Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2021 All New ISUZU MU-X 1.9 Ultimate ในเมืองคุ้ม นอกเมืองสบายกับอเนกประสงค์หรู 7 ที่นั่ง
- โดย : Autodeft
- 10 มิ.ย. 64 00:00
- 20,236 อ่าน
ถ้าจะกล่าวถึงรถยนต์พีพีวีดัดแปลงจากรถปิกอัพยอดนิยมจะต้องมีชื่อ ISUZU MU-X เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ โดยหลังจากเปิดตัวต่อเหล่าประชาคมอีซูซุที่เชื่อมั่นรวมถึงมือใหม่ที่พึ่งจะมาใช้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา สร้างประวัติศาสตร์ขายดีมายาวนานเด่นด้วยอรรถประโยชน์ใช้สอย ความสบาย ความทนทาน ความประหยัดน้ำมัน และกลายเป็นมิติใหม่ของตลาดรถยนต์กลุ่มนี้จากเจเนอเรชั่นแรกมาถึง All New ISUZU MU-X เจเนอเรชั่นท
All New ISUZU MU-X เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ยังมียอดขายเป็นอันดับต้นๆตลาดรถยนต์ พีพีวี หลังจากที่เคยรีวิวรุ่นท็อปสุด 3.0 Ultimate 4WD กันไปแล้ว ครั้งนี้กลับมาอีกครั้งแต่เป็นรุ่น 1.9 Ultimate ขับเคลื่อน 2 ล้อ ความหรู ความหล่อไม่ต้องพูดถึงเหมือนกับรุ่นท็อปสุดทุกประการดูวัยรุ่นขึ้นไม่แก่แต่ก็สุขุมทั้ง กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ เติมสีสันด้วยสีเงิน Tungsten ครอบยาวทั้งชิ้นรวมปีกซ้าย-ขวา พร้อมกรอบโครเมี่ยมและตราสัญลักษณ์ ISUZU อยู่ข้างบน ไฟหน้าโคมใหม่ดีไซน์เรียวและเล็กลง Projector แบบ Bi-Beam LED และมีไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED DRL รูปตัวมีปีก ในโคมเดียว รวมถึงยังปรับระดับสูงต่ำของไฟหน้าแบบอัตโนมัติในยามบรรทุกของป้องกันไฟหน้าสาดใส่ผู้ขับขี่ที่สัญจร กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถครอบทับไฟหน้ากับกันชนหน้าอย่างแนบเนียน เสริมหรูกับไฟตัดหมอกหน้า LED และสัญญาณเตือนกะระยะการจอด 4 จุด ติดตั้งมาให้ คนขี้ร้อนเหมาะอย่างยิ่งเลยกับกระจกหน้ารถแบบ IR Cut กรองรังสีอินฟราเรด ป้องกันรังสี UVA และ UVB ที่ปัดน้ำฝนปัดขึ้น-ลงเงียบยิ่งขึ้นและองศาการปัดกว้างกว่าเดิม พร้อมระบบฉีดน้ำบนก้านปัดแบบ Blade Type ติดตั้งในตัวก้านปัดน้ำฝนและมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ Rain Sensing Wiper โดยทำงานตามปริมาณน้ำฝนเกาะกระจกหน้ารถ พร้อมที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง
ดีไซน์ด้านข้างอาจคล้ายปิกอัพ ISUZU D-MAX แต่ก็ออกแบบให้สวยลงตัวและแตกต่าง โดยอะไหล่บางชื้นสามารถใช้ร่วมกันได้เริ่มที่กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบปรับพับด้วยไฟฟ้าเติมแต่งด้วยสีเดียวกับตัวรถพร้อมเปิดประตูสีเดียวกับตัวรถพร้อมปุ่มล็อกปลดล็อกระตูสีดำเล็กๆซ่อนไว้ ซึ่งอยากให้หรูขึ้นน่าจะเติมชุดโครเมี่ยมในชุดเปิดประตูและกระจกมองข้างด้วยก็ดี ถึงแม้จะไม่มีชุดโครเมี่ยมสีเงินในกระจกมองข้างและที่เปิดประตู แต่อย่างน้อยก็ให้ในกรอบประตูตั้งแต่ประตูหน้เสา A ยาวจนถึงเสา D เรียกว่าให้ความลักชัวรี่ไปอีกระดับ สังเกตุดีการออกแบบเสาตั้งแต่ เสา A จนถึงเสา D ใหม่หมดโดยเฉพาะเสา C ในเจนใหม่นี้เสาจะบางแต่เสา D จะหนากว่า โดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาตร์ ราวหลังคาดีไซน์เรียวเข้ารูปรองรับการบรรทุกของได้เต็มที่และสวยงามในตัว ล้ออัลลอยไซส์ใหญ่ 20 นิ้ว ดีไซน์ 6 ก้านคู่สีทูโทน เงิน-เทาเข้ม พร้อมยาง H/T จาก Bridgestone Dueler 684 ขนาด 265/50 R20
