จัดไปให้ชัดว่าใครเจ๋งกว่า Nissan Leaf VS. Hyundai IONIQ รถยนต์เก๋งไฟฟ้าในไทย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 12 ธ.ค. 61 00:00
- 12,411 อ่าน
ถึงแม้ว่าความนิยมในรถไฟฟ้าของประเทศไทยจะยังมีไม่มาก และปัจจุบันจะมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่เป็นรถยนต์แบบไฟฟ้าล้วน EV ที่มีจำหน่ายอยู่ และรุ่นล่าสุดก็เป็น Nissan Leaf ที่เริ่มเรียกแรงกระเพื่อมของกระแสรถยนต์ไฟฟ้าได้บ้าง แต่ นิสสัน ลีฟ เอง ก็ยังไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ดังนั้นการเข้ามาครั้งนี้ จึงต้องมีคู่แข่งทางตรงแบบที่หนีกันไม่ออก นั่นคือ Hyundai IONIQ ที่มีการนำเข้ามา
ราคา
เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงแรก ที่จะเป็นตัวตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ แต่ต้องยอมรับว่าการที่นำเข้ารถมาจำหน่าย จะทำให้ภาษีที่เก็บนั้นสูงลิ่ว มาดูกันว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ มีราคาจำหน่ายเท่าไหร่
ราคาที่กันกว่า 2 แสนบาท อาจจะทำให้หลายคนหนักใจว่าจะเลือกรุ่นที่มีความนิยมมากกว่าอย่าง Nissan Leaf หรือเลือกเอาราคาสบายกระเป๋ากว่าแต่ความนิยมน้อยกว่าอย่าง Hyundai IONIQ ดี
กำลังของมอเตอร์
รถยนต์ไฟฟ้า จะไม่มีเครื่องยนต์เหมือนรถยนต์ทั่วไป แต่จะใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนแทน แต่แน่นอนว่า มอเตอร์ของแต่ละค่ายที่ใส่มาก็แตกต่างกัน มาดูว่า 2 รุ่นนี้ ใส่มอเตอร์มาให้ขนาดไหนกันบ้างครับ
ชัดเจนว่า Nissan Leaf นั้น ให้ขนาดของมอเตอร์ที่กำลังมากกว่า
ขนาดของตัวรถ
รูปทรงของตัวรถอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย โดย Nissan Leaf จะเป็นทรงออกแนว Hatchback แต่ Hyundai IONIQ จะเป็นแบบ Sedan แต่ตัวมิติของตัวรถจะแตกต่างกันมากไหม ลองมาดูกัน
ถ้าความกว้าง Hyundai IONIQ จะกว้างกว่า 30 มม. แต่ความยาวจะสั้นกว่า Nissan Leaf 10 มม. แต่ฐานล้อกลับกว้างเท่ากันอย่างน่าแปลกใจ
ขนาดแบตเตอรี่และระยะทางสูงสุด
แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เรื่องของระยะทางเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มาดูกันว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมีแบตเตอรี่แบบไหน และวิ่งได้ไกลเท่าไหร่ถ้าชาร์จไฟเต็ม
เห็นได้ว่า แม้ Hyundai IONIQ จะให้แบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก แต่ระยะทางที่ได้ กลับแตกต่างกันแค่ 31 กิโลเมตรเท่านั้น
ระบบการชาร์จไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้าจะเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยการเสียบสายชาร์จ โดยแต่ละรุ่นก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกันไป ลองมาดูกันว่าทั้ง Nissan Leaf และ Hyundai IONIQ มีระบบการชาร์จแบบไหน ด้วยระยะเวลาเท่าไหร่กันบ้าง
