คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ในสไตล์แมน..แมน บนเส้นทาง 2 ล้อกับซูซูกิ แวน แวน
- โดย : Autodeft
- 21 ก.พ. 57 00:00
- 16,002 อ่าน
บทสัมภาษณ์พิเศษของ คุณ คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม เมื่อหนุ่มนักบริหารหลงใดลสองล้อสไตล์ Retro Suzuki Van Van
ปัจจุบันนี้รถมอเตอร์ไซค์คงไม่ใช่พาหนะของคนงบน้อยอีกต่อไป เนื่องจากการพัฒนาของรถ 2 ล้อ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมีสไตล์การออกแบบที่โดดเด่น ล้ำสมัย แต่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันหลายจุด เช่น มีขนาดความจุกระบอกสูบที่ต่างกัน จึงสามารถเป็นของสะสม งานอดิเรก หรือเป็นสิ่งสะท้อนไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งรถจักรยานยนต์จึงเป็นมากกว่าพาหนะที่พาคุณจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม กับ Life Style ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน!!!
ชีวิตประจำวันของแต่ละคน แน่นอนว่าคงหลีกหนีไม่พ้นความจำเจจากการต้องตื่นแต่เช้า ชีวิตที่ต้อง เผชิญกับการจราจรที่แสนจะติดขัดและเร่งรีบทั้งบนท้องถนน, รถไฟฟ้ากระทั่งรถไฟใต้ดิน แม้แต่การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำงานที่ออฟฟิศ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิต เพราะในมุมกลับกัน “วันว่าง” และ “การพักผ่อน” จึงถือเป็นส่วนเติมเต็มอันล้ำค่าให้กับคนทำงานอย่างพวกเรา
วันนี้ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับ คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัว มุมมองใหม่ๆ ในการใช้เวลาพักผ่อน แต่ผมขอเล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆ พอเป็นสังเขป เผื่อใครยังไม่รู้จัก “คุณวัลลภ” ปัจจุบันนี้อายุ 40 ปีพอดี จบการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาระหว่างประเทศ และการทูต และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาบริหารธุรกิจ และการตลาด ส่วนประสบการณ์การทำงานเริ่มต้นจากกลุ่มบริษัทของฟอร์ดมากกว่า 10 ปี หลังจากนั้นจึงปรับสายงานเข้ามาบริหารเกี่ยวกับไฟแนนซ์รถยนต์ จึงได้เห็นความเป็นมา พื้นฐานตลาดรถยนต์ ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารถกระบะ ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่อยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ต้องการพาหนะส่วนตัวอย่างมาก เนื่องจากการเดินทางด้วยรถสาธารณะยังไม่ครอบคุมมากนัก สังเกตว่าทุกบ้านจะมีรถมอเตอร์ไซด์อย่างน้อย 1 คัน แต่ถ้าเป็นรถ 4 ล้อมักจะเป็นรถกระบะโดยส่วนใหญ่
คุณวัลลภทำงานที่บริษัทฟอร์ดพักใหญ่ จนเกิดภาวะปัญหาเศรษฐกิจ “แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส” จึงมีการปรับเปลี่ยนองค์กร โดยยุบในส่วนของ “ลิสซิ่ง” ลง หลังจากนั้นในปี 2009 บริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (SMC) ได้เข้าร่วมโครงการอีโค คาร์ ของประเทศไทย ซึ่งหมายความว่าต้องมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ และทำธุรกิจในประเทศไทย แต่ไม่ใช่ว่าทางซูซูกิพึ่งเริ่มสนใจทำธุรกิจในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งทาง “ซูซูกิ” เล็งเห็นมานานกว่า 40 ปีแล้ว จึงตั้งโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ที่รังสิตคลอง 3 ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดโรงงานนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกอีกด้วย และเมื่อถึงจังหวะตลาดรถยนต์ที่เหมาะสม ประกอบกับโครงการอีโค คาร์ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทาง ซูซูกิ จึงเข้ามาทำธุรกิจรถยนต์อย่างเต็มตัว ในปี 2009 นั่นเอง คุณวัลลภจึงเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ขายรถยนต์อีโค คาร์ เนื่องจากในปี 2009 เป็นปีแรกของการสร้างโรงงานรถยนต์ พร้อมแผนงานที่จะเปิดตัวอีโค คาร์คันแรกของซูซูกิในปี 2012 จึงทำตลาดโดยใช้รถนำเข้าจากอินโดนิเซียไปก่อน “ณ. วันนั้น คุณวัลลภ ยังเป็นคนไทยคนแรกใน บริษัท ซูซูกิ อีกด้วย”
