Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2021 Ford Everest Titanium+ 4WD อเนกประสงค์หรูสง่า..ทิ้งทวนก่อนเจนใหม่จะมา
- โดย : Autodeft
- 31 ต.ค. 64 00:00
- 12,104 อ่าน
เกือบ 20 ปีแล้วที่ ฟอร์ด ได้แนะนำ Ford Everest พีพีวี สุดหรู ในชื่อ Ford Everest ออกจำหน่ายในไทยเป็นครั้งแรกของโลกโดยเป็นการนำพื้นฐานกระบะ Ford Ranger มาตัดครึ่งหลังต่อเติมกลายเป็นรถ 7 ที่นั่งที่กว้างขวางหลังคาโอ่โถง ความสะดวกสบายเต็มพิกัด และขุมพลังที่แรงไม่เหมือนใคร จนได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มครอบครัว กลุ่มคนรักการผจญภัยเป็นทุนเดิม โดยได้เดินทางมาถึง เจเนอเรชั่นที่ 2 แล้ว
สำหรับ Ford Everest เจเนอเรชั่นที่ 2 นี้ เปิดตัวเมื่อปี 2015 ด้วยการแนะนำตัวแบบไม่เหลือคราบความเป็นรถครอบครัวทรงเหลี่ยมเสา A ตั้งๆ กลายมาเป็นสปอร์ต ดุดัน คล่องตัว ด้วยช่วงแรกจำหน่ายทั้งรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล Duratroq 3.2 ลิตร 200 แรงม้า 5 สูบและ 2.2 ลิตร 160 แรงม้ากับล้อโต 20 นิ้ว และอัพออพชั่นมาเรื่อยๆจน 3 ปี ที่แล้วมีการปรับครั้งใหญ่ด้วยการปลด 2 ขุมพลังที่กล่าวไปข้างต้นลดขนาดลดความจุแถมอัพพลังให้เป็นเทอร์โบคู่ 2 ลิตร 213 แรงม้า และเทอร์โบเดี่ยว 2 ลิตร 180 แรงม้า ตามกระบะแกร่ง Ford Ranger นั่นเอง และหลังจากที่ทีมงาน Autodeft ได้เคยนำเสนอตัวรถคุณสมบัติของเจ้ารถพีพีวี 7 ที่นั่งคันนี้ผ่านทางคลิ๊ปวีดีโอไปแล้ว ครั้งนี้ผมเองขอรับหน้าที่ในการรีวิวทดลองขับในรูปแบบเนื้อหากับ Ford Everest Titanium+ 4WD ซึ่งมีการปรับเล็กน้อยในส่วนของหน้าตาเท่านั้นและอาจเป็นการปรับครั้งสุดท้ายก่อนที่เจเนอเรชั่นใหม่จะมาในช่วงปี 2022
ในร่างเจเนอเรขั่นที่ 2 ที่เข้าสู่ปลายอายุมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมแบบเดียวกับรุ่น Everest Sport แต่มีการปรับเป็นโครเมี่ยมไส้ในแบบตาข่ายสีเงิน ปะโลโก้ Ford วงรีสีน้ำเงิน บนขอบฝากระโปรงหน้าเป็นปักตัวอักษรนูน ‘Everest’ บนฝากระโปรงหน้า จากเดิมดีไซน์กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมไส้ในแนวนอน 3 ชั้น ส่วนออพชั่นอื่นๆเหมือนกับตอนเปิดตัวเมื่อ 3 ปีก่อนไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติและไฟ LED Daytime ในโคมเดียวกัน กันชนหน้าพร้อมการ์ดสีเงินเสริมติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า LED ติดตั้งสัญญาณกะระยะการจอดรถด้านหน้า 6 จุด
ด้านข้างมาพร้อมความสง่างามไม่ว่าจะเป็น Ford Everest ทุกรุ่นจะคุ้นเคยกับช่องลมข้างบังโคลนซ้าย-ขวาชุบโครเมี่ยมพร้อมคำว่า Bi-Turbo ซึ่งหมายถึงรุ่นนี้ติดตั้งขุมพลังขั้นเทพแต่ถ้าอยากเสริมลุยสามารถใส่สนอร์เกิ้ลสุดเท่ได้ ล้ออัลลอยปัดเงาสีเงินลวดลายงดงาม 6 ก้านคู่ ขนาดใหญ่ตั้ง 20 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/50 R20 จากค่าย Good Year Efficientgrip SUV H/T ให้ความโดดเด่นสมสง่า พร้อมกระจกมองข้างโครเมี่ยมทรงพิมพ์นิยมติดตั้งไฟเลี้ยวใต้กระจกมองข้างมีไฟ Welcome Light ไว้ส่องในยามกลางคืน และยังปรับพับด้วยไฟฟ้า ที่เปิดประตูโครเมี่ยมบันไดข้างทูโทนเงินดำทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งทนต่อการขึ้น-ลง ราวหลังคาดีไซน์เพรียวสีเงินสามารถใส่จักรยานบรรทุกของได้เต็มที่ เสาอากาศยังเป็นเสาสั้นเช่นเดิมไม่ใช่แบบครีบฉลามตามสมัยนิยม ส่วนด้านท้ายนั้นเหมือนเดิมทุกตั้งแต่สมัยเปิดตัวแรกๆเมื่อ 6 ปีก่อนกับไฟท้ายดีไซน์เด่นแบบ LED กลมกลืนกับคิ้วตกแต่งฝาครอบป้ายทะเบียนปักตัวอักษร Everest สีเงินโครเมี่ยม พร้อมชื่อรุ่น Titanium ฝั่งซ้ายและ 4WD ฝั่งขวา กันชนหลังสีเดียวกับตัวรถครอบด้วยการ์ดเสริมสีเงินประดับไว้ที่กันชนหลังพร้อมสัญญาณกะระยะการจอดรถด้านหลัง 6 จุด แถมยังให้ความสบายสำหรับสาวๆขาช็อปด้วยระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ มิติตัวรถมีขนาดตั้งแต่ความยาว 4,903 มม. ความกว้าง 1,869 มม. ความสูง 1,837 มม. ฐานล้อ 2,850 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 225 มม. น้ำหนักรถ 2,460 กก. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
ภายในไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเริ่มที่เบาะนั่งคู่หน้าทรงใหญ่โตออกแบบสบายโอบกระชับดีแม้ยามเดินทางไกลโดยตัวเบาะมีความหนาเป็นพิเศษรองรับด้านข้างหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้และหนังสังเคราะห์ทรงเดียวกับกระบะ Ranger โดยคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทางทั้งด้านคนขับและคนนั่งและมีดันหลังแบบก้านโยกหรือ Lumbar Support สองฝั่ง ส่วนเบาะนั่งด้านหลังตอน 2 นั่งได้ 3 คน สามารถเลื่อนไปเข้านั่งเบาะตอน 3 คล้ายกับเบาะแค๊ปรถกระบะพร้อมที่วางแก้วและที่วางแขนในตัวหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้และหนังสังเคราะห์แต่ไม่สามารถพับลงได้ ส่วนตอน 3 นั่งได้สบายพอสมควรพื้นที่วางขามีนิดเดียวและสามารถพับได้แบบ 50 : 50 ด้วยระบบไฟฟ้าถือว่าดีกว่าให้สบายกว่าเจ้าอื่นที่ต้องปรับแบบธรรมดาโดยมีสายยืดจับไว้เวลาที่เอาเบาะหลังตอน 3 ขึ้น แถมเอาใจคนทำงานด้วยช่องต่อไฟ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จสมารท์โฟนใช้งานโน๊ตบุ๊คได้สบายๆและมีสวิตช์ควบคุมการทำงานของเครื่องปรับอากาศตอนหลังให้ด้วย และเด็กคงชอบแน่นอนกับหลังคาพาโนรามิกซันรูฟสองบานใหญ่ที่ปรับเลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนวัสดุหุ้มเบาะนั่งทั้ง 3 แถวเลือกได้ทั้งสีดำและสีน้ำตาลคอนยัคให้เลือกแต่ต้องเป็นรุ่นท็อปสุดTitanium + 4WD สีขาวเท่านั้นและมีมือจับขึ้นลง 6 จุด ซึ่งขาด 2 จุดตรงผู้โดยสารตอน 2 และตอน 3 เพราะเป็นพื้นที่สำหรับหลังคาพาโนรามิกซันรูฟนั่นเอง
แผงคอนโซลหน้าดีไซน์หรูเล่นระดับมาพร้อมวัสดุผิวสัมผัสสีดำพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 4 ก้านหุ้มหนัง ปรับสูง-ต่ำได้ พร้อมสวิตช์การทำงานกระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้า ถัดลงมาคือสวิตช์เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟตัดหมอกปรับความสว่างมาตรวัด มาตรวัดเรืองแสงอ่านยากนิดหน่อยเพราะรุ่นนี้มาแบบ จอสี TFT ซ้าย-ขวาที่คั่นกลางด้วยมาตรวัดความเร็วบอกถึง 200 กม./ชม. ใต้มาตรวัดความเร็วบอกตำแหน่งเกียร์ โดยจอด้านขวาบอกทั้ง รอบเครื่องยนต์ วัดอุณหภูมิ และ วัดน้ำมัน ส่วนจอสีด้านซ้ายบอกการทำงานของตัวรถ ระบบนำทาง เปิดคลื่นวิทยุ เปิดเพลง และนำทางแบบภาษาไทย ฯลฯ
