ทำไม Nissan Terra ถึงเป็นรถที่เเหมาะสำหรับครอบครัว?
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 31 ม.ค. 65 00:00
- 8,080 อ่าน
ที่ผ่านมา ยอมรับเลยว่าการทดสอบรถยนต์ในแต่ละครั้งโดยเฉพาะการทดสอบแบบกลุ่ม ก็จะเป็นการทดสอบด้วยตัวเองคนเดียว จึงเอาความเห็นในตอนขับขี่แบบคนเดียวมาบรรยายเสียเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่เวลาเอารถมาทดสอบเดี่ยว ก็อาจจะมีการถามความเห็นคนที่บ้านว่ารถคันนี้เป็นอย่างไรแล้วเอามาใส่ประกอบบ้างเป็นครั้งคราวไป
รอบนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษจริง ๆ ที่ทางนิสสัน ได้ทำการเปิดโอกาสให้พวกเราที่เป็นสื่อมวลชนทางด้านยานยนต์ได้ชวนเอาครอบครัวร่วมเดินทางไปทดสอบ Nissan Terra ไปพร้อมกัน โดยเส้นทาวการเดินทางจะเริ่มจากกรุงเทพมหานคร แล้วไปจบที่เขาใหญ่ ผมเลยได้พาทั้งภรรยาและลูกอีก 2 คน คนโตอายุจะครบ 16 ปีในปีนี้ และคนเล็กอายุ 9 ขวบ และเมื่อเดินทางจบลง ผมก็สรุปให้ได้เลยว่า เพราะอะไรถึงทำให้รถ PPV จากค่ายนิสสันคันนี้ ถึงเหมาะกับการใช้งานเพื่อครอบครัวจริง ๆ
ขนาดห้องโดยสารกว้างใหญ่
แน่นอนว่า ในรถรูปแบบอเนกประสงค์ที่ขายกันอยู่ในปัจจุบัน รถในกลุ่ม PPV เป็นรถที่มีขนาดของห้องโดยสารใหญ่มากอยู่แล้ว ดังนั้น Nissan Terra ที่เป็นรถในกลุ่มนี้ ใช้พื้นฐานมาจากรถกระบะอย่าง Nissan Navara ก็จึงมีขนาดใหญ่มากเช่นกัน ด้วยความเป็นรถ 3 แถว 7 ที่นั่ง เบาะแถว 2 และแถว 3 สามารถพับเรียบได้ จึงเปิดโอกาสให้คนที่มีครอบครัวอย่างผมสามารถเพิ่มพื้นที่ในการบรรจุสัมภาระได้อย่างสบาย แต่การเดินทางในรอบนี้ ไม่จำเป็นเลยครับ เพราะสัมภาระที่เราเอาไปในรอบนี้ มีกระเป๋า 22 นิ้วรวม 3 ใบ กระเป๋าเป้อีก 1 แถมด้วยถุงนู่นนั่นนี่อีกประมาณหนึ่งตามประสาของคนมีตรอบครัว ลำพังแค่พื้นที่ด้านหลังอย่าวเดียว เรียงให้ดีก็ใส่ของได้จนครบแล้ว เพียงแค่จัดพนักพิงแถวสุดท้ายให้ตรงขึ้นหน่อยเท่านั้น เบาะแถวสุดท้ายเลยกลายเป็นที่นอนเล่นของเจ้าตัวเล็กไปได้เลย แถมนางยังมีโอกาสปีนข้ามไปมาได้อย่างสบายใจอีกด้วย เพราะพื้นที่ของรถมันเหลือเฟือให้เด็ก 9 ขวบซนได้ประมาณหนึ่ง พ่อกับแม่น่ะสบายใจ แต่ดูแล้วเจ้าตัวโตกลับไม่ค่อยเอ็นจอย เพราะต้องมาคอยระวังตัวไม่ให้น้องเอาหัวเอาเท้ามากระแทกหัวตัวเองนั่นเอง ฮ่า ๆ ๆ
ช่วงล่างนั่งสบาย
ถึงแม้ว่า Nissan Terra จะเป็นรถอเนกประสงค์ PPV ที่ใช้พื้นฐานมาจากรถกระบะ แต่ว่าช่วงล่างนั้นไม่ได้เป็นชุดเดียวกันเลย ช่วงล่างด้านหน้านั้นใช้แบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหบังใช้แบบ 5 ลิงก์ คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง เลยทำให้รถใหม่คันนี้ซึมซับแรงกระแทกได้ดีกว่า คนนั่งทุกตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นแถวแรกจนถึงแถวสุดท้าย จึงได้รับความรู้สึกนุ่มนวลในการขับขี่ทั้งช่วงความเร็วต่ำและสูง ซึ่งการเดินทางรอบนี้บางช่วงที่ขับระดับความเร็ว 120 