Life Test : BMW 520d Luxury ซาลูนหรูเยอรมัน….สุดประหยัด แรงโดนใจ
- โดย : Autodeft
- 27 ก.พ. 61 00:00
- 59,429 อ่าน
นับตั้งแต่ BMW เผยซาลูนขนาดกลางที่มีตัวตนเด่นและเทคโนโลยีต่างๆ ก็ได้บรรจุลงในรุ่นนี้จนกลายเป็นยานยนต์ที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่สุด Executive Car และมียอดขายสะสมทั่วโลกมากว่า 7.9 ล้านคันคือเครื่องการันตีถึงคุณภาพที่สาวกตราใบพัดฟ้า-ขาว ไว้วางใจมากว่า 46 ปี นั่นก็คือ BMW 5 Series
จาก BMW 5 Series เจเนอเรชั่นแรกรหัส E12 ผ่านมาเรื่อยๆจนมาถึงเจเนอเรชั่นล่าสุดในรหัส G30 (เจนเนอเรชั่นที่ 7) เริ่มจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2016 จนเข้ามาถึงเมืองไทยช่วงต้นปี 2017 เป็นต้นมา ครั้งนี้ทางผมจึงเลือก BMW 520d รุ่น Luxury มาทำความรู้จักกัน (ปัจจุบันมีรุ่น 520d Sport เข้ามาเป็นอีกทางเลือก) ความสง่างามของภายนอกบวกกับชุดโครเมี่ยมรอบคันในรุ่น Luxury ทำให้มีความหรูมากขึ้น กระจังหน้าทรงไตคู่เอกลักษณ์ประจำค่ายที่ตราตรึงสาวกมายาวนาน แต่ปรับดีไซน์ให้เข้ายุคเข้าสมัยแบบ Active Air Stream รับกับไฟหน้า Adaptive LED สามารถปรับโคมไฟตามทิศทางการหมุนของพวงมาลัย และไฟสูงอัตโนมัติ High-Beam อยู่ในโคมเดียวกัน แม้แต่ยามค่ำคืนที่เส้นทางเปลี่ยวไร้แสงไฟ ให้ความสว่างไกลได้ผนวกกับไฟตัดหมอกหน้า LED ในชุดกันชหน้าดีไซน์ลงตัว
ล้ออัลลอยประจำรุ่น Luxury เป็นแบบลายหลายก้าน W-Spoke style 632 ขนาด 18 นิ้ว 8JX18 พร้อมยาง 245/45 R18 จากค่าย Pirelli ด้านท้ายติดตั้งไฟท้าย LED มาพร้อมตราโลโก้ ใบพัดขาว-ฟ้า ที่หรูหรา และตัวอักษร 520d บ่งบอกว่ารถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จอดรถอย่างมั่นใจด้วยเซนเซอร์ควบคุมการจอดรถทั้งหน้า-หลังโดยทำงานร่วมกับกล้องมองหลัง
ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์ม CLAR platform ภายใต้แนวคิด BMW EfficientLightweight ผสมผสานทั้ง อลูมิเนียมและเหล็กกล้า เพื่อให้ตัวถังน้ำหนักลดลง มากกว่ารุ่นเดิมประมาณ 100 กก. ปรับค่าสัมประสิทธิ์เสียดทานอากาศ ลดลงได้ถึง 0.22 และมิติตัวรถที่ใหญ่ไม่แพ้คู่แข่งสัญชาติเดียวกันตั้งแต่ความยาว 4,936 มม. ความกว้าง 1,868 มม. ความสูง 1,479 มม. ความยาวฐานล้อ 2,975 มม. และการจุของในสัมภาระท้ายมากถึง 530 ลิตร
ฝากระโปรงท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าและงานนี้เอาใจคนชอบสบาย ด้วยระบบ Comfort access เพียงแค่แกว่งปลายเท้าไปที่ใต้กันชนหลังด้านซ้ายเซนเซอร์คอยจับสัญญาณการแหย่ปลายเท้าไว้ เพียงแต่ว่าขอให้ตัวกุญแจรีโมทอยู่กับตัว ฝากระโปรงท้ายจะเปิดด้วยระบบไฟฟ้าทันที
ภายในหรูแบบสไตล์ Luxury เข้ามาแล้วจะพบกับประตูรถที่สามารถปิดได้แบบสุญญากาศหรือประตูดูดทั้ง 4 บาน soft-close function for doors คล้ายรุ่นพี่ BMW 7 Series มอบความสบายให้ผู้นำยุคใหม่ และสคัพเพลตแบบเรืองแสงสีส้ม ให้ความสว่างขึ้นในยามจอดรถในที่เปลี่ยวๆ การไขกุญแจเข้าไปสู่ความอลังการหรูหรานั้น เป็นกุญแจรีโมทขนาดใหญ่ แบบ Display Key ที่สามารถการสั่งการทำงานของระบบปรับอากาศในรถ ตัวกุญแจมีการแสดงผลผ่านหน้าจอสีแบบระบบสัมผัส แสดงสถานะต่างๆ ของรถ อย่างระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ ล็อค/ปลดล็อค รวมถึงข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ โดยมีระยะในการทำงานที่สามารถควบคุมสั่งการได้เต็มระบบอยู่ที่ไม่เกิน 30 เมตร แต่ตัวกุญแจรีโมท คล้ายกับสมาร์ทโฟนมือถือตรงที่ มันมีแบตอยู่ในนั้นเช่นกันและใช้งานจนหมด ถ้าหมด สามารถชาร์จด้วยเครื่องชาร์จไร้สายที่ติดตั้งมากับรถ หรือเสียบ USB ปกติ ได้