ตัวผมเองมองว่า หลังจากที่ “ซูซูกิ” นำ “Swift” ตัวทีเด็ดของค่ายออกมาทำตลาด ก็ดังเป็นพลุแตก ยอดขายไต่ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มรถอีโค คาร์ ทำให้ผมรู้สึก “ทึ่งปนความแปลกใจ” กับวิธีการบริหารของคุณวัลลภอย่างมาก แต่พอผมได้ฟังแนวคิดการบริหารจากคุณวัลลภแล้ว ทำให้ทราบว่า “ซูซูกิ” มีสินค้าที่หลากหลาย สามารถครอบคลุมเกือบทุกสายการผลิตทั้งเครื่องยนต์เรือ มอเตอร์ไซค์ 50-1,300 ซีซี. และด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยบวกกับความชำนาญที่มีมากว่า 100 ปี จึงสามารถทำสินค้าออกมาให้ตรงกับวิถีชีวิตของผู้คน และยังเป็นมิตรกับผู้ใช้ ในราคาที่สมเหตุสมผล โดยอยู่ภายใต้ปรัชญาของซูซูกิที่ว่า “ผลิตสินค้าประหนึ่งเราเป็นผู้ใช้” นั่นเอง
ปรับอารมณ์มาสัมผัสไลฟ์สไตล์แมน..แมน ของคุณวัลลภบ้างดีกว่า นอกจากแบ่งเวลาว่างให้กับครอบครัวและลูกๆ แล้ว ยามว่างแบบส่วนตัวจริงๆ มักจะหาร้านกาแฟสวยๆ บรรยากาศดีๆ นั่งอ่านหนังสือ หาข้อมูลอัพเดทสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้ชีวิตผ่อนคลายมากที่สุด แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับผม คือ การปรับวิธีการเดินทางของคุณวัลลภ ที่หลีกหนีความจำเจจากการใช้รถยนต์ทุกวันมาเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์แทน เพราะเป็นความชอบส่วนตัวของคุณวัลลภ ซึ่งการขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่บ่งบอกความเป็น “ผู้ชาย” ที่ชัดเจน สามารถเปิดโลกใบใหม่ที่ให้ประสบการณ์มากกว่ารถยนต์ ซึ่งมุมมองการพักผ่อนในสไตล์ของคุณวัลลภไม่ใช่การขับรถจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่เช็คอินเข้าห้องพักเท่านั้น แต่การขี่มอเตอร์ไซค์ไปในเส้นทางเดียวกัน แต่ได้บรรยากาศสองข้างทางที่ต่างกัน สามารถไปในเส้นทางที่รถยนต์ไปไม่ได้ และยังทำกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อนในสถานที่ต่างๆ ระหว่างทางได้อีกด้วย สิ่งนี้สิครับ ถึงเรียกกว่าการ “พักผ่อน” สำหรับผู้ชายสไตล์คุณวัลลภ
และตอนนี้คุณวัลลภมีคู่ใจ 2 ล้อคันใหม่มาโชว์เราด้วย เป็น “ซูซูกิ แวน แวน 125 ซีซี.” ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์อีกคันที่พี่วัลลภให้ความสนใจมานาน เมื่อเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยคุณวัลลภก็ไม่รอช้าที่จะเป็นเจ้าของรถท่านแรก โดยความกรุณาจากบริษัท อารีมิตร ออโต้เซลส์ จํากัด ที่มหาสารคาม ที่ช่วยส่งรถมาให้ถึงมืออย่างรวดเร็ว ส่วนเหตุผลที่เลือก “ซูซูกิ แวน แวน 125 ซีซี.” นั้น เนื่องจากหลงเสน่ห์ความคลาสสิกในการดีไซน์ของตัวรถที่เป็นอมตะในการออกแบบ แต่มีสมรรถนะ เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้รู้สึกสุขกายในการสัมผัสอัตราเร่งที่ดีในระดับที่ต้องการ สุขใจในความโดดเด่นของดีไซน์แบบ “Retro” เนื่องจากฝังใจชอบรูปลักษณ์แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเป็นเด็กใช้ชีวิตอยู่ย่านเยาวราชเห็นรถในสไตล์แบบนี้ใช้ขนผ้า ขนถังแก๊ส จึงทำให้รู้สึกว่า นี่แหละรถสไตล์ผู้ชาย สักวันเจะต้องเป็นเจ้าของให้ได้ แต่พอโตขึ้นมามีกำลังจะซื้อด้วยตัวเอง รถมอเตอร์ไซค์สไตล์แบบนี้กลับหายไปในท้องตลาด กลายมาเป็นรถสไตล์ครอบครัวซะส่วนใหญ่ ซึ่งไม่สามารถสะท้อนบุคคิลส่วนตัวของคุณวัลลภได้ จน “ซูซูกิ แวน แวน 125 ซีซี.” ออกจำหน่าย นี่แหละครับ...รถสไตล์ผู้ชาย แมนๆ ไม่ใหญ่มาก หน้าตาคลาสสิก ใช่เลย “รถที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ทั้งด้านความรู้สึก และสมรรถนะที่พอดีกับความต้องการของคุณวัลลภ”