หล่อด้วยเสาอากาศครีบฉลามบนหลังคาท้ายรถพร้อมฝาท้ายใหม่ออกแบบสมาร์ทโดนใจ ไฟท้ายใหม่แบบ LED Winglet Signature เพิ่มมิติมุมมองให้โดดเด่นด้วยโคมไฟ 3-Line LED ตรงกลางติดตรา ISUZU ถ้าจะให้ดีควรให้โลโก้ มีระยะห่างหน่อยจะดูสวยทันที ถัดลงมาเป็นกรอบป้ายทะเบียนสีเดียวกับตัวรถงานนี้ซ่อนทั้งกล้องมองหลังและที่เปิดฝาท้ายไว้ด้วยกัน ฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบ Jam Protection ป้องกันการหนีบเวลาที่มีคนซุกซนเล่นปิดฝาท้ายแบบไม่ดูตาม้าตาเรือระบบจะหยุดทันที และสามารถเปิดได้จากกุญแจรีโมทหรือที่เปิดฝาท้ายโดยตรงก็ได้
ใครๆที่สงสัยว่าฝาท้ายเวลาเคาะแล้วมีเสียงที่ผิดแผกไปจากเดิมที่ต้องเป็นฝาท้ายปั้มขึ้นรูปจากเหล็ก บอกได้เลยว่าเป็นฝาท้ายที่ทำมาจากวัสดุ เรซิ่น คอมโพสิท ซึ่งเคาะแล้วอาจคล้ายเสียงเคาะพลาสติก ผลดีคือช่วยให้ฝาท้ายมีน้ำหนักเบาขึ้นและส่งผลให้น้ำหนักรถลดลง ด้วย ถัดลงมาเป็นกันชนหลังขึ้นรูปสวยกับสีเดียวกับตัวรถพร้อมสัญญาณเตือนกะระยะการจอด 4 จุด เช่นกันกับด้านหน้าและกล้องมองหลัง
ตัวรถมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตกว่าเดิมโดยมีความยาว 4,850 มม. ความกว้าง 1,870 มม. ความสูง 1,875 มม. ฐานล้อ 2,855 มม. น้ำหนักรถ 2,005 กก. ระยะต่ำสุดจากพื้น 235 มม. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร และเมื่อเทียบกับ MU-X เจนที่แล้ว พบว่าความยาวมากกว่าเดิม 25 มม. ความกว้างมากขึ้น 10 มม. ความสูงมากขึ้น 15 มม. ฐานล้อยาวกว่าเดิม 10 มม. ความสูงใต้ท้องรถสูงขึ้น 5 มม. ความจุถังน้ำมันมากกว่าเดิม 15 ลิตร และน้ำหนักมากขึ้น 55 กก. (ถ้าเทียบกับรุ่นท็อปสุด 3.0 Ultimate 4WD น้ำหนักน้อยกว่า 160 กก.)
ภายในห้องโดยสารเหมือนกับรุ่นท็อปสุด 3.0 Ultimate 4WD ทุกประการ หรูขึ้นลักชัวรี่ด้วยห้องโดยสารทูโทนเทาอ่อนน้ำตาลโดยสีน้ำตาล Saddle Brown ติดตั้งในชุดเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ 7 ที่นั่ง ตัดเย็บพิเศษเดินด้ายอารมณ์เดียวกับเครื่องหนังหรู สบายทุกสรีระด้วยเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ด้านคนขับปรับ 8 ทิศทางและคนนั่ง 4 ทิศทาง ซึ่งดีไซน์เบาะคล้ายกับ ISUZU D-MAX นั่งสบายกับปีกเบาะซ้าย-ขวาที่โอบกระชับโอบกระชับรับทุกสัดส่วน แถมไม่ต้องบ่นว่านั่งแล้วก้นและหลังจะร้อนเพราะมี Cool Max ลดการสะสมความร้อนได้อีกด้วย เบาะนั่งตอน 2 เบาะนั่งตอน 2 ดีไซน์หรูซ่อนรูปพร้อมที่ท้าวแขนปรับและที่วางแก้วน้ำปรับเอนได้ถึง 22 องศา และยังฝังเต้าเสียบเข็มขัดนิรภัยลงในหลุมเบาะนั่งซึ่งไม่ต้องมานั่งบ่นเกะกะอีกต่อไปแถมยังพับได้ 60/40 แบบพับม้วนเดียวจบเพื่อเข้าไปนั่งในตอน 3 รวมถึงจุด ISOFIX สำหรับวางคาร์ซีทเด็ก
เบาะนั่งตอน 3 สบายพับได้แบบ 50/50 ทั้ง 2 ตอนหลัง ถึงผมสูง 174 ซม. ยังนั่งสบายปรับเอนได้พื้นที่วางขาพื้นที่หลังคายังมีเหลือๆ เหยียดขาได้เต็มที่ และตอน 3 ยังพอมีพื้นที่วางขาอยู่พอสมควรง่ายๆเลยว่าเด็กๆนั่งได้ผมเองส่วนสูงขนาดนี้ก็นั่งได้เช่นกัน โดยพื้นที่วางของหลังเบาะตอน 3 มีกล่องอเนกประสงค์ใส่ของกระจุกกระจิกได้สบายๆ สำหรับพื้นที่หลังเบาะตอน 3 ก่อนพับจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 311 ลิตร และเมื่อพับเบาะตอน 3 ลงมีพื้นที่ความจุมากถึง 1,119 ลิตร และเมื่อพับตอน 2 กับตอน 3 ด้วยกันจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 2,138 ลิตร ซึ่งถือว่ามากที่สุดในรถพีพีวีด้วยกัน และการขึ้นลงทั้งตอนหน้าตอน 2 จะมีมือจับขนาดใหญ่ 4 จุด ให้อำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลง และมือจับบนหลังคาอีก 4 จุด เสริมทัพด้วย และแผงประตู 4 บาน ขึ้นรูปสวยสีดำบุหนังสีน้ำตาลแบบหนังสัมผัสพร้อมไฟ Ambient Light ไฟตกแต่งข้างประตูปรับความสว่างได้ 3 ระดับ แต่เสียดายว่ามีสีไฟแค่สีขาวสีเดียว
