Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2020 Ford Ranger Wildtrak 2.0 Bi-Turbo 4WD กระบะแต่งพันธุ์แกร่ง….เกิดมาแรง
- โดย : Autodeft
- 4 พ.ย. 63 00:00
- 14,557 อ่าน
ตลอด 9 ปี ที่ Ford Ranger ในรหัส T6 เปิดตัวให้สิงห์รถกระบะได้สัมผัสและเจ้าของกระบะนิรภัยมอบทั้งความดุดันโหดดิบ รวมถึงการใช้งานที่หลากหลายและยกระดับรถกระบะเข้าสู่ความพรีเมี่ยมแต่ยังสืบสานตำนาน เกิดมาแกร่ง มากว่า 100 ปี สร้างยอดขายติดท็อปทรีตลาดรถกระบะในเมืองไทยมายาวนาน ล่าสุดยอดขายช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาของปี 2563 อยู่ที่ 17,870 คัน ตอกย้ำความเป็นกระบะอเมริกันให้สมกับคำว่า เกิดมาแกร่ง อย่างแท้จริง
เมืองไทยเป็นตลาดสำคัญของ ฟอร์ด จึงตั้งโรงงานประกอบที่ระยอง ถึง 2 ที่ด้วยกัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปในตลาดต่างประเทศ โดย Ford Ranger ที่จำหน่ายในไทยมีมากมายหลายตั้งแต่ตอนเดียว แค๊ปเปิดได้ สี่ประตู ขับเคลื่อน 2 ล้อ ขับเคลื่อน 4 ล้อจนถึงรุ่นโหดอย่าง Ford Ranger Raptor และครั้งนี้ผมได้นำกระบะพันธุ์แกร่งมารีวิว ทดลองขับ อีกครั้งแต่เป็นรุ่นท็อปของเวอร์ชั่นปกตินั่นคือ Ford Ranger Double Cab Wildtrak 2.0 Bi-Turbo 4WD MY2020 ที่ปรับปรุงหล่อเหลาในร่างเดิม
ความหล่อของรุ่นปรับปรุง MY2020 มีการเปลี่ยนความสว่างของไฟหน้าจากเดิม Projector แบบ HID พร้อมไฟ LED daytime ในโคมเดียวกัน มาเป็น ไฟหน้า Bi-LED พร้อมไฟ LED daytime ในโคมเดียวกัน เปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ประกบกับกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูทรงเดิมที่เปลี่ยนเส้นแนวนนอนให้เป็นสองเส้นโดยที่ขอบกระจังหน้าปั้มชื่อ Ranger สีดำลากยาวจนถึงที่ติดป้ายทะเบียนหน้ารถเสริมการ์ดสีเงินรับความหล่อขึ้นอีกกระดับโดยกันชนหน้าเป็นทูโทน ใส่ไฟตัดหมอกหน้า LED ในกรอบสีดำ ครบทุกองค์ประกอบในความเข้ม ติดตั้งสัญญาณกะระยะการจอดรถด้านหน้า 6 จุด
ด้านข้างคงเดิมเสริมด้วยสัญลักษณ์สีดำรังผึ้งพร้อมคำว่า Bi-Turbo ซึ่งหมายถึงรุ่นติดตั้งขุมพลังขั้นเทพแต่ถ้าอยากเสริมลุยสามารถใส่สนอร์เกิลสุดเท่ได้ ล้ออัลลอยงานนี้เปลี่ยนลายใหม่เป็น 6 ก้านคู่สีทูโทนเงินเทาเข้มขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาดเดิม265/60 R18 เป็นยาง H/T Bridgestone Dueler เข้มด้วยกระจกมองข้างสีดำพร้อมไฟเลี้ยวใต้กระจกมองข้างมีไฟ Welcome Light ไว้ส่องในยามกลางคืน และยังปรับพับด้วยไฟฟ้า ที่เปิดประตูสีดำ บันไดข้างทูโทนเงินดำทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งทนต่อการขึ้น-ลงอย่างแข็งแกร่ง ราวหลังคาสามารถใส่จักรยานบรรทุกของได้เต็มที่ เสาอากาศเป็นเส้นติดหลังคารถด้านหลังและยังมีกันสาดสีดำ 4 อัน ติดตรงกระจกรถทั้ง 4 บาน อันนี้ทาง Ford ใจดีติตจากโรงงานไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม และสติกเกอร์ Wildtrak ใต้ประตูคู่หน้าสัญลักษณ์แห่งความพรีเมี่ยม
