Deft Versus : เปรียบให้ชัด…5 รถ PPV ขับสองรุ่นเด็ด งบไม่เกิน 1.6 ล้านบาท
- โดย : Autodeft
- 11 ก.ค. 61 00:00
- 12,461 อ่าน
ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ที่พัฒนามาจากรถปิกอัพ หรือ เรียกอีกอย่างว่า PPV (Pickup Passenger Vehicle) ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย
ปัจจุบันมีผู้ผลิต รถยนต์ จากญี่ปุ่น และ อเมริกา ส่งรถยนต์ประเภทนี้ โดดเด่นในเรื่องการออกแบบดีไซน์ ที่หรูสง่า ดุดัน ภายในที่โอ่โถงด้วยห้องโดยสารกว้าง 7 ที่นั่ง รวมถึงเทคโนโลยีขุมพลังดีเซลที่แรงและประหยัด งานนี้ได้รวมรถยนต์ PPV ขับเคลื่อนสองล้อ ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมาก โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 1,000,000 – 1,600,000 บาท เริ่มจาก
The New ISUZU MU-X 2WD เริ่มต้น 1.099 – 1.399 ล้านบาท
ยานยนต์อเนกประสงค์เอกสิทธิ์แห่งผู้นำ ที่ได้รับตอบรับอย่างดียิ่งตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ที่ยังนิยมมาโดยตลอด หรูด้วย ไฟหน้าแบบ Bi-LED ให้ความสว่างมากขึ้น ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ พร้อมไฟ LED Daytime และ เส้นนำแสง LED Guiding Light อยู่ในโคมเดียวกัน กระจังหน้าโครเมี่ยมใหม่แบบ Sport 3D สูงสง่า เด่นชัด สปอร์ต ออกแบบใหม่รับกับกันชนหน้า – หลังใหม่แนวสปอร์ตรวมถึงไฟท้ายเป็น LED แบบ Sharp Horizon โดดเด่น ลงตัว ล้ออัลลอยลาย 6 ก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/60 R18 และขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 245/70R16 สำหรับรุ่นพิเศษ THE ICONIC เพิ่มเติมด้วยชุดแต่งสปอร์ตเท่รอบคันแบบ ICONIC STYLE และล้ออัลลอย 6 ก้านคู่สีทูโทน 18” ICONIC CROSS
ภายในหรูหราด้วยโทนสีดำ-เบจ Sandstone Beige เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ Sport Cut โอบกระชับ นุ่มนวล นั่งสบาย แผงคอนโซลหน้าหรูหราด้วยลายไม้ Fine Walnut ที่แผงข้างประตู หัวเกียร์ และคอนโซลหน้า ชุดตกแต่งสีดำ Piano Black คมเข้มมีสไตล์ บริเวณคอนโซลกลาง และแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า ระบบความบันเทิงเป็นแบบจอสัมผัส 8 นิ้ว ISUZU iConnect พร้อม Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับ Smartphone พร้อมจุดเชื่อมต่อ USB และจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขนาด 10.5 นิ้ว สบายทุกการเดินทางด้วย ช่องชาร์จไฟฟ้าแบบ 220V และ USB 2 ช่อง ส่วนในรุ่น THE ICONIC เข้มด้วยห้องโดยสารโทนเข้ม LAVA BLACK เน้นอารมณ์สปอร์ตพร้อม ระบบความบันเทิงเป็นแบบจอสัมผัส 8 นิ้ว พร้อม Built-in Navigator และ Digital TV Tuner
ขุมพลังมีให้เลือกถึง 2 ขนาดจากตระกูล Blue Power เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน 1.9 ลิตร รุ่น RZ4E-TC กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที และ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผันขนาดใหญ่ 3.0 ลิตรรุ่น 4JJ1-TCX 177 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ Revtronic 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
กระจายน้ำหนักเป็นเลิศวางตำแหน่งเครื่องยนต์เยื้องหลังเพลาหน้าแบบ Semi-midship ผสานการทำงานของช่วงล่างหลังแบบ 5-Link ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พร้อมระบบความปลอดภัย ติดตั้งให้เป็นออพชั่นมาตรฐานทุกรุ่น ทั้ง ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) ช่วยควบคุมความเร็วของรถขณะลงทางลาดชัน ให้ความมั่นใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) ระบบเบรก ABS ,EBD มาพร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และ กระจกมองหลังปรับลดแสงแบบอัตโนมัติและกล้องบันทึกภาพด้านหน้ารถ DVR โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
Ford Everest 2WD เริ่มต้น 1.299 – 1.599 ล้านบาท
พึ่งจะเปิดตัวไปสดๆร้อนๆสำหรับ อเนกประสงค์หรูแดนมะกัน ที่งานนี้นอกจาปรับหน้าตาทั้งภายนอก ภายในแล้ว ขุมพลังมีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกันคือตัดขุมพลังดีเซล 2.2 ลิตร 160 แรงม้าออกไป พร้อมรับกระแสเครื่องเล็กแรงม้าสูงด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบแปรผัน TDCI 180 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที โดยมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดพร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา
ภายนอกใหม่ด้วยกระจังหน้าโครเมี่ยมดีไซน์ใหม่แนวนอน 3 ชั้น พร้อมไฟหน้า แบบ HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ และไฟ LED Daytime กันชนหน้าใหม่พร้อมการ์ดเสริม ล้ออัลลอยลายใหม่ 6 ก้านคู่ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20 ในรุ่น Titanium+ พร้อมขนาด 18 นิ้ว 6 ก้านสีทูโทนลายเดิมพร้อมยาง 265/60R 18 ในรุ่น Titanium และขนาด 17 นิ้ว 6ก้าน พร้อมยาง 265/65 R17 ในรุ่น Trend ส่วนด้านท้ายยังคงเดิมด้วยไฟท้ายดีไซน์เด่นแบบ LED ใหม่ด้วย ระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ
