสิ้นเปลืองตาม Eco Sticker ในเมือง 10.30 กม./ลิตร นอกเมือง 15.62 กม./ลิตร เฉลี่ย 13.20 กม./ลิตร)
(อัตราสิ้นเปลืองของ Nissan Navara Double Cab 2.5 VL 4WD ในเมือง 8.5 กม./ลิตร นอกเมือง 11.83 กม./ลิตร Save Mode 10.43 กม./ลิตร) ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ทำได้ขนาดนี้อาจเป็นเพราะการปรับเซ็ตเครื่อง 2.3 เทอร์โบคู่ให้มีความประหยัดมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมแถมสามรถใช้น้ำมันดีเซลได้หลายแบบตั้งแต่ B7,B10 ยัน B20
7 ปีที่ห่างหายจากการปรับโฉมมานาน มาครั้งนี้ปรับอย่างสมศักดิ์ศรี ถูกใจตรงความต้องการของคนไทยเป็นอย่างมากทั้งในเรื่องหน้าตา ออพชั่น ข้าวของที่ให้มาขุมพลังที่ลดขนาดลงแถมปรับพัฒนารอบของแรงม้าและแรงบิดให้แรงเร้าใจมากขึ้น สร้างความอัศจรรย์ทั้งในเรื่องกำลังการตอบสนอง การเร่งแซง เรียกว่าทันใจเซียนเท้าขวาเป็นอย่างยิ่งในการใช้งานไม่ว่าจะทางเรียบ ไฮเวย์ ในเมืองแม้กระทั่งทางออฟโรด แบบไม่ขาดตอนปรับช่วงล่างปรับระบบควบคุมที่ดีขึ้นกว่าเดิม ระบบพวงมาลัยที่คมกว่าเดิมน้ำหนักเบาดี ช่วงล่างไม่เด้งไม่ย้วย แม้กระทั่งการปรับทัศนวิสัยที่มองเห็นรอบคันได้ดีกว่าด้วยเบาะนั่งที่สบาย ระบบกล้องมองภาพรอบคันที่ทำงานผ่านจอสัมผัสเรียกว่าสบาย
มาดหล่อเรียบในรุ่น VL 4WD สร้างคะแนนความสนใจจากหนุ่มเจ้าสำอางค์ที่มีหัวใจออฟโรดเป็นทุนเดิม พร้อมความปลอภัยชนิดคู่แข่งอาจมองฆ้อนได้ และเทียบได้กับบรรดาคู่แข่งทั่วฟ้าเมืองไทยไม่ว่าจะรายใหญ่รายย่อยเรียกว่าสู้ทุกงาน ดันทุกเคส ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในราคา 1,129,000 บาท ถึงไม่โหดดุเท่า PRO-4X แต่ดุสุภาพ ลุยได้ไม่แพ้กันสำหรับ Nissan Navara Double Cab VL 4WD ถ้าไม่แคร์ว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไม่ได้เน้นเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆของรถเน้นแต่กล้องมองภาพรอบคันก็ตาม
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์ รถปิกอัพ New Nissan Navara Double Cab 2.3 VL 4WD Auto มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>> ปรับหล่อครั้งแรกทำการบ้านได้ดีไม่วาจะเครื่องยนต์ ช่วงล่าง เกียร์ พวงมาลัย หน้าตาดุขึ้นคล้ายพี่ใหญ่ Nissan Titan กระจังหน้าสไตล์ดุหรูแบบโครเมี่ยมแบบน่าเกรงขาม เบาะนั่งดีขึ้นถึงแม้จะดันหัวก็ตาม ช่วงล่าง ระบบพวงมาลัยปรับถูกจริตคนไทยอย่างมาก เครื่องยนต์ 2.3 กำลังวังชารวดเร็วกว่าชูทยาวๆ การเก็บเสียงดีขึ้น ฝากระโปรงหน้าออกแบบใหม่ให้มองชัดขึ้นดีไซน์ฝากระโปรงมาในแนวตรงไม่เล่นระดับ
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> แผงคอนโซลหน้าดีไซน์โบราณไปหน่อย ควรมีที่วางแก้วใต้ช่องแอร์ด้านหน้าซ้าย-ขวา ระบบ ควรเพิ่มช่องชาร์จไฟฟ้าแบบ 220V สำหรับการใช้โน็ตบุ๊ค รวมถึงเพิ่มระบบ Nissan Connect ค้นหารถ
คลิ๊กชม Gallery Test Drive Nissan Navara Double Cab 2.3 VL ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com