ด้านท้ายคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงด้วยไฟท้ายสีขาว-แดงใช้หลอดไฟธรรมดาไม่มี LED ตามคู่แข่งจากญี่ปุ่นถึงจะเชยแต่ซ่อมบำรุงง่ายๆกระบะท้ายมีโลโก้ Ford วงรีสีน้ำเงินขนาดใหญ่ใส่กล้องมองหลังสติ๊กเกอร์ Wildtrak กับสติ๊กเกอร์ Ranger ขนาดใหญ่ใต้โลโก้ มือจับประตูสีดำพร้อมกุญแจล็อก เบาแรงขึ้นด้วยฝากระบะท้ายระบบผ่อนแรง (Easy Lift) ช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 % ผสมระหว่างฝาท้ายกับทอรชั่นบาร์ติดตั้งใต้กระบะท้าย ถัดลงมาเป็นกันชนหลังสีดำฝังสัญญาณกะระยะการจอดรถด้านหลัง 4 จุดเช่นเดียวกับกันชนหน้า มีไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมไฟส่องในกระบะท้ายในกระบะท้ายยังมีไลเนอร์สีดำติดจากโรงงานรวมถึงช่องต่อไฟ 12 V แถมมียังสปอรต์บาร์สีดำโค้งยาวตั้งแต่หลังกระจกไปจนถึงกระบะท้าย และสัญลักษณ์ 4x4 ข้างกระบะท้ายบ่งบอกตัวตนแห่งความลุยเต็มพิกัด
มิติตัวรถยังคงเดิมมาตลอด 9 ปีในร่างกระบะ 4 ประตู Double Cab ขับสี่ ตั้งแต่ความยาว ความยาว 5,434 มม. ความกว้าง 2,163 มม. ความสูง 1,848 มม. ฐานล้อ 3,220 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 230 มม. น้ำหนักรถ 2,156 กก. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร ส่วนท้ายกระบะมอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาด (กว้างxยาวxสูง) 1,560 x 1,549x 511 มม. ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย
ภายในกลายเป็นธรรมเนียมของ Ranger ทุกรุ่นที่ต้องใช้ดีไซน์เหมือนกันแต่ฟังก์ชั่นจะแตกต่างในแต่ละรุ่นย่อย สำหรับรุ่น Wildtrak มีความดิบเป็นรอง Raptor บ้าง ตั้งแต่เบาะนั่งคู่หน้าทรงใหญ่โตออกแบบสบายโอบกระชับดีแม้ยามเดินทางไกลโดยตัวเบาะมีความหนาเป็นพิเศษรองรับด้านข้างแบบกระชับ หุ้มด้วยวัสดุหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำล้วน ปักโลโก้ Wildtak สีส้ม โดยคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางและดันหลังหรือ Lumbar Support ส่วนคนนั่งปรับด้วยคันโยกธรรมดา 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังกว้างสบายพร้อมหมอนศรีษะ 3 ตำแหน่งหุ้มวัสดุหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำล้วน เอาใจคนทำงานด้วย ช่องต่อไฟ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จสมารท์โฟนใช้งานโน๊ตบุ๊คได้สบายๆ
แผงคอนโซลหน้าดีไซน์หรูเล่นระดับมาพร้อมวัสดุผิวสัมผัสสีดำเดินด้ายส้มพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังกืชั่น 4 ก้านหุ้มหนังเดินด้ายส้ม ปรับสูง-ต่ำได้ พร้อมสวิตช์การทำงานกระจกมองข้าง ถัดลงมาคือสวิตช์เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟตัดหมอกปรับความสว่างมาตรวัดและสวิตช์เปิด-ปิดการทำงานไฟส่องสว่างใต้ชุดไฟเบรกดวงที่ 3 มาตรวัดเรืองแสงอ่านยากนิดหน่อย เพราะรุ่นนี้มาแบบ จอสี TFT ซ้าย-ขวาที่คั่นกลางด้วยมาตรวัดความเร็วบอกถึง 200 กม./ชม. ใต้มาตรวัดความเร็วบอกตำแหน่งเกียร์ โดยจอด้านขวาบอกทั้ง รอบเครื่องยนต์ วัดอุณหภูมิ และ วัดน้ำมัน ส่วนจอสีด้านซ้ายบอกการทำงานของตัวรถ ระบบนำทาง เปิดคลื่นวิทยุ เปิดเพลง และนำทางแบบภาษาไทย ฯลฯ