หลังจากคุณวัลลภได้รถ “ซูซูกิ แวน แวน 125 ซีซี.” มาครอบครองแล้ว ก็เริ่มว่าแผนการขับขี่ โดยเริ่มจากไปร้านกาแฟใกล้ๆ บ้าน เพื่อทำความคุ้นเคยกับรถให้มากที่สุด ก่อนจะออกเดินทางไกลตามต่างจังหวัด เพื่อทำกิจกรรมใหม่ๆ ไปสัมผัสทัศนียภาพสองข้างทางกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่ใช้มอเตอร์ไซค์ในการเดินทาง
ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์ในปีนี้ของซูซูกิ คุณวัลลภบอกว่า “WoW” คำนี้ของคุณวัลลภหมายถึงซูซูกิได้เดินมาถูกทางแลว ทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ ซึ่งยกตัวอย่าง เช่น กลุ่มประหยัดพลังงาน เช่น รถยนต์ Swift หรือจักรยานยนต์ Let’s ซึ่งสอดคล้องในเรื่องความประหยัดพลังงาน หรือรถบิ๊กไบค์ที่นำเข้ามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ในรูปแบบระดับพรีเมี่ยม ซึ่งต้องบอกว่าปีนี้ซูซูกิจะกลับมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอน
ก่อนจะลาจากกันไปก็อดคุยเรื่อง “ฮอต ฮอต” ไม่ได้ เพราะใน “สภาวะบ้านเมืองแบบนี้ ธุรกิจยานยนต์จะเป็นอย่างไร” คุณวัลลภบอกว่า “ถ้ามองผิวเผินตลาดยานยนต์บ้านเราจะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง และยังจะได้รับปัญหาทางเศรษฐกิจตามมาอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงตลาดยานยนต์เมืองไทยเป็นตลาดที่ได้รับการพัฒนาไปเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่า ลูกค้าที่จะซื้อสินค้าในการกลุ่มยานยนต์ เริ่มมองในเรื่องของอรรถประโยชน์ ความคุ้มค่าของสินค้ามากกว่า ซึ่งต่างจากเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ซื้อจากแบรนด์ โดยไม่ได้สนใจคุณภาพ หรือความคุ้มค่า แต่ในปัจจุบันยิ่งเห็นได้ชัดขึ้น ตั้งแต่มีรถอีโค คาร์ออกมาจำหน่าย แบรนด์ที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ แต่มีคุณภาพสินค้าที่ดีกลับมาครองใจผู้บริโภคได้มากกว่า ด้วยความคุ้มค่าและอรรถประโยชน์ในการใช้งาน
สุดท้ายคุณวัลลภได้ฝากข้อคิดดีๆ ในการใช้รถจักรยานยนต์บนท้องถนนด้วยครับ “ผมฝากเอาไว้ 2 ข้อนะครับ ข้อแรกฝากให้กลุ่มรถเล็กเยาวชนที่พึ่งมีจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เรื่องของอุปกรณ์ป้องกันอย่างหมวกกันน็อคเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แล้วอย่างคึกคะนองในการขับขี่ เนื่องจากจะเกิดอันตรายกับคุณแล้วยังจะเกิดกับบุคคลอื่นที่ใช้ถนนร่วมกับคุณด้วย ข้อที่สองในกลุ่มของบิ๊กไบค์ซึ่งมีการเติบโตสูงมาก คุณควรที่จะเรียนรู้ทักษะการขับขี่ที่ดี กับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญของยี่ห้อนั้นๆ ก่อนที่จะมาขับขี่เองบนถนน เนื่องจากการขับขี่บิ๊กไบค์ต้องใช้ทักษะที่สูง และการขับขี่บิ๊กไบค์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเดินทางแบบกลุ่ม ซึ่งคันนำหรือหัวหน้ากลุ่มมักจะมีทักษะสูง คันตามมักจะมีทักษะที่น้อยกว่า ทำให้ต้องไล่ตามด้วยความเร็วที่สูง ดังนั้นผู้นำกลุ่มจึงควรให้ความรู้ด้านทักษะกับผู้ขับขี่ในกลุ่ม และประคอง ผู้ร่วมกลุ่มให้เดินทางโดยปลอดภัยด้วย เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุมักจะไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณคนเดียว แต่ทุกอย่างแก้ไขได้ครับ เพียงแค่คุณเรียนรู้ทักษะที่ดี ก่อนที่จะขับขี่จริงบนถนน และมีสติทุกครั้งเมื่อขับขี่ครับ”
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com
[GALLERY314]