คอนโซลหน้าออกแบบให้แตกต่างจาก ISUZU D-MAX พอสมควร โดยเฉพาะบนแผงคอนโซลหน้าจะเรียบไม่มีเล่นระดับไม่มีกล่องอเนกประสงค์เล็กๆบนแผงคอนโซลหน้าดีไซน์คอนโซลกลางหุ้มด้วยหนังสัมผัสสีดำเดินด้ายอย่างประณีต ตกแต่งสีดำเปียโนแบล็กทั้งหมดล้อมกรอบด้วยโครเมี่ยมสองฝั่ง จอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว คมชัด HD รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย Android Auto พร้อมระบบนำทาง ติดตั้งลำโพงรอบคัน 8 ลำโพงรวมลำโพงบนหลังคารถ ให้เนื้อเสียงไพเราะระดับหนึ่ง ถัดลงมาจะเป็นสวิตช์เครื่องปรับอากาศ Auto แยกอณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อม Heather งานนี้ทั้งผู้ขับขี่ผู้โดยสารตอนหน้าไม่ต้องมาแย่งกันปรับอุณหภูมิกันอีกและยังมีสวิตช์แอร์พร้อมช่องแอร์บนหลังคาทำงานแยกกันกับแอร์หน้า ติดตั้งระบบกรองอากาศเข้าห้องโดยสาร High Efficiency Filter สามารถดักฝุ่น PM 2.5 ได้ ช่องเก็บของด้านคนนั่งมี 2 จุดเมื่อเปิดส่วนบนมาจะพบช่องใส่แผ่น DVD ซึ่งคนรุ่นเก่าจะชอบแต่สำหรับผมเองขอเชื่อมต่อผ่านทางสมาร์ทโฟนจะดีกว่า บนสุดเป็นกระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ กับชุดไฟส่องแผนที่เปิดซ้าย-ขวา พร้อมกล่องใส่แว่นตาและไฟส่องเล็กๆ Dome Light ส่องบริเวณคอนโซลเกียร์ในยามค่ำคืนติดตั้งมาสามารถมองเห็นซอกเล็กๆได้
คอนโซลเกียร์ออกแบบให้แตกต่างจากปิกอัพหรูด้วยหนังสัมผัสสีดำเดินด้ายขาว คันเกียร์ดีไซน์คุ้นเคยพร้อมย้ายตำแหน่งบอกเกียร์บนหัวเกียร์สีดำเปียโนแบล็ก เอาใจคนรักสบายด้วยเบรกมือเป็นแบบปุ่มไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Brake Hold ช่วยหยุดอยู่กับที่โดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้ และปลดเบรกอัตโนมัติเมื่อแตะคันเร่ง ที่ท้าวแขนขนาดใหญ่หุ้มหนังสีดำเดินด้ายขาวแถมข้างหลังกล่องคอนโซลกลางเดิมเป็นช่องแอร์กลายเป็น USB Fast Charger ช่องต่อ AC Power Socket 220V และช่องต่อ DC 12V ช่องเก็บของและที่วางแก้ว 12 จุด วางขวดน้ำขนาดใหญ่ 1.5 ลิตรได้สบายๆ และเอาใจคุณผู้หญิงคุณผู้ชายอาจแต่งหล่อแต่งสวยก่อนไปธุระด้วยที่บังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าฝังไฟส่องสว่าง 2 จุด
มาตรวัดเรืองแสงแบบพร้อมจอแสดงข้อมูลสี Smart MID ขนาดใหญ่ 4.2 นิ้ว ที่บอกทั้งระยะทางทริป A กับ B อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน จอแสดงการทำงานวิทยุ นาฬิกาดิจิตอล จอแสดงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ฯลฯ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน ดีไซน์จับกระชับมือกว่ารุ่นที่แล้ว หุ้มหนังตกแต่งสีเงินด้าน ซ้ายมือเป็นปุ่มควบคุมวิทยพร้อมปุ่มรับโทรศัพท์ ขวาเป็นปุ่มล็อกความเร็วอัตโนมัติหรือ Adaptive Cruise Control ปรับได้ 4 ทิศทาง Tilt & Telescopic สูง-ต่ำและ ยืด-หด ตามสรีระผู้ขับขี่ ปุ่ม Push Start ตามสมัยนิยม ระบบกุญแจรีโมท ISUZU Genius Entry แค่เก็บใส่ในกระเป๋ากางเกงก็สามารถสั่งปลดล็อกได้อย่างง่ายดายด้วยการกดปุ่มเล็กๆในก้านประตูแต่ไม่สามารถดึงก้านเปิดประตูได้และยังสั่งเปิด-ปิดฝาท้ายได้ด้วยกุญแจรีโมท