คอนโซลกลางมาพร้อมระบบความบันเทิง SYNC 3 ด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่แบบสี Multi-Touch 8 นิ้ว เมนูภาษาไทยอ่านง่ายเข้าใจง่ายรองรับ Apple CarPlay, Android Auto ระบบนำทาง แสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศฯลฯ พร้อมลำโพงคุณภาพ 10 จุด รวมซับวูฟเฟอร์และแอมพลิฟลายเออร์ ที่ให้เสียงดี มีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธและต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน รองลงมาใต้แผงเป็นสวิตช์ควบคุมการทำงานของจอสัมผัส ช่องใส่ CD ซึ่งมีไม่กีค่ายที่ยังเอาใจคนชอบใส่แผ่นหรือคนยุคเก่า เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา และช่องต่อ USB ถัดลงมาอีกคือ คอนโซลเกียร์ทรงใหญ่จับกระชับด้วยวัสดุหุ้มหนังทรงเหลี่ยม มีปุ่มบวก-ลบ อยู่ด้านข้าง พร้อมปุ่มควบคุมการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ไม่ใช่แบบ Part-Time แบบ Ford Ranger แต่เป็นทรงกลมใหญ่ที่เรียกว่าระบบ 4WD Terrain Management System ปุ่มล็อกเฟืองท้าย ปิดระบบ TCS และควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน กล่องคอนโซลกลางใส่ของจุกจิก ที่วางแก้วน้ำ กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเอาใจคนชอบบันทึกด้วยช่องชาร์จไฟ USB บริเวณกระจกมองหลังอัตโนมัติสามารถติดตั้งกล้องบันทึกหน้ารถได้สบายๆ
มาพร้อมระบบเพื่อความบันเทิง Infotainment SYNC 3 พัฒนาใหม่มีเมนูภาษไทย หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว พร้อม Bluetooth และ Wi-Fi กระหึ่มลำโพง 9 ตัว รวมซับวูฟเฟอร์และแอมพลิฟลายเออร์ รองรับ Apple CarPlay, Android Auto ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถ เมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วยพิเศษ ยังมีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ขุมพลังในเรืองร่างรถหรู 7 ที่นั่งนี้ มีขนาดเดียวคือ 2.0 ลิตรแต่เลือกได้ถึง 2 ความแรงกับแบบเทอร์โบเดี่ยว รหัส YMWQ 180 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที แต่สำหรับคันที่รีวิวทดลองขับครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปสุดขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็น เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร รหัส YN2Q ความจุกระบอกสูบ 1,996 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์เป็น 16 :1 ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ 84/90 มม. มอบพละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ปล่อย CO2 ที่ 200 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองโดยรวม 13.2 กม./ลิตร ในเมืองได้ 10.30 กม./ชม. นอกเมืองได้ 15.88 กม./ลิตร เติมน้ำมันดีเซลสูงสุด B20 ตอบสนองยอดเยี่ยมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา ลุยได้ทุกเส้นทางกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time พร้อม 4WD Terrain Management System ที่สามารถปรับรูปแบบการขับขี่ได้ตามสภาพถนนพ่วงด้วย ระบบเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential
ด้วยความโชคดีของผมที่ได้ขับขุมพลังเทอร์โบคู่ทั้ง 2 รุ่นมาก่อนตั้งแต่ Ford Ranger Raptor และ Ford Ranger Wildtrak จนมาถึง Ford Everest ก็ต้องบอกว่ายังให้ความแรงความเร้าใจการเร่งแซงที่ยังทันใจเช่นเดิมถึงร่างจะหนัก 2 ตันครึ่งก็ตาม แต่สำหรับความนิ่งความเงียบของเครื่องยนต์กลับทำผลงานได้ดีระดับหนึ่งถึงจะไม่เด่นเท่าเครื่องเดิม 3.2 5 สูบ ที่สมูทกว่านิ่งกว่าและเงียบกว่า การเร่งแซงอาจมีเสียงคำรามบ้างแต่ก็ไม่น่าเกลียด โดยการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบคู่บล็อกนี้ที่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น
ส่วนรอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม.ทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ใกล้เคียงกับรุ่น Raptor และ Wildtrak 4WD และแต่ละช่วงของความเร็วมาแบบรวดเร็วติดปีก ด้วยรอบตั้งแต่ 1,450, 1,550, 1,700 และ 1,900 รอบ/นาที ตามลำดับ และเมื่อกดปุ่ม สตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์เงียบแต่น้อยกว่าเครื่องเดิม 3.2 5 สูบในช่วงรอบต่ำจนถึงขับปกติ 60-110 กม./ชม.เพราะการออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้นลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้อย่างดี ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ดังนี้ ครั้งที่ 1 – 11.30 วินาที ครั้งที่ 2 – 10.79 วินาที ครั้งที่ 3 – 10.70 วินาที เฉลี่ย – 10.93 วินาที และอัตราเร่งเซง 80-120 กม./ชม. จับได้ 3 ครั้งแช่นกันทำได้ดังนี้ ครั้งที่ 1 – 9.01 วินาที ครั้งที่ 2 – 9.52 วินาที ครั้งที่ 3 – 9.65 วินาที เฉลี่ย – 9.39 วินาที (รุ่น 3.2 0-100 กม./ชม. ทำได้เฉลี่ย 13.00 วินาที 80-120 กม./ชม. ทำได้เฉลี่ย 10.00 วินาที)
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดทีมีอัตราทดดังนี้ เกียร์ 1 = 4.696 เกียร์ 2 = 2.985 เกียร์ 3 = 2.146 เกียร์ 4 = 1.769 เกียร์ 5 = 1.520 เกียร์ 6 = 1.275 เกียร์ 7 = 1.000 เกียร์ 8 = 0.854 เกียร์ 9 = 0.689 เกียร์ 10 = 0.636 เกียร์ถอยหลัง = 4.866 อัตราทดเฟืองท้าย = 3.73 ถึงเกียร์ 10 สปีดรุนนี้ จะใช้มาหลายรุ่นทั้งใน Muscle Car อย่าง Ford Mustang กับ เพื่อนร่วมค่ายอย่าง Ranger Raptor และ Ranger Wildtrak 4WD บุคลิกของมันก็คล้ายๆกันตรงที่การส่งกำลังที่ต่อเนื่องราบเรียบบ้างในบางจังหวะเช่นในเมืองหรือนอกเมือง เกียร์ ไม่ได้ไล่ 1-2-3-4-5 ไปจนจบที่ 10 บางทีก็กระโดดข้ามไปมา 1 ไป 3, 2 ไป 4, 3 ไป 5 หรือ 4 ไป 6 เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของความเร็ว การทำงานของเกียร์ชุดนี้ฉลาดด้วยโครงสร้างเกียร์ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Ford Everest คันนี้ต่างจากรุ่น Ranger Raptor และ Ranger Wildtrak 4WD ตรงที่เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All Wheel Drive – Full Time 4WD แบบ Automatic 4WD มาให้ พร้อมฟังก์ชันครบเครื่องเรื่องลุย Ford Terrain management system โดยการทำงานของระบบนี้ยกชุดมาจากรุ่นเครื่อง 3.2 ลิตร โดย เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD ซึ่งทำงานอัตโนมัติทันที่ที่รถขับเคลื่อนโดยระบบจะมีการปรับการกระจายแรงขับตามสภาพการขับขี่ ผ่านชุดเกียร์ Active transfer case ซึ่งตามกติจะผกผันในอัตรา 40/60 ระหว่างทางด้านหน้าและด้านหลัง และในช่วงความเร็วสูงนั้นอัตราส่วนการส่งกำลังดังกล่าวจะมีการปรับให้มีความเหมาะสมมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่มีทางที่ระบบจะขับเคลื่อนสองล้อได้เลย