ประชันเก๋งยอดนิยมของคนไทย Honda Civic FC VS Honda Civic FE 5 ปีผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
- โดย : Autodeft
- 9 ส.ค. 64 00:00
- 30,623 อ่าน
ตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปี ที่ Honda Civic รถเก๋งยอดนิยมที่มีความโดดเด่นทั้งงานดีไซน์ ความสบายและเทคโนโลยี ที่ล้ำหน้าจนครองใจอย่างท่วมท้นจากสาวกทั่วโลก
สำหรับเมืองไทย Honda Civic ได้รู้จักครั้งแรกตั้งแต่เจนที่ 1 ถึงอาจไม่แพร่หลายมากนักเพราะเป็นรถนำเข้า แต่มาดังเปรี้ยงปร้างกับเจนที่ 3 ที่ประกอบไทยเป็นครั้งแรกและก่อตั้ง บ.ฮอนด้า คาร์ส ประเทศไทย จก. ตั้งแต่ปี 1984 จนมี Honda Civic เจนต่อๆมาจำหน่ายไม่ว่าจะเป็น โฉมเตารีด โฉมตาโต โฉมไดแมนชั่น โฉม FD, FB, FC และล่าสุดกับ Honda Civic โฉม FE ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 11 นั่นเอง ครั้งนี้จึงนำ Honda Civic Seadn ทั้ง 2 เจเนอเรชั่นมาเปรียบเทียบกันว่า 5 ปีผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง โดยเป็นการเปรียบเทียบรุ่นท็อปสุด RS Turbo ด้วยกัน สำหรับ Honda Civic Sedan เจนที่แล้วในรหัส FC และเจนใหม่ในรหัส FE เริ่มกันที่
ภายนอก
Honda Civic เจนที่ 10 รหัส FC เปิดตัวที่เมืองไทยเมื่อต้นปี 2016 และเป็นรุ่นแรกของไทยที่มีการย้ายการประกอบไปที่โรงงานแห่งใหม่ที่ จ.ปราจีนบุรี และยังมีการปปรับโฉมอีกครั้งเมื่อปีปลายปี 2018 ในฐานะยนตรกรรมสปอร์ตซีดานไอคอนของเมืองไทยได้อย่างชัดเจน เปลี่ยนไปทั้งหน้าตา ความสปอร์ต ล้ออัลลอยสีดำเข้มขนาด 17 นิ้ว ชุดไฟ LED ทั้งคัน และกระจกโอเปร่าเอกลักษณ์เดียวกับรถยุโรป
ส่วน Honda Civic เจนที่ 11 รหัส FE เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการเปิดตัวเป็นประเทศที่สามต่อจากอเมริกา และ ญี่ปุ่น รูปร่างความหล่อแน่นอนว่าใหม่หมดทั้งคันแต่ก็ยังมีกลิ่นไอของเจนที่แล้วอยู่บ้างโดยเฉพาะกระจกโอเปร่า ออกแบบภายใต้แนวคิด "Exhilarating Civic" ที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่และความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารและยังคงไว้ซึ่งความสปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง โดยออพชั่นทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างตามตารางต่อไปนี้
มิติตัวรถ
จากตารางพบว่า Honda Civic Sedan รหัส FC กับ รหัส FE มีมิติที่แตกต่างกัน เริ่มที่ รหัส FE มีความยาวมากกว่า FC 10 มม. ความกว้างมากกว่ารหัส FC 3 มม. ฐานล้อมากกว่ารหัส FC 35 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้นมากกว่ารหัส FC 1 มม. น้ำหนักรถมากว่ารหัส FC 28 กก. แต่ความสูงน้อยกว่ารหัส FC 1 มม. และความจุถังน้ำมันเท่ากัน
ภายใน
Honda Civic Sedan รหัส FC มีความสะดวกสบายด้วยเบาะที่นั่งตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ผสานความสปอร์ตในทุกรายละเอียด มาพร้อมความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชั่นที่เหนือระดับ อาทิ ระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI สบายด้วยเบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา ฯลฯ
ส่วน Honda Civic Sedan รหัส FE ออกแบบใหม่มหมดภายใต้แนวคิด “Fine Morning” เน้นการสร้างความรู้สึกที่สดชื่นของการเริ่มต้นวันใหมที่มอบความสะดวกสบายทันที ด้วยแผงคอนโซลหน้าดีไซน์เรียบง่าย ช่องแอร์เป็นแนวยาวในช่องคอนโซลกลาง พร้อมความ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card ให้คุณล็อกและปลดล็อกรถได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแค่พกการ์ดไว้กับตัว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา ระบบความบันเทิงแบบจอสัมผัส 9 นิ้ว อยู่ตำแหน่งเหนือคอนโซลหน้า แบบ Advanced Touch รองรับ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri มาพร้อมระบบนำทางเนวิเกเตอร์ มาตรวัดดิจิทัลพร้อมระบบแสดงข้อมูล TFT 10.2 นิ้วการตกแต่งเน้นหรูด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้ และผิวสัมผัสหุ้มหนัง ผสมผสานการตกแต่งสีดำเปียโนแบล็ก ระบบ Push Start และช่องเชื่อมต่อ USB จํานวน 4 ช่อง แต่ว่ามีออพชั่นบางรายการไม่เหมือนกันตามตารางต่อไปนี้
จากตารางจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 รุ่น มีออพชั่นเหมือนๆกันแต่มีความต่างอย่างชัดเจนโดย Honda Civic Sedan รหัส FE มีระบบขาร์จมือถือไร้สาย แต่ รหัส FC ไม่มี จอสัมผัสมีขนาดใหญ่กว่ารหัส FC มีระบบไฟส่องสว่างแผงประตูหน้าและบริเวณเท้า แต่ระบบแอร์ด้านหลังกลับไม่มีให้ทั้ง 2 เจน
ขุมพลัง
จากตารางเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบรหัส L15B ถึงจะเป็นขุมพลังเดียวกันใน Honda Civic Sedan รหัส FC และ รหัส FE แต่สำหรับในรหัส FE มีการพัฒนาให้เรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 5 แรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้น 20 นิวตันเมตร โดยการปรับกำลังอัดลดลงเหลือ 10.3 :1 (เดิม 10.6:1) ส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบและช่วงชักยังเท่าเดิมคือ 73.0 มม. X 89.5 มม. โดยในรหัส FE สามารถเติมน้ำมันได้สูงสุดถึง E85 (รหัส FC เติมน้ำมันได้สูงสุดถึง E20) และยังยกเลิกเครื่องยนต์เบนซิน I-VTEC 1.8 ลิตร ออกจากสาระบบ ส่วนระบบเกียร์ยังคงใช้บริการ เกียร์อัตโนมัติ CVT เช่นเดิม นอกจากนี้โหมดการขับขี่จากเดิมรหัส FC จะมีแค่ ECON Mode - โหมดการขับขี่แบบประหยัดแล้ว พอมาในรหัส FE มีการปรับการทํางานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น และเพิ่มมาอีก 2 โหมด คือ Normal Mode - โหมดการขับขี่แบบปกติ สําหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป และ Sport Mode – โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่การทํางานของเครื่องยนต์ตอบสนอง การเร่งได้ดียิ่งขึ้นเพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ
ช่วงล่าง
Honda Civic Sedan รหัส FC และ รหัส FE ยังใช้ช่วงล่างเหมือนกัน พร้อมระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เหมือนกัน ส่วนล้อและยางยังใช้ขนาดเท่ากันคือ 17 นิ้ว
ระบบความปลอดภัย
เมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่าทาง Honda Civic Sedan รหัส FC และ รหัส FE มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานเท่าๆกัน รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นเทพ Honda Sensing ที่ทํางานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่พอมาในรหัส FE มีการเพิ่มมาอีก 1 ฟังก์ชั่นนั่นคือ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้าและยังเพิ่ม ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front Passenger and Rear Seat Belt Reminder) ส่วนระบบมองภาพในขณะถอยจอดหรือเดินหน้ายังเป็นแบบกล้องมองหลังและระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ซึ่งน่าจะเปลี่ยนมาใช้ระบบแสดงมุมอับสายตาหรือ BSM และระบบกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศาให้จะดีกว่า
รายละเอียดสีภายนอกรถและราคา
ด้วยส่วนต่าง 19,100 บาท กับเก๋งยอดนิยมพลัง Turbo ที่ให้กำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ออพชั่นข้าวของที่ให้มาใกล้เคียงกันถึงแม้จะต่างกันที่ดีไซน์การออกแบบและตัวตนที่ต่างกันย่อมทำให้สาวกชาวไทยจะตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเก๋งรุ่นท็อป RS Turbo สำหรับ Honda Civic Sedan รหัส FC และ รหัส FE แต่ถ้าสาวกยังชอบความเฟี้ยวความโฉบเฉี่ยวของรหัส FC ยังพอที่จะมีรถเหลือในสต็อกอยู่บ้างตามโชว์รูมแต่ถ้าชอบของใหม่ก็ต้องเจนใหม่ รหัส FE ไปเลย
แต่สุดท้าย Honda Civic Sedan รหัส FC และ รหัส FE จะเป็นคนที่ใช่ในสายตาคุณหรือไม่งานนี้เลือกกันตามอัธยาศัย แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ การทดลองขับเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ว่ารถที่คุณลองขับนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด
เรื่องโดย นายเต้ย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com