พร้อมระบบล็อกรถอัตโนมัติในกรณีที่เดินออกห่างจากตัวรถเกินระยะ 3 เมตร หรือ Walk Away Auto Lock เหมาะมากสำหรับคนขี้ลืม รีบไปทำธุระจนลืมล็อกรถรวมถึงสั่งเปิด-ปิดฝาท้ายได้ และ Remote Engine Start จอดรถกลางแดดแล้วตั้งระบบปรับอากาศไว้ก่อนดับรถสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยกุญแจรีโมทได้ในระยะ 20 เมตร แต่การทำงานดังกล่าวอาจ จำกัดการใช้งาน และมีระบบยกเลิกการทำงานถุงลมนิรภัยด้านผู้โดยสารสำหรับการติดตั้งที่นั่งคาร์ซีทในเบาะโดยสารด้านหน้า โดยระบบการทำงานอยู่ที่ด้านข้างคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสารด้วยการไขกุญแจยกเลิกการทำงาน
นอกจากขุมพลังพลังที่แรงเร้าใจ 3.0 ลิตร 190 แรงม้า 450 นิวตันเมตรแล้วยังมีอีกขุมพลังที่ได้ฉายาว่า จิ๋วแต่แจ๋ว กับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน เล็กสุดในวงการขนาด 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1,898 ซีซี อัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์เป็น 16.5:1 ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ 80/94.4 มม. ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที รอบ/นาที ปล่อย CO2 ที่ 177 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบ Rev-Tronic พร้อมโหมดสปอร์ตบวก/ลบในรุ่น Active Luxury และ Ultimate (มีเกียร์ธรรมดา 6 สปีด รุ่น MVL-6Y ให้เลือกในรุ่น Luxury เท่านั้น)
เพราะน้ำหนักของตัวเครื่องและไม่มีระบบเกียร์ฝากทรานเฟอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อหายไปถึง 160 กก. แต่ด้วยตัวรถที่ใหญ่ถ้าวางเครื่องเล็กลงกลัวจะไม่มีกำลังในการใช้งานทาง อีซูซุ จึงพัฒนาให้มีกำลังคล่องแคล่วกว่าเดิมแบบไม่อายเครื่องใหญ่ พัฒนาใหม่เป็นเจน 2 ความกระฉับกระเฉงในการออกตัวและขับความเร็วสูงๆที่เคยทำผลงานค่อนข้างน่าพอใจจากเจนที่แล้ว คราวนี้ปรับให้มีเรี่ยวแรงดีขึ้นออกตัวเร่งแซงฉับไวขึ้น ถึงแม้คลิ๊กดาวน์เพื่อเรียกกำลังอาจมีอาการหน่วงเล็กน้อย คล้ายกับตอนเครื่อง 3.0 ลิตร เก่า 177 แรงม้า เรียกว่าปรับเซ็ตสำหรับการใช้งานในเมืองและนอกเมืองที่ไม่รีบร้อน สำหรับคนพอเพียงเพียงพอ
รอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม.ทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที และแต่ละช่วงของความเร็วมาแบบรวดเร็วติดปีก ด้วยรอบตั้งแต่ 1,400 1,550, 1,700 และ 1,950 รอบ/นาที ตามลำดับ และเมื่อกดปุ่ม สตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์เงียบกว่าเดิมในช่วงรอบต่ำจนถึงขับปกติ 60-120 กม./ชม.เพราะการออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้นกว่าเดิมส่วนการทำงานของรอบเครื่องยนต์ในรอบเดินเบาไม่เกิน 800 รอบ/นาทียังเงียบสนิท สำหรับคนที่ต้องการประหยัดมากขึ้นยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ ISS (Idling Stop/Start System) โดยจะตัดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราวและกลับมาทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อแตะคันเร่ง ในเวอร์ชั่นนี้พัฒนาให้ระบบแอร์สามารถเปิดทำงานได้จากเดิมต้องปิด แต่ยังคงเหยียบเบรกและตำแหน่งเกียร์ต้องอยู่ในเกียร์ D แต่การทำงานจากเดิมหยุดนาน 3 นาที คราวนี้เหลือแค่นาทีเดียว แต่ถ้าไม่ชอบระบบนี้สามารถปิดการทำงานโดยไม่ต้องติดดับๆอีกต่อไป ส่วน Performance Test จับอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งทำผลงานอาจไม่ดีเท่าเครื่อง 3.0 ลิตร 190 แรงม้า และISUZU MU-X 1.9 เจนที่แล้ว ตามเวลาดังนี้
1. การทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. จับ 3 ครั้งดังนี้
1. ครั้งที่ 1 = 13.71 วินาที
2. ครั้งที่ 2 = 13.69 วินาที
3. ครั้งที่ 3 = 13.63 วินาที = เฉลี่ย 13.68 วินาที
2. การเร่งแซง 80-120 กม./ชม. จับ 3 ครั้งดังนี้
1. ครั้งที่ 1 = 12.53 วินาที
2. ครั้งที่ 2 = 11.68 วินาที
3. ครั้งที่ 3 = 10.61 วินาที = เฉลี่ย 11.60 วินาที
(อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ ISUZU MU-X 1.9 เจนที่แล้ว ครั้งที่ 1. 12.92 วินาที ครั้งที่ 2 12.99 วินาที ครั้งที่ 3 13.11 วินาที = เฉลี่ย 13.11 วินาที)
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ผลิตโดย AISIN รุ่น AWR6B45 ถึงจะเป็นลูกเดิมลูกเดียวกับเครื่อง 1.9 ครั้งที่แล้ว ด้วยอัตราทดดังนี้ เกียร์ 1 = 3.600 เกียร์ 2 = 2.090 เกียร์ 3 = 1.488 เกียร์ 4 = 1.000 เกียร์ 5 = 0.687 เกียร์ 6 = 0.580 เกียร์ถอยหลัง = 3.732 อัตราทดเฟืองท้าย = 4.100 นอกจากปรับเซ็ตเครื่องยนต์ให้มีแรงแล้วการทำงานของเกียร์ลูกนี้ปรับเซ็ตให้แต่ละเกียร์สัมพันธ์กับความเร็วได้น่าอย่างราบรื่น ไม่กระตุกไม่เสียอารมณ์ตอนขับเร่งแซง แถมมี Rev-Tronic บวก/ลบด้วยสร้างความสนุกในการขับขี่มากขึ้น ด้วยการปรับกล่องสมองกลให้เป็นเวอร์ชั่นดีที่สุด ส่วนอาการ Engine Brake ที่จะคอยดึงกำลังของเครื่องยนต์ช่วงความเร็วลดลงมาถึง 60 กม./ชม. ยังคงอยู่ แถมได้ระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก BOS มาแทน รวมถึงระบบระบบออกตัวบนทางลาดชัน HSA และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC ที่ ตรวจจับการทำงานอย่างแม่นยำมีหน่วงบ้างเล็กน้อยและที่สำคัญไม่กระตุกในตอนช่วงลงจากทางลาดชัน
ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และเหล็กกันโคลง ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension พร้อมเหล็กกันโคลง สามารถให้การยึดเกาะถนนอย่างแม่นยำ ไม่โคลง แม้กระทั่งการขับขี่ทางเรียบ ทางตรง ช่วงล่างยังให้ความนุ่มนวลเช่นเดิม โดยช่วงล่างแบบเดียวกับรุ่นท็อปสุดที่เคยทดลองขับไปแล้วตลอดสัปดาห์ของการครอบครองมาขับนั้น ไม่แตกต่างกัน คือถ้าขับขี่ในถนนจริงๆไม่ว่าจะทางเรียบและขุรขระหรือสภาพถนนที่ต่างกันนอกจากความนุ่มนวลแล้วความหนึบยังเพิ่มเข้ามาด้วย แต่อาการเด้งๆยังมีให้เห็นแต่น้อยมาก การยึดเกาะถนนทำได้ดีกว่า MU-X เจนที่แล้ว อย่างชัดเจนส่วนหนึ่งจากการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ในส่วนของลูกหมากปีกนกบนขยับตำแหน่งให้สูงขึ้น มีผลให้ฐานล้อกว้างกว่า จึงทำให้ผลงานออกมาได้อย่างประทับใจและอาการกระเทือนน้อยกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นๆ และถ้าจะให้ดี ก็เติมลมยาง 32-33 เพื่อการขับขี่ที่สมดุล และนุ่มนวลที่สุด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของ แพลตฟอร์มใหม่หมด ISUZU Symmetric Mobility ทำงานร่วมกันทั้ง โครงสร้างตัวถัง แชสซีส์ เครื่องยนต์ ช่วงล่างให้ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำให้มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม นุ่มนวล นั่งสบาย แต่แข็งแกร่ง ทนทาน มั่นคงในการขับขี่ หายห่วงเพราะมีตัวช่วยเข้ามาเสริมด้วยนั่นคือระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันการลื่นไถล TCS และถ้าใครอยากต่อท้ายพ่วงรถบ้านหรือส่วนที่เกี่ยวเนื่องแล้วกังวลว่าท้ายมันจะส่ายไหมหายห่วงครับเพราะมีระบบควบคุมการส่ายขณะพ่วงท้าย TSC ให้ด้วย