คอนโซลกลางมาพร้อมระบบความบันเทิง SYNC 3 ด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่แบบสี Multi-Touch 8 นิ้ว เมนูภาษาไทยอ่านง่ายเข้าใจง่ายรองรับ Apple CarPlay, Android Auto ระบบนำทาง แสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศฯลฯ พร้อมลำโพงคุณภาพ 6 จุดที่ให้เสียงดี มีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน รองลงมาใต้แผงเป็นสวิตช์ควบคุมการทำงานของจอสัมผัส ช่องใส่ CD ซึ่งมีไม่กีค่ายที่ยังเอาใจคนชอบใส่แผ่น เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา และช่องต่อ USB ถัดลงมาอีกคือ คอนโซลเกียร์ทรงใหญ่จับกระชับด้วยวัสดุหุ้มหนังทรงเหลี่ยม มีปุ่มบวก-ลบ อยู่ด้านข้าง พร้อมปุ่มควบคุมการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบหมุนและปุ่มล็อกเฟืองท้าย ปิดระบบ TCS และควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน กล่องคอนโซลกลางใส่ของจุกจิก ที่วางแก้วน้ำ กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเอาใจคนชอบบันทึกด้วยช่องชาร์จไฟ USB บริเวณกระจกมองหลังอัตโนมัติซึ่งสงวนในรุ่นนี้เท่านั้น
ขุมพลังแรงแบบเดียวกับกระบะสายฮาร์ทคอ Ford Ranger Raptor แรงสุดสูงสุดในกลุ่มด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร รหัส YN2Q ความจุกระบอกสูบ 1,996 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์เป็น 16 :1 ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ 84/90 มม. มอบพละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ปล่อย CO2 ที่ 200 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองโดยรวม 13.2 กม./ลิตร ในเมืองได้ 11 กม./ชม. นอกเมืองได้ 15 กม./ลิตร เติมน้ำมันดีเซลสูงสุด B20 ตอบสนองยอดเยี่ยมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
ถึงแม้เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2 ลิตรจะวางในรุ่นไหนของค่ายไม่ว่าจะเป็นเจ้าไดโนเสาร์ตัวหล่ออย่าง Raptor ที่เน้นการลุยแบบโหดลุยสะใจ กับ พ่อบ้านสายสุขุมอย่าง Everest เน้นความแรงบนทางเรียบ แต่เมื่อมาอยู่ในร่างกระบะพรีเมี่ยมแต่งอย่าง Wildtrak บุคลิกทั้ง 2 อย่างมารวมอยู่ในคันเดียว ทันทีถ้าต้องการจะเน้นใช้งานบนถนนทางเรียบคันนี้สร้างประทับใจในการเร่งแซงเป็นอย่างมากโลดแล่นอย่าง ฉกาจฉกรรจ์ กดเป็นมาๆ ความดีครั้งนี้ต้องยกให้กับระบบเทอร์โบคู่ที่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น ส่วนรอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม.ทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที เหมือนรุ่น Raptor และแต่ละช่วงของความเร็วมาแบบรวดเร็วติดปีก ด้วยรอบตั้งแต่ 1,400, 1,600, 1,800 และ 1,950 รอบ/นาที ตามลำดับ และเมื่อกดปุ่ม สตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์เงียบกว่าเดิมในช่วงรอบต่ำจนถึงขับปกติ 60-110 กม./ชม.เพราะการออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้นลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้อย่างดี ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ดังนี้ ครั้งที่ 1 – 10.61 วินาที ครั้งที่ 2 – 10.43 วินาที ครั้งที่ 3 – 10.38 วินาที เฉลี่ย – 10.47 วินาที และอัตราเร่งเซง 80-120 กม./ชม. จับได้ 3 ครั้งแช่นกันทำได้ดังนี้ ครั้งที่ 1 – 7.94 วินาที ครั้งที่ 2 – 7.26 วินาที ครั้งที่ 3 – 6.99 วินาที เฉลี่ย – 7.40 วินาที