ภายในเข้มห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง สีดำ บันเทิงด้วย Infotainment SYNC 3 พร้อมเมนูภาษาไทยผ่านหน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay, Android Auto ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถ พิเศษ ยังมีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และสบายด้วยระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPAS)
ระบบความปลอดภัยมีฟังก์ชั่นใหม่ทั้ง ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ
ระบบความปลอดภัยดั้งเดิมเต็มคัน ทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุด รวมหัวเข่าฝั่งคนขับ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
Toyota Fortuner 2WD เริ่มต้น เริ่มต้น 1.239 – 1.593 ล้านบาท
อเนกประสงค์จากค่ายสามห่วงที่นิยมไม่แพ้กันสง่างามหรูด้วย กระจังหน้าโครเมี่ยมแนวนอน 3 ชั้น ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-Beam LED พร้อมระบบการเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติพร้อมชุดไฟ Daytime Running Light อยู่ในโคมเดียวกัน ไฟตัดหมอกหน้า LED เติมเต็มทัศนวิสัยที่ชัดเจนให้ทุกการขับขี่ปลอดภัยอย่างแท้จริง บันไดข้าง กระจกไฟเลี้ยว และไฟเบรก ออกแบบใหม่อย่างมีสไตล์ ฝาท้ายควบคุมการเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60R18
ภายในเพิ่มความสบายด้วย เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมภายในที่ตระการตาโอ่โถงด้วยโทนสีดำน้ำตาล 7 ที่นั่ง แผงคอนโซลหน้าออกแบบด้วยโทนสีดำ ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินสลับกับลายไม้ด้าน พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานไม่ว่าจะ เป็น มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ขนาด 4.2 นิ้ว ปุ่ม Push Start พร้อมกุญแจ Smart Entry พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังสลับลายไม้ด้านพร้อม Paddle Shift เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์บนหลังทั้งตอน 2และตอน 3 ชาร์จมือถือและเสียบใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าได้จุใจด้วยช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า กระแสสลับ AC 220 V ในกล่องคอนโซลกลาง และเครื่องเล่น DVD พร้อมจอสัมผัส กับระบบ TELEMATICS
แรงและประหยัดด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบแปรผัน GD Efficient Boost รุ่น 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร 177 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที กับเครื่องยนต์ดีเซล VN เทอร์โบ รุ่น 2GD-FTV ขนาด 2.4 ลิตร 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,000 รอบ/นาทีและยังมีอีกหนึ่งขุมพลังแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน รุ่น 2TR-FE ขนาด 2.7 ลิตร Dual VVT-I 166 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที และทำแรงบิด 245 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที
ทั้ง 3 ขนาดจับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่ตอบสนองความต้องการ ได้แก่ Power Mode เน้นกำลังการขับขี่ และยังมี Eco Mode เน้นในเรื่องความประหยัด ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ระบบดิสก์เบรกขนาดใหญ่ทั้ง 4 ล้อ เพิ่มความมั่นใจให้ทุกจังหวะเบรก พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันทั้งระบบเบรก ABS ,EBD และ BA ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและใต้เข่าคนขับ (รุ่นท็อป V เพิ่ม ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านนิรภัย) ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควบคุมการส่ายเมื่อต้องต่อส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
Mitsubishi Pajero Sport 2WD เริ่มต้น 1.301- 1.429 ล้านบาท
อเนกประสงค์จากค่ายทรีไดมอนด์ โดดเด่นล้ำยุค ครั้งนี้แนะนำรุ่นปรับปรุงใหม่ หรือ MY2018 เพิ่มออพชั่นทั้ง ฐานคอนโซลเกียร์เสริมวัสดุบุหนังนุ่ม, มาตรวัดเรืองแสงใหม่ พร้อมจอ MID เพิ่มลูกเล่น 3D Animation, ระบบฟอกอากาศ Nanoe,ช่องจ่ายไฟ AC 220V หลังกล่องเก็บของคอนโซลกลาง, ช่องเสียบ USB 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ช่องเก็บ Smart Phone ที่หลังเบาะนั่งคู่หน้า, ที่บังแดดคู่หน้าติดตั้งไฟส่องสว่าง, ที่บังแดดด้านผู้โดยสารเพิ่มช่องเสียบบัตร, ช่องแอร์เพดานแบบใหม่ Fin Shut Type และ เสาอากาศแบบฝังกระจก