พวงมาลัยพาวเวอร์แบบแร็คแอนด์พิเนียนแบบน้ำมัน น้ำหนักเบากว่า MU-X เจนที่แล้วใช้งานได้อย่างสะดวกขึ้น มั่นใจในการใช้งานมากขึ้นระยะวงเลี้ยวแคบสุด เพียง 5.6 เมตร กลับรถได้แบบม้วนเดียวจบไม่ต้องขยับเดินหน้าถอยหลัง ระยะฟรีพวงมาลัยน้อยลงเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานในเมืองและนอกเมือง ทางด้านระบบเบรกเหมือนกับรุ่นท็อปสุด ทำงานฉับไวขึ้นและทันใจ เมื่อเหยียบแป้นเบรกไป 25 % ระบบเบบรกจะเริ่มหน่วงและหยุดเต็มที่เมื่อเหยียบแป้นไปถึง 35 % ด้วยหม้อลมเบรกขนาดใหญ่รวมถึงดิสก์เบรก 4 ล้อประกอบด้วย ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 320 มม.และมีดิสก์เบรกหลังให้เป็นมาตรฐาน พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติเมื่อเบรกกระทันหัน BA และยังมีไฟฉุกเฉินกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกกระทันหัน ESS กับ ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด
ระบบความปลอดภัยสำหรับรุ่น Ultimate 1.9 คันนี้ เหมือนกันรุ่นท็อปสุด เครื่อง 3.0 ลิตร ทุกประการ ติดตั้งออพชั่นระบบความปลอดภัยแบบเต็มพิกัดชนิดที่ว่าตั้งใจฆ่าคู่แข่งพิกัดเดียวกันทั้งจากเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนต่างทวีป ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ทำงานผ่านระบบกล้องหน้าคู่อัจฉริยะ 3D Imaging Stereo Camera คอยตรวจจับเส้นถนน และวัตถุต่าง ๆ สิ่งกีดขวางด้านหน้าเพื่อป้องกันการชน ช่วยประเมินและควบคุมความเร็ว ควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ และคอยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ด้วยการสแกนภาพ 3 มิติ แบบ Real Time ทำงานร่วมกับเรดาร์ 2 จุด ติดตั้งบริเวณกันชนท้าย ตรวจจับรถยนต์ในจุดอับสายตาด้านหลังและเซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน ด้านหน้าและหลัง เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยขณะจอดรถในที่แคบ โดยมีระบบที่เกี่ยวเนื่องดังนี้
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go, ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า FCW (Forward Collision Warning), ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning), ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam), ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation), ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง MSL (Manual Speed Limiter), ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา BSM (Blind Spot Monitoring), ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์ RCTA (Rear Cross Traffic Alert), ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ Parking Aid System, ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน MCB (Multi-Collision Brake)