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดทีมีอัตราทดดังนี้ เกียร์ 1 = 4.696 เกียร์ 2 = 2.985 เกียร์ 3 = 2.146 เกียร์ 4 = 1.769 เกียร์ 5 = 1.520 เกียร์ 6 = 1.275 เกียร์ 7 = 1.000 เกียร์ 8 = 0.854 เกียร์ 9 = 0.689 เกียร์ 10 = 0.636 เกียร์ถอยหลัง = 4.866 อัตราทดเฟืองท้าย = 3.73 ถึงเกียร์ 10 สปีดรุนนี้ จะใช้มาหลายรุ่นทั้งใน Muscle Car อย่าง Ford Mustang กับ เพื่อนร่วมค่ายอย่าง Ranger Raptor และ Everest การใช้งานที่ต่อเนื่องราบเรียบบ้างในบางจังหวะเช่นในเมืองหรือนอกเมือง เกียร์ ไม่ได้ไล่ 1-2-3-4-5 ไปจนจบที่ 10 บางทีก็กระโดดข้ามไปมา 1 ไป 3, 2 ไป 4, 3 ไป 5 หรือ 4 ไป 6 เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของความเร็ว การทำงานของเกียร์ชุดนี้ฉลาดเหมือนตอนที่ P’Earthpark ได้เคยขับรุ่น Limited เทอร์โบเดียว 180 แรงม้าไว้ สำหรับโครงสร้างเกียร์ชุดนี้ โครงสร้างเกียร์ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นแบบ Part-Time Shift-On-The-Fly มีทั้ง 2H, 4H และ 4L (ปรับจาก 2H เป็น 4H ไม่ต้องหยุดรถในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.) พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential (Locking Rear Differential) ซึ่งครั้งนี้ได้มีโอกาสจับเจ้า Wildtrak ขึ้นเขากระโจม โดยตัวผมแองไม่ได้ไปที่นี่มา 4 ปี ครั้งนี้ถือเป็นการเคาะสนิมวิชาออฟโรดนำมาใช้อีกครั้งไม่ว่าจะเป็นทางหินขุรขระทางเนินสูงชัน แม้กระทั่งเนิน 800 ที่ขึ้นชื่อว่าโหดสุด ใครมือไม่ถึงก็พ่ายแพ้ แต่ด้วยกำลัง 213 แรงม้าขับฝ่าอุปสรรคได้อย่างสบายๆ ถึงยางที่ติดรถมาเป็น H/T หรือ High Terrain ขับทางเรียบทางไฮเวย์ ก็อาจมีอาการลื่นบ้างในบางจังหวะที่ผ่านร่องเนินเอียง หรือ ร่องตัววี แม้กระทั่งการลุยน้ำเจ้ารถคันนี้ สามารถลุยได้ราวๆ 600-700 มม. ทั้งๆที่ตามสเปกสามารถลุยน้ำลึกสุด 800 มม. ได้แบบชิวๆ โดยไม่มีอาการเครื่องยนต์ดับแม้แต่อย่างใด ด้านการขึ้นเขาลงเขา ยังมีตัวช่วยต่างๆเพื่อเพิ่มการปีนป่ายได้อย่างดีทั้งระบบควบคุมการทรงตัว ESP ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control) เมื่อเข้า 4L ก็ใช้ระบบตัวช่วยที่กล่าวมานั้นมายอมรับว่าสามารถช่วยเปลี่ยนเรื่องยากๆในการลุยให้เป็นเรื่องง่ายๆในพริบตา ทั้งนี้ถึงตัวรถจะมีเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกในการขับทางวิบากอย่างไร ทักษะการขับขี่ออฟโรดก็สำคัญเช่นกันถ้าไม่มีทักษะแล้วฝืนขับอันตรายอาจเกิดขึ้นได้แน่นอน
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กันโคลง ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อนเมื่อขับในทางเรียบให้ความหนึบอย่างมากแต่ยังมีนุ่มอยู่บ้าง ทุกโค้งมันมีความนิ่ง ไม่โคลงเพราะมีระบบควบคุมการทรงตัว ESP ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เข้ามาช่วย แต่ถ้าใข้งานออฟฟโรด ยังให้การยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมไม่ไถลไปในทางใดทางหนึ่ง ด้านระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program) ให้น้ำหนักกลางๆไม่หนักไม่เบาจนเกินไปทั้งในความเร็วสูงต่ำบนถนนทางเรียบแม้กระทั่งทางออฟโรดที่เขากระโจมให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อยแต่ไม่หนักมากเพื่อการหมุนไปในทางโหดที่มีประสิทธิภาพ และการห้ามล้อของรุ่นนี้ถึงไม่ดีเด่นเท่า Raptor ที่เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ แต่เป็นหน้าดิสก์เบรกหลังดรัมเบรกพร้อมพร้อมระบบเบรก ABS EBD ที่การห้ามล้อเหยียบแป้นเบรกฉับไวดีไม่ลึกมากเกินไป