โทนสีห้องโดยสาร แตกต่างตามสีภายนอกตัวรถ อย่างคันที่ได้มานั้นเสีภายนอกเป็น สีบอรนซ์เงิน Glacier Sliver ภายในใช้โทนสีดำ หุ้มหนังแท้ Dakota แบบ Black exclusive ทั้งคัน ที่คู่หน้าสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า และระบบความจำด้านคนขับ สำหรับตัวเบาะของรุ่นนี้ออกแบบเรียบง่ายแต่ให้ความสบายผสมกับระบบหนุนหลังปรับด้วยไฟฟ้าช่วยไม่เกิดความอึดอัดเมื่อยล้าอีกในยามเดินทางใกล้-ไกล เบาะหลังยังคงให้ความสบายเช่นกันกับเบาะหน้า
แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยโทนสีดำสลับกับลายไม้สีเข้ม Fineline Ridge และแถบโครเมี่ยมแลดูภูมิฐานขึ้น และความพิเศษตรงที่จะมีไฟเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ที่สมารถเลือกสีตามต้องการได้ สร้าความอบอุ่นในยามขับรถตอนกลางคืน การจัดวางแต่ละฟังก์ชั่นการใช้งานง่ายและสะดวกในการใช้งาน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังสามก้าน พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงานทั้ง ระบบล็อความเร็ว Cruise Control และสวิตช์ควบคุมการทำงานเครื่องเสียง มาตรวัดเรืองแสงขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอแสดงข้อมูลที่อ่านง่าย ชัดเจนและยังเข้าถึงอารมณ์ด้วยกราฟฟิกหน้าจอแบ่งได้สามรูปแบบตามการขับขี่ ทั้งโหมด Comfort, ECO PRO และ Sport
บันเทิงเริงใจด้วยชุด iDrive เวอร์ชั่นล่าสุด แสดงบนหน้าจอขนาด 10.25 นิ้ว แสดงระบบนำทาง ระบบโทรศัพท์ ระบบความบันเทิง และระบบการทำงานของรถ ควบคุมฟังก์ชันหลักด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวของมือ โดยไม่ต้องมีการสัมผัสแต่อย่างใดแบบ Gesture Control จังหวะการทำงานติดบ้างไม่ติดบ้างจนอาจสร้างความหัวเสียก็เป็นได้ ระบบเสียงคุณภาพผ่านลำโพงรอบคัน พร้อมคอนโซลเกียร์ทีจับกระชับมือ และเครื่องปรับอากาศที่แบบอัตโนมัติแยกอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา โดยงานนี้ไม่ต้องมาแย่งความร้อน-เย็นกันอีกต่อไป
ซาลูนหรูจากเมืองมิวนิกมีขุมพลังให้เลือกหลากหลายทั้งเบนซินเทอร์โบ ดีเซลเทอร์โบ และเบนซินเทอร์โบ Plug-IN Hybrid ในตระกูล TwinPower Turbo สำหรับ BMW 520d Luxury นั้น ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส B47D20A ให้กำลังมากถึง 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ปล่อย CO2 ที่ 132 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด ที่มีโหมดการขับขี่เลือกตามใจชอบถึง 3 โหมดทั้ง Comfort, ECO PRO และ Sport
พละกำลัง 190 แรงม้า จากเครื่องยนต์ดีเซล 2 ลิตร กลับให้พลังที่จัดจ้าน กดคันเร่งมาทันใจตลอด รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90 -120 กม./ชม. ทำผลงานต่ำกว่าคู่แข่งจากสวีเดนอยู่นิดเนียว ด้วยรอบตั้งแต่ 1,300 1,450 1,550 และ 1,700 รอบ/นาที ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าความฉกาจของเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกนี้มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งจากสวีเดนอยู่พอสมควร ยิ่งเข้าโหมด Sport พละกำลังที่แรงอยู่แล้วก็นำพาพลัง 190 แรงม้า เร่งแซงฉับไวมากขึ้นกว่าเดิม โดยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.66 วินาที