ตลอดการขับขี่มาหนึ่งสัปดาห์ ได้ทดลองใช้ระบบบางรายการและเป็นฟังก์ชั่นที่ใช้งานบ่อยๆ เริ่มที่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go โดยระบบดังกล่าวจะปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ สมมติถ้าเราตั้งความเร็ว 120 กม./ชม. แล้วไม่มีรถคันหน้าเข้ามาเราก็ยังขับที่ความเร็วที่ตั้งไว้ แต่ถ้ามีรถคันหน้าเข้ามาในเลนของเรา ถ้าคันหน้าขับที่ความเร็ว 80 กม./ชม. รถของเราที่ตั้งความเร็วเดิมไว้จะลดลงเหลือ 80 กม./ชม. และจะกลับมาความเร็ว 120 กม./ชม. อีกครั้งเมื่อรถคันหน้าออกนอกเลน ส่วนระบบ Stop and Go ซึ่งอีซูซูเคลมว่าเป็นเจ้าแรกที่ติดตั้งโดยระบบจะหยุดรถเองตามคันหน้า และจะเคลื่อนตัวอีกครั้งหลังหยุดรถ ระบบนี้จะทำงานกรณีที่รถคันหน้าหยุดไม่เกิน 2 วินาที แต่ถ้าเกินระบบจะยกเลิกแต่ถ้าอยากให้ระบบกลับมาต้องกดปุ่ม Resume หรือ เหยียบคันเร่ง โดยภาพรวมของระบบนี้จะคำนวณความเร็วได้ค่อนข้างแม่นยำ ไม่มีอาการดีเลย์ แถมเบรกแม่นยำประดุจเราเบรกเองซึ่งยอมรับเลยว่าสุดยอด
ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า FCW (Forward Collision Warning) ซึ่งจะทำงานควบคู่กับ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) จะตรวจจับสิ่งกีดขวางด้านหน้าด้วยกล้องหน้าคู่ เมื่อระยะห่างระหว่างรถกับสิ่งกีดขวางอยู่ในระยะกระชั้นชิดเกินไปและเสี่ยงต่อการชน โดยเมื่อมีการเหยียบเบรกระหว่างระบบ FCW แจ้งเตือน ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรก (BA) จะทำงานเพื่อช่วยลดระยะการเบรก ทั้งนี้สามารถตั้งความไวในการเตือนของระบบ FCW ได้ 3 ระดับ ส่วนระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Braking - AEB) แจ้งเตือนขึ้นแต่ผู้ขับขี่ยังไม่เหยียบเบรกและมีความเสี่ยงสูงโดยระบบจะทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความรุนแรงของการชน ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติจะยังทำงานต่อเนื่องอีก 2 วินาทีและจะยกเลิกการทำงาน ผู้ขับขี่จะต้องเหยียบเบรกต่อด้วยตัวเอง ทั้งนี้ระบบจะทำงานเมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วประมาณ 8-160 กม./ชม.
โดยทั้ง 2 ระบบนี้จะแจ้งให้ทราบผ่านคำเตือนบนหน้าจอ MID มีแสงกะพริบบริเวณคอนโซลหน้าที่จะสะท้อนไปที่กระจกหน้าเพื่อเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และการส่งเสียงเตือนสั้นซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง ซึ่งสองระบบนี้ มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันคนเดินข้ามถนนตัดหน้าอย่างทันท่วงที
ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning ) จะเตือนเมื่อรถของเราออกนอกเลนหรือคร่อมเลน โดยจะมีเสียงเตือนและเตือนที่มาตรวัด ระบบนี้ทำงานได้อย่างฉับไว ไม่สะดุด โดยระบบจะช่วยเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบเมื่อรถมีความเร็วประมาณ 60-130 กม./ชม. และถนนต้องมีเส้นแบ่งเลนชัดเจน โดยแสดงคำเตือนบนหน้าจอ MID และส่งเสียงเตือนสั้น ๆ แต่ถ้าเปิดไฟเลี้ยวเมื่อจะเปลี่ยนเลนระบบนี้จะไม่ทำงานทันที ซึ่งถือว่าอุ่นใจได้ระดับนึงแต่น่าจะมีระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-keep Assist System) แจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางทางเดินรถแบบไม่ดึงพวงมาลัยแรงมาก ก็จะดีและถ้ามาและทำได้ดีกว่า Toyota Fortuner Legender ที่ดึงแรงสั่นจนสร้างความตกใจมาแล้วก็จะเยี่ยมเลย
และคนที่ซุ่มซ่ามเข้าเกียร์โดยไม่ตั้งใจจาก R เป็น D แล้วเหยียบคันเร่งอย่างมั่นใจโดยไม่รู้ว่าข้างหน้ามีกำแพงหรือรถคันหน้าจอดขวางไว้ จะมีระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบจะตรวจจับการเหยียบคันเร่ง เมื่อพบว่ามีการเหยียบคันเร่งมากเกินไปด้วยแรงเหยียบเกินกว่า 30% และพบสิ่งกีดขวางด้านหน้ารถยนต์มีระยะห่างน้อยกว่า 4 เมตร ผ่านกล้องหน้าคู่ ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ โดยระบบจะแจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบผ่านคำเตือนบนหน้าจอ MID มีแสงกะพริบบริเวณคอนโซลหน้าที่จะสะท้อนไปที่กระจกหน้าและส่งเสียงเตือนสั้นซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากคันเร่ง หลังจากนั้นผู้ขับขี่ต้องเหยียบเบรกด้วยตัวเองเพื่อหยุดรถและป้องกันหรือลดความเสียหายของการชน
ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเมื่อเทียบกับ ISUZU MU-X 1.9 เจนที่แล้วพบว่า ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยยังคงให้ความประหยัดเช่นเดิม เริ่มที่จากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 13.24 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 60.9 กม.จัดน้ำมัน B7 เต็มถังจากปั๊มแถวเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 4.60 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง ส่วนอัตราสิ้นเปลืองในเมืองทำได้ 10.91 กม./ลิตร และปิดท้ายนอกเมืองกลับทำได้ 12.51 กม./ลิตร จากระยะทาง 336.8 กม.เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ชลบุรี (บางแสน) และเติมเข้าไปเต็มถัง 29.862 ลิตร (อัตราสิ้นเปลืองตาม Eco Sticker ในเมือง 13.15 กม./ลิตร นอกเมือง 16.12 กม./ลิตร เฉลี่ย 14.92 กม./ลิตร) (อัตราสิ้นเปลืองของ ISUZU MU-X 1.9 เจนที่แล้ว ในเมือง 10.03 กม./ลิตร นอกเมือง 14.14 กม./ลิตร Save Mode 14.09 กม./ลิตร)
ในราคา 1,434,000 บาท กับขุมพลัง 1.9 ลิตร ความฉับไวยังมีความโดดเด่นในตัวมันเองถึงจะไมได้ดีเด่นเท่าเครื่อง 3.0 ลิตร แต่อย่างน้อยใช้งานเหมาะสมสำหรับคนที่ไม่คิดจะไปแข่งท้าความเร็วกับใคร ใช้ในเมืองคล่องนอกเมืองสบายและถ้าคิดว่าถ้าไม่ชอบความเดิมๆของกำลังเครื่อง 1.9 สามารถใส่อุปกรณ์เพิ่มความแรงได้
หน้าตาที่หรูสดใหม่ปรับดีไซน์เข้าหากลุ่มวัยรุ่นวัยกลางคนมากขึ้น ข้าวของจากโรงงานที่ติดรถมาเหมือนกับรุ่นท็อปสุดเครื่อง 3.0 ลิตร ทั้งเบาะหนังสีน้ำตาลปรับไฟฟ้าคู่หน้าที่ลดสะสมความร้อน เบาะนั่งตอน 3 นั่งสบายก็ทำให้คนใช้รถที่พบเห็นนั้นต้องชอบกันเลยทีเดียว ช่วงล่างคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ ให้ความนุ่มนวลเป็นทุนเดิมเพิ่มความหนึบมาด้วยถึงจะมีเด้งบ้างแต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ และระบบความปลอดภัยที่เทียบเท่าคู่แข่งร่วมชาติแต่เหนือกว่า Toyota Fortuner Legender นับว่ากล้าตีแสกหน้าคู่แข่งแบบจัดเต็มจัดหนัก สำหรับ All New ISUZU MU-X 1.9 Ultimate
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
สิ่งที่ชอบ >>> ดีไซน์สปอร์ตขึ้นหรูขึ้น ล้ออัลลอย 20 นิ้ว โดดเด่นกว่า ภายในหรูพรีเมี่ยมขึ้น เบาะนั่งยังสบายเช่นเดิม ออพชั่นมาตรฐานและระบบความปลอดภัยจัดเต็มจนเจ้าอื่นๆมีอาย ระบบช่วงล่างนุ่มหนึบตอบโจทย์คนใช้รถอย่างแท้จริง และค่าภาษีถูกกว่าเครื่อง 3.0 เพียง 2,492 บาท
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ถอดช่องใส่แผ่น DVD บังพื้นที่ในช่องเก็บของ อยากให้ระบบปลดล็อกประตูเพิ่มฟังก์ชั่นปลดล็อกด้วยการดึงก้านเปิดประตูเหมือน MU-X เจนที่แล้ว รวมถึงระบบ แตะเท้าเพื่อเปิดฝาท้าย แบบ Kick Activated ให้ด้วยก็จะยิ่งดี และกล้องรอบคันจำเป็นอย่างมากในการจอดรถหรือสัญจรในที่แคบๆ
คลิ๊กชม Gallery Test Drive All New ISUZU MU-X 1.9 Ulitmate ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com