ส่วนระบบความปลอดภัยเฉพาะรุ่นทั้งระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป รวมถึงระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ถุงลมนิรภัย 6 จุดรอบคัน พร้อมระบบเบรก ABS EBD ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อต้องลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบควบคุมการบรรทุก (Adaptive Load Control) ระบบเบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Assistance) ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Mitigation Function) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) และ กล้องมองหลัง
ปิดท้ายกับโปรแกรม Save Mode ทำผลงานได้ไม่เลวไม่แพ้เจ้าอื่นๆทำได้ 13.11 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 62.7 กม.จัดน้ำมันดีเซล B7 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันแถวเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 4.78 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง การใข้งานนอกเมืองจากกรุงเทพฯ-ราชบุรี ได้ 10.55 กม./ลิตร กับระยะทางไป-กลับ 574 กม. เติมเต็มถังไป 54.43 ลิตร และส่วนการใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 9.58 กม./ลิตร
ทั้งหมดนี้คือรถกระบะแต่งพรีเมี่ยมที่มีค่าตัวแพงที่สุด(ไม่นับ Ford Ranger Raptor) ด้วยราคา 1,265,000 บาท กับพลัง 2 ลิตร 213 แรงม้า ที่แรงจัดทั้งตีนต้นตีนปลายมาไหลๆลื่นๆเร็วกว่า รุ่นเครื่องเก่า 3.2 ลิตร 200 ม้า ถึงความนิ่งของเครื่องยนต์จะไม่ดีเท่าเครื่องเก่าแต่ความประหยัดที่ถือว่าทำผลงานได้ดีกว่ารุ่นเครื่องเก่าอย่างเห็นได้ชัด พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าน้ำหนักดี เหมาะกับการขับทุกช่วงความเร็ว เบาะนั่งสบายไม่เมื่อยล้าในการขับขี่ และด้วยการรับประกัน 10 ปี ในส่วนเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของรุ่น 2 ลิตรทั้งเทอร์โบเดี่ยวและคู่แถมการบริการที่เข้าถึงและรับฟังปัญหาจากผู้ใช้มากขึ้น เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสำหรับ Ford Ranger Wildtrak 2.0 Bi-Turbo 4WD MY2020 กระบะพรีเมี่ยมคันเก่งสายพันธุ์อเมริกัน
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถกระบะ Ford Ranger Wildtrak 2.0 Bi-Turbo 4WD MY2020 มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>>ถึงราคาจะแพงสุดแต่ข้าวของออพชั่นให้มามากสุด รูปลักษณ์เปลี่ยนไปตรามยุคสมัย ขุมพลังจัดจ้านให้ความแรงและประหยัดกว่าเครื่องเก่า 3.2 ลิตร ช่วงล่างหนึบนำนุ่มตามพวงมาลัยไฟฟ้าทำงานดีไม่แพ้พวงมาลัยแบบน้ำมัน และแผงบังแดดสามารถปรับโยกแผงไปไว้ที่ด้านคนขับและคนนั่งและยังยื่นออกมาเพื่อบังแดดได้นับว่าใส่ใจรายละเอียดอย่างดียิ่ง
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> บันไดข้างก้าวเข้าไปไม่กันลื่น กับ ความนิ่งของเครื่องยนต์ไม่นิ่งเท่าเครื่องเก่า 3.2
ชม Gallery Test Drive Ford Ranger Wildtrak MY2020 ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com