ข้อดีคือมั่นใจในการขับขี่ ตลอดเส้นทางเป็นสภาพพื้นผิวเรียบทั้งสิ้นก็ออกแววดีในการขับขี่ ยิ่งระหว่างทางแอบมีเจอฝนบ้างเล็กน้อยมันก็โชว์ศักยภาพในการเกาะถนนหนึบแน่น ให้ความมั่นใจได้ตลอดเส้นทาง นอกจากจะมีประโยชน์ในเรื่องการให้ความมั่นใจปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ระบบขับเคลือนสี่ล้อนี้ยังเป็นผู้ช่วยสำคัญในการฝ่าฟันอุปสรรคบนเส้นทางออฟโรด ด้วยการแยกการใช้งานออกเป็นโหมดต่างๆ ตาม สภาพเส้นทางที่สำคัญๆ ที่พวกเขาได้ไปทดลองมาแล้วทั่วโลก เริ่มจาก
- Normal Mode หรือโหมดพื้นผิวทั่วไป ซึ่งโหมดดังกล่าว จะเน้นการให้ระบบส่งกำลังแปรผันตามความเหมาะสมระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง เพื่อประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด และลดการลื่นไถล โดยแรงบิดจะถูกส่งมายังล้อหน้า เมื่อยามจำเป็น โดยพิจารณาจากการเร่งความเร็วและการหักเลี้ยว
- Snow / Gravel /Grass โหมดการขับขี่เดียวที่ครอบคลุมแบบ 3 in1 เป็นโหมดสำคัญในการขับขี่เส้นทางลุยทั่วที่มีสภาพทางที่ค่อนข้างลื่น โดยจะทำงานร่วมกับ ระบบ Traction Control และยังมีการเปลี่ยนการตอบสนองระหว่างชุดเซ็นเซอร์คันเร่งไฟฟ้า หรือ Paddle map ตลอดจน การทำงานของชุดเกียร์
- Sand โหมดการขับขี่เพื่อสำหรับการตะลุยพื้นที่ที่เป็นทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรายนิ่มตามชายหาด งานนี้ลงไปได้สบายมากขึ้น ด้วยการพยายามใช้กำลังเครื่องสูงสุด และลดการทำงานของ traction control รวมถึงยังพยายามทำให้เกิดการลากรอบเครื่องยนต์มากขึ้น และชุดเกียร์เปลี่ยนช้าลง
-Rock โหมดทางหินเพื่อการไต่ โดยเฉพาะ เผื่อใครอยากทำอะไรห่ามๆ ต้องการตะกายเส้นทางสุดโหด โหมดทางหินนี้เป็นโหมดที่เหมาะสำหรับขาโหดตัวจริง ซึ่งทางทีมวิศวกรไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับมันมากมาย แต่กล่าวว่าโหมดนอกจากทางหินแล้ว ยังเหมาะแก่การขับในกรณีที่คุณอาจจะต้องลุยน้ำลำธารที่มีหินมากมาย (ใช้คู่กับ 4X4 Low)
แถมใช้งานเข้าใจค่อนข้างง่าย การจำแนกโหมดต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเรียนรู้เทคนิคการขับเคลื่อนสี่ล้อ มากนัก แต่เพียงแค่บิดตำแหน่งการทำงานของระบบไปยังตามสภาพเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ระบบก็จะมีการปรับเรื่องการตอบสนองของเครื่องยนต์และชุดเกียร์อย่างเหมาะสม จนใครก็สามารถเอารถคันนี้เข้าป่าลุยหาประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ได้สบายๆ และเมื่อต้องการตำแหน่ง4 Lowเพื่อการลุยอย่างสมบุกสมบัน ก็เพียงแค่กดปุ่มใช้งานมันเท่านั้น หรือถ้า คุณต้องลุยโหดจริงๆ ระบบ Diff-lock Locking Rear Differential (Locking Rear Differential) ควบคุมตอบสนองการขับขี่ จนกล้าพูดว่า ทางไหนโหดก็ไปได้ทุกเส้นทาง ถึงแม้ยาง 20 นิ้วจะแก้มเตี้ย แต่ก็ลุยได้ระดับนึง
