ยลโฉมจริง!! Ford Ranger Raptor กระบะสายโหด 213 แรงม้า จ่อเข้าไทยเร็วๆนี้
- โดย : Autodeft
- 7 ก.พ. 61 00:00
- 53,695 อ่าน
ในที่สุด Ford เลือกประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกเผยสุดยอดรถกระบะออฟโรดสายพันธุ์อเมริกันที่อัดแน่นด้วยดีเอ็นเอของ Ford Performance อย่างเต็มตัว นั่นคือ Ford Ranger Raptor
Ford Ranger Raptor มาในร่างกระบะ 4 ประตู Double Cab ที่นำเวอร์ชั่นปกติ มาพัฒนาใหม่ทั้งคัน โดยได้แรงบันดาลใจจาก Ford F-150 Raptor ซึ่งเป็นแก่นสำคัญในการพัฒนาพร้อมผสมผสานดีเอ็นเอตามแบบฉบับ Ford Performanceภายนอกกระจังหน้าสี่เหลี่ยมคางหมูใหม่อันสะดุดตาแบบสีดำ พร้อมโลโก้ฟอร์ดสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เอกลักษณ์ ชุดกันชนด้านหน้าซึ่งติดกับเฟรมรถออกแบบให้มีความทนทาน แผงกันชนด้านหน้ายังมาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED
แก้มข้างรถคู่หน้าผลิตจากวัสดุคอมโพสิท ทนต่อการบุบและรอยขีดข่วนถูกตีโป่งขยายออกเพื่อรองรับระยะยุบตัวของโช้คที่เพิ่มมากขึ้นและยางออฟโรดขนาดใหญ่ บันไดข้างผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง และเคลือบถึงสองชั้น โดยทำการพ่นสี powder-coated ก่อนพ่น grit-paint ทับอีกชั้น กันชนท้ายปรับปรุงโดยเพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด ที่รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน พร้อมตัวเซ็นเซอร์และตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ พร้อมระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (EZ Lift Tailgate) ด้วยกลไกผ่อนแรง จะช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 เปอร์เซ็นต์
ยางติดรถจากโรงงาน เป็นยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 เสริมสมรรถนะการขับขี่ ยางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 838 มิลลิเมตร กว้าง 285 มิลลิเมตร แก้มยางมีความแข็งแรงสูงพร้อมดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ มั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวที่เปียกลื่น โคลน พื้นทราย และหิมะ
มิติตัวรถใหญ่ขึ้นทุกมิติตั้งแต่ ความยาว 5,398 มม. ความกว้าง 2,180 มิลลิเมตร ความสูง 1,873 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 283 มิลลิเมตร ขณะเดียวกัน ส่วนท้ายกระบะมอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาด 1,560 x 1,743 มิลลิเมตร ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยในช่วงวันหยุด
ภายในยกสายเลือดความแกร่งมาเต็มๆพร้อมความประณีตขั้นสูง เบาะนั่งได้รับการออกแบบพิเศษ เพื่อรองรับการใช้งานการขับขี่แบบออฟโรดความเร็วสูง ด้วยวัสดุหนังกลับแถมมีความหนาเป็นพิเศษ ช่วยในเรื่องการรองรับด้านข้าง คอนโซลหน้ารถคล้ายกับเวอร์ชั่นปกติ แต่พิเศษด้วยการเดินด้ายสีน้ำเงินและการเลือกใช้วัสดุหนัง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังทรงเดิมเพิ่มเติมตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker แถบสีแดงด้านบนพร้อมสลักลายโลโก้ Raptor เพื่อมอบความโดดเด่นสะดุดตาด้วย แป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ พร้อมเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อ SYNC 3 ระบบสั่งงานด้วยเสียง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานอุปกรณ์โปรดได้แม้มือยังจับพวงมาลัยและตาจับจ้องอยู่ที่ถนน และกุญแจรีโมทอัจฉริยะ ปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถล็อก ปลดล็อก และสตาร์ทรถได้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ
ขุมพลังแรงด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร มอบพละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า แรงบิดมากถึง 500 นิวตันเมตร ตอบสนองยอดเยี่ยมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Terrain Management System (TMS) ทั้งหมด 6 รูปแบบ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย ประกอบด้วย
โหมดการขับขี่ทางเรียบ ทั้ง 1.โหมดปกติ กับ 2. โหมดสปอร์ต –เน้นการเปลี่ยนเกียร์เร็วและฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นอย่างที่ผู้ขับขี่ต้องการ
โหมดการขับขี่ออฟโรด ตั้งแต่ 3. โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ – ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ
4.โหมดโคลน/ทราย – ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิว ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง
5. โหมดหิน – ใช้เมื่อขับขี่บนพื้นผิวในเขตภูเขาที่ลาดชัน ต้องใช้ความเร็วต่ำ และเน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ
6. โหมดบาฮา – ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด
ระบบช่วงล่างออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ที่ความเร็วสูงบนสภาพพื้นผิวขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้รับความสบายอย่างเต็มที่ ด้วยโช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้น โช้คอัพผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง ช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูงเพื่อความสามารถในการซับแรงกระแทกขณะขับออฟโรด แต่ด้วยระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass technology) จึงทำให้การขับขี่บนถนนทางเรียบเป็นไปอย่างราบรื่น
ช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกที่ทำจากอะลูมิเนียม โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แข็งแรงทนทานต่อการขับขี่แบบออฟโรดถึงขีดสุดและช่วงล่างด้านหลังแบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง จึงช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น
พร้อมกับระบบเบรกอันทรงพลังเป็นแบบ ดิสก์เบรก 4 ล้อ คาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ ที่เพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขึ้น 9.5 มิลลิเมตร มาพร้อมกับจานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่ถึง 332 x 32 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังมาพร้อมกับระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มิลลิเมตรคู่กับคาลิปเปอร์เบรกใหม่ขนาด 54 มิลลิเมตร และระบบควบคุมพวงมาลัยแบบไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program) สำหรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ
ระบบความปลอดภัยระดับสูงตั้งแต่ รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ มาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSC (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HDC (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก LDC (Load Adaptive Control)
Ford Ranger Raptor มีสีภายนอกให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ สีฟ้า Lightning Blue สีแดง Race Red สีดำ Shadow Black สีขาว Frozen White และสีพิเศษเฉพาะ สีเทา Conquer Grey ตัดกับสีเทา Dyno Grey เพื่อขับให้รูปลักษณ์ของรถดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยผลิตที่เมืองไทยที่ โรงงาน ฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (FTM) จ.ระยอง โดย Ford เตรียมที่จะเปิดตัวอีกครั้งพร้อมประกาศราคา ไม่นานเกินรอ
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com