ห้องโดยสารกว้างขวาง โอ่โถง ด้วยโทนสีดำ กับ สีเบจ (ในรุ่น GT-Premium Limited Edition) แบบ 7 ที่นั่ง แผงคอนโซลหน้า ตกแต่งด้วยโทนสีดำสลับวัสดุสีเงิน กุญแจ KOS พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 4 ก้าน หุ้มหนังพร้อม Paddle Shift สามารถปรับสูง-ต่ำและยืดหดได้ เบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake บันเทิงด้วยเครื่องเล่น DVD จอทัชสกรีน พร้อมระบบนำทาง และ จอ Roof Monitor ติดตั้งบนเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลังสามารถใส่แผ่น DVD ได้ เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา Dual Zone พร้อมช่องแอร์บนหลังทั้งตอน 2 และตอน 3 เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
ส่วนออพชั่นภายนอกเดิมๆยังครบเช่นกัน ทั้งชุดตกแต่งใต้กันชนหน้า และสปอยเลอร์หลัง ระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้า ไฟหน้า Projector Bi- LED ไฟท้ายดีไซน์แบบแนวตั้ง Spectrum LED ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60R18
เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล เทอร์โบแปรผัน แรงเร้าใจเช่นเคยกับรหัส 4N15 Mivec Clean Diesel ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบ/นาทีจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Sport Mode
ระบบความปลอดภัยแบบที่สุดทุกรุ่นมาพร้อม ถุงลมนิรภัย คู่หน้า ระบบเบรก ABS EBD พร้อมดิกส์เบรก 4 ล้อ ระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันล้อหมุนฟรี ASTC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist System (HSA) ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวขณะลากจูง Trailer Stability Assist System (TSA) และกล้องมองภาพรอบคัน แต่สำหรับรุ่น GT-Premium เพิ่ม ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) และสัญญาณกะระยะจอดด้านหน้า – หลัง และระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control System - ACC) และถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุดในรุ่น GT-Premium Limited Edition โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
Chevrolet Trailbalzer 2WD เริ่มต้น 1.244- 1.379 ล้านบาท
ปิดท้ายด้วย PPV หรูที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นเชฟโรเลตมายาวนานกว่าร้อยปี ถึงยอดขายอาจไม่เดนดังเท่าเจ้าใหญ่ๆ แต่มีเสน่ห์ความเป็นอเมริกันเป็นแน่แท้ตั้งแต่กระจังหน้า Dual Port ดีไซน์ใหม่สอดรับกับไฟหน้าโคมใหม่ พร้อมไฟ DRL แบบ LED กันชนหน้าออกแบบใหม่กับไฟตัดหมอกหน้าทรงกลม และไฟ้ท้าย LED โคมใหม่ พร้อมล้ออัลลอยลายหรู สีทูโทน ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60R18 และขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 255/65 R17 ภายในมาพร้อมแผงหน้าปัดดีไซน์ใหม่ มาตรวัดใหม่กับจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่อ่านง่ายชัดเจนขึ้น พร้อมระบบเพื่อความบันเทิง My Link เวอร์ชั่นล่าสุดขนาด 8 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อทั้ง Android และ Apple CarPlay ได้ จุดเด่นด้วยห้องโดยสาร 7 ที่นั่งหุ้มหนังแท้สบายในทุกการเดินทาง
พลังขับวัดใจคุณด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ Duramax VGT รหัส XLDE25 LP2 ขนาด 2.5 ลิตร 180 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 440 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPS) ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการบังคับพวงมาลัยสำหรับการขับขี่ในเมืองและขณะจอดรถ และเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความเร็วในการขับขี่
ระบบความปลอดภัยคงครบครันทั้ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง Traction Control System (TCS), ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน Panic Brake Assist (PBA), ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน Hill Start Assist (HSA) ระบบรักษาเสถียรภาพขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (Anti-Rolling Protection) พร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS และ ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่
พร้อมนวัตกรรมที่เหนือกว่า เช่น ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา (Side Blind Zone Alert) ระบบแจ้งเตือนการจราจรขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert) ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร (Lane Departure Warning) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Alert) ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและหลัง (Front and Rear Parking Assist) และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) กับฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้จากกุญแจ เพื่อให้ห้องโดยสารมีอุณหภูมิที่เย็นสบายก่อนขึ้นรถ โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
เรื่องและเรียบเรียงโดย นายเต้ย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com