กม./ชม. ยังถูกภรรยาทักเลยว่าขับช้าไปหรือเปล่า เดี๋ยวจะไปไม่ทันที่เขานัดนะ พอบอกไปว่านี่ขับ 120 แล้วนะ เขายังตกใจเลย บอกว่าความรู้สึกเหมือนนั่งรถตัวเองแถว 80-90 เอง ถือว่าผ่าน และต้องบอกเพิ่มเติมว่า ที่รู้สึกว่ารถวิ่งไม่เร็ว ก็เป็นเพราะกระจก 3 บานในแถวหน้า คือกระจกบังลมหน้า และกระจกหน้าต่างของประตูหน้าทั้งซ้ายและขวา ใช้เป็นกระจก Acoustic Glass ที่มีคุณสมบัติในการเก็บเสียงที่ดีกว่ากระจกทั่วไป จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความเงียบจากเสียงภายนอก แต่เสียงภายในนี่เจี๊ยวจ๊าวมากเลย
การเดินทางรอบนี้ ได้มีการเดินทางไปชมกระทิงที่แถววังน้ำเขียวด้วย เส้นทางที่เราเดินทางไปเป็นการวิ่งมาจากเขาใหญ่ ถ้าใครเคยไปคงทราบดีว่าเส้นนี้ค่อนข้างเล็ก เป็นแบบ 2 เลนวิ่งสวน และมีโค้งเยอะแยะมากมาย แต่ด้วยความที่รถ Nissan Terra ถูกเซ็ตช่วงล่างมาอย่างดี ผมในฐานะผู้ขับขี่ เลยมั่นใจในการเข้าทุกโค้ง ไม่ต้องห่วงว่ารถจะเข้าโค้งได้ไหม หรือคนในรถจะนั่งแล้วเวียนหัวจนเมารถหรือเปล่า ผมเลยสามารถขับได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่ประมาท ยังคงขับตามความเร็วที่เหมาะสม และแซงในจังหวะที่ปลอดภัยเท่านั้น ยังไงเราก็ต้องรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมทางด้วยใช่ไหมครับ
เครื่องยนต์ทรงพลัง
อาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการเป็นรถครอบครัวสักเท่าไหร่ แต่ผมจะบอกว่า กำลังของเครื่องยนต์ก็สำคัญเช่นกันครับ ด้วยที่ว่า Nissan Terra ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้กำลังได้สูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด แถมรอบนี้ทางนิสสันมีการปรับอัตราเร่งช่วงต้นให้ตอบสนองได้เร็วขึ้น รอบนี้จึงเห็นได้ชัดเลยว่า เวลาที่เราต้องการเร่งแซงในช่วงเลนสวน แค่กดคันเร่งให้ลึกหน่อย กำลังเครื่องก็มาให้เต็ม แซงขึ้นไปได้อย่างไม่ต้องลุ้นมาก เพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้นได้ด้วย ลองนึกถึงเวลาที่เราต้องการแซงแต่กำลังเครื่องไม่มาตอนที่เรากำลังกดคันเร่งดูสิครับ มันต้องลุ้นและเสี่ยงขนาดไหน เอาเป็นว่ามันก็เหมือนการเปิดโอกาสให้เราหาจังหวะแซงให้มากขึ้นนั่นเอง
เท่านั้นยังไม่พอครับ ด้วยความที่รถที่เราใช้เพื่อเดินทางรอบนี้เป็น Nissan Terra 2.3 VL 7AT 4WD ที่เราสามารถเอาไปลุยกับเส้นทางใหม่ ๆ ได้มากกว่า อยากเอาขึ้นเขา ลุยป่า ลุยลำธาร ก็ทำได้อย่างสบายใจ สามารถพาเด็ก ๆ ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้เลย เพราะรถคันนี้มีกำลังของเครื่องยนต์ที่เหลือเฟือ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว รับรองว่า ลุยได้ถึงไหนถึงกัน
ความบันเทิงพร้อม
Nissan Terra รอบนี้กลับมาด้วยการเอาใจความเป็นครอบครัวอย่างเต็มที่ ด้วยการใส่ความบันเทิงเอาใจได้ทั้งคนขับและผู้โดยสารด้านหลัง ทั้งเครื่องเสียงระดับดี ทั้งชุดเครื่องเสียงจาก Bose ที่มาพร้อมลำโพงอีก 8 ตำแหน่