ระบบช่วงล่างแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงสำหรับด้านหน้าและแบบวัตต์ลิงค์คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงสำหรับด้านหลัง ยังคงให้ความนุ่มนวลเแถมมีความหนึบผสมการดีดเข้ามาด้วยแต่ไม่หนักมากเกินไปยังให้ความสบายทุกเส้นทางทั้งทางเรียบทางรุขระ ไม่โคลงเพราะมีระบบควบคุมการทรงตัว ESP ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เข้ามาช่วย แต่ถ้าใข้งานออฟโรด ยังให้การยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมไม่ไถลไปในทางใดทางหนึ่ง ด้านระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program) ให้น้ำหนักกลางๆไม่หนักไม่เบาจนเกินไปทั้งในความเร็วสูงต่ำบนถนนทางเรียบแม้กระทั่งทางออฟโรดให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อยแต่ไม่หนักมากเพื่อการหมุนไปในทางโหดที่มีประสิทธิภาพ และการห้ามล้อของรุ่นนี้เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมพร้อมระบบเบรก ABS EBD ที่การห้ามล้อเหยียบแป้นเบรกฉับไวดีไม่ลึกมากเกินไป
ด้านความปลอดภัยมีครบทั้งระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) และ ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / หัวเข่าฝั่งคนขับ / และม่านถุงลมนิรภัย ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) และ กล้องมองหลัง ทำงานคู่กับ สัญญาณกะระยะการจอดหน้า-หลังรอบคัน
ปิดท้ายด้วยโปรแกรม Save Mode ทำผลงานได้ไม่เลวไม่แพ้เจ้าอื่นๆทำได้ 13.43 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 60.8 กม.จัดน้ำมันดีเซล B7 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันแถวเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 4.46 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง การใข้งานนอกเมืองจากกรุงเทพฯ-ราชบุรี ได้ 11.44 กม./ลิตร กับระยะทางไป-กลับ 370.4 กม. เติมเต็มถังไป 32.37 ลิตร และส่วนการใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 9.04 กม./ลิตร (รุ่น 3.2 เดิม ในเมืองทำได้ 8.9 กม./ลิตร Save mode ทำได้ 10.91 กม./ลิตร)
การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่สำหรับ Ford Everest Titanuium + 4WD ด้านขุมพลังที่แรงกว่า เร้าใจกว่า คล่องตัวกว่า แถมประหยัดน้ำมันดีกว่ารุ่นเดิม 3.2 ลิตร ถึงแม้จะมีจุดเสียตรงที่เครื่องสมูทน้อยกว่าความนิ่งการสะเทือนการเก็บเสียงอาจด้อยกว่าเครื่องเดิม ช่วงล่างคม เกียร์ 10 สปีดที่ตอบสนองฉับไว ข้าวของที่ให้มาก็ถือว่าครบครันทันสมัยอยู่และหลังคาพาโนรามิกหนึ่งเดียวในรถ PPV ที่ลูกหลานชอบมากเพื่อจะได้เปิดโลกกว้างสร้างทักษะให้เติบโตขึ้นและค่าตัวล้านแปดทอนพันนึง 1,799,000 บาท ถึงตัวรถใกล้เวลาที่จะอำลาเพื่อต้อนรับการมาของเจเนอเรชั่นที่ 3 แต่ถ้าไม่คิดมากก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณและครอบครัว
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถกระบะ Ford Everest Titanium+ 2.0 Bi-Turbo 4WD มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>>ถึงราคาจะเกือบแพงสุดแต่ข้าวของออพชั่นให้มามากรูปลักษณ์เปลี่ยนไปตรามยุคสมัย ขุมพลังจัดจ้านให้ความแรงและประหยัดกว่าเครื่องเก่า 3.2 ลิตร ช่วงล่างหนึบนำนุ่มตามพวงมาลัยไฟฟ้าทำงานดีไม่แพ้พวงมาลัยแบบน้ำมัน และแผงบังแดดสามารถปรับโยกแผงไปไว้ที่ด้านคนขับและคนนั่งและยังยื่นออกมาเพื่อบังแดดได้นับว่าใส่ใจรายละเอียดอย่างดียิ่ง
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ความนิ่งของเครื่องยนต์ไม่นิ่งเท่าเครื่องเก่า 3.2 เบรกมือแบบคันโยก ไม่มีกล้องรอบคัน
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com