การเก็บเสียงทาง BMW ติดตั้งระบบ SYNTAK (Special Synergy Thermoacoustic Capsule) ช่วยเสริมการเก็บเสียงของห้องโดยสารเพื่อความผ่อนคลายสูงสุดของผู้โดยสาร ถึงจะเป็นรถนำเข้าจากเยอรมันแต่ตลอดการทดสอบการเก็บเสียงไม่ว่าจะช่วงความเร็วต่ำ กลางและสูง สอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งคนขับ หรือผู้โดยสารด้านหลังก็ตาม
ระบบช่วงล่าง บีเอ็มดับเบิ้ลยู รุ่นนี้ ดีเด่นในด้านการเกาะถนน การเข้าโค้ง ซับแรงกระแทกที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ทุกรูปแบบที่ให้ทั้งความเน้นความหนึบนุ่มนวล สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจ ผู้บริหาร ที่จะไปเจรจางานร้อยล้าน อย่างมั่นใจ และการควบคุมรถแบบเปลี่ยนเลนสามารถคุมได้อย่างฉับไว ระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้าแบบ Servotronic งานนี้เซ็ตพวงมาลัยได้แม่นยำ ควบคุมง่าย น้ำหนักกลางๆ ทำให้มั่นใจมากขึ้นในการควบคุมเป็นอย่างดี มั่นใจมากขึ้นด้วยสารพัดตัวช่วยต่างๆทั้ง ระบบควบคุมการทรงตัว (DSC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) และระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน
ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลือง ในหมวด Save Mode งานนี้เปลี่ยนเส้นทางใหม่หมด จากระยะทางรวม 66.2 กม.และจัดน้ำมันดีเซลเต็มถังจากปั๊มย่านคลองตัน 2.27 ลิตร โดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ถึงบางช่วงอาจมีรถติดบ้าง (เพราะตอนนั้นมีงานรับปริญญาที่ ม.พระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) แต่ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้นั้น ทำเอาผมอึ้งทันที สามารถทำตัวเลขประหยัดเท่ากับรถ Eco Car หรือ Hybrid ด้วยตัวเลขอัศจรรย์ 29.16 กม./ลิตร ส่วนหนึ่งก็เพราะระบบสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ Auto Start Stop โดยระบบจะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่ตามช่วงระยะเวลาที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 3 นาที แต่ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับวิทยุเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติแต่บุคลิกของระบบนี้มีความแปลกพอๆกับคู่แข่งจากสวีเดนตรงที่ถ้าอุณหภูมิภายนอกมากกว่า 35 องศาขึ้นไประบบจะไม่ทำงาน
ซาลูนเยอรมันพลังแรง 190 ม้า พร้อมความเด่นสง่าในชุดหรู Luxury สร้างจุดแข็งมากขึ่นในยามขับขี่ ช่วงล่างที่มั่นใจขับขี่สนุก ถึงออพชั่นบางอย่างอาจด้อยกว่า แต่ชื่อชั้นความเป็น BMW ในด้านการบริการกลับทำให้สาวกตราใบพัดฟ้า-ขาว ชาวไทยประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้สำหรับ BMW 520d Luxury
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บีเอ็มดับเบิ้ลยู กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ BMW 520d Luxury มาทดสอบ
รถทดสอบ BMW 520d Luxury ราคาจำหน่ายพร้อมแพกเกจ BSI Standard 3,839,000 บาท
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com