ด้วยความที่ Hyundai IONIQ มีแบตเตอรี่ที่ขนาดเล็กกว่า จึงทำให้เมื่อชาร์จด้วยกำลังไฟเท่ากัน จะใช้เวลาในการชาร์จที่น้อยกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับการที่ต้องชาร์จไฟบ่อยกว่าเท่านั้นเอง แต่ข้อได้เปรียบก็คือ เต้ารับนั้นเป็นแบบ Type 2 ที่มีความนิยมมากกว่า จึงหาดูชาร์จไฟฟ้าได้ง่ายกว่า แต่ Nissan Leaf ก็แก้เกมด้วยการแถมหัวแปลงมาให้ด้วยซะเลย
ช่วงล่าง
รถยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องมีความนุ่มนวล และทรงตัวได้มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับรถยนต์ทั่วไป มาดูกันว่าทั้ง 2 รุ่น ให้ช่วงล่างมาแบบไหน
ไม่มี Comment เพราะทั้ง 2 รุ่น ให้มาเหมือนกัน ต้องไปลองการขับขี่ด้วยตัวเอง
ระบบเบรกและขนาดยาง
ระบบเบรกและขนาดยาง จะบอกได้ถึงความสวยและสมรรถนะในการขับขี่ ลองมาดูว่า ล้อและเบรกมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 2 รุ่น ให้แบบไหนติดรถมา
Nissan Leaf จะให้ขนาดของยางใหญ่กว่า Hyundai IONIQ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล ส่วนเบรกนั้น ให้มาเหมือนกัน
ระบบความปลอดภัย
รถยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องป้องกันความปลอดภัยให้กับเราได้เหมือนกัน เรามาดูกันว่าทั้ง 2 รุ่น ใส่ระบบความปลอดภัยอะไรมาให้เรากันบ้าง
พอจะเห็นได้ว่า Hyundai IONIQ จะมาด้วยระบบความปลอดภัยที่มากกว่า ทั้งถุงลมนิรภัยที่ให้มากกว่า 1 ลูกตรงหัวเข่าคนขับ และระบบการควบคุมรถขณะขับขี่
ระบบอำนวยความสะดวก
ความสะดวกจากรถยนต์ทั่วไป ก็ต้องมีอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน เราลองมาดูว่า ทั้ง 2 รุ่น ใส่อุปกรณ์อะไรให้เราได้ใช้งานกันบ้าง
ออพชั่นที่ให้มานั้น ถือว่าใกล้เคียงกันมาก แต่การปรับเบาะคนขับนั้น Hyundai IONIQ จะปรับแบบไฟฟ้า แถมพวงมาลัยก็ปรับได้ 4 ทิศทาง แต่อุปกรณ์ที่ Nissan Leaf เหนือกว่าอย่างชัดเจน ก็คือระบบเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ (e-Pedal) ผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วรถยนต์ ได้ในคันเร่งเดียว (1-Pedal) นั่นเอง
การรับประกัน
สิ่งที่คนเป็นห่วงมากที่สุดในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ก็คือเรื่องการรับประกันนั่นเอง จากประสบการณ์ในการเสพข่าว ที่มีเรื่องราคาแบตเตอรี่ที่แสนแพงออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนกลัวว่าจะต้องเจอกับตัวเองบ้าง ทำให้ค่ายรถต้องออกมารับประกันว่า รถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้อย่างสบายใจ ทั้ง 2 ค่ายได้ปล่อยการรับประกันอะไรออกมาบ้าง มาดูกัน
การรับประกันนี้ ถ้ามองเรื่องแบตเตอรี่ ฮุนได อาจจะเหนือว่า นิสสัน เล็กน้อย ด้วยการรับประกันยาวถึง 8 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง แต่เรื่องนี้คงต้องตรวจสอบกันอีกที ว่าเงื่อนไขการรับประกันเป็นอย่างไรบ้าง
ถึงแม้ราคาจะแตกต่างกันถึง 250,000 บาท แต่ทั้ง 2 รุ่น ก็มีคุณสมบัติและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการไปลองนั่ง, ลองขับ และประเมินการใช้งานของตัวเอง น่าจะเป็นการเลือกที่เหมาะที่สุดของแต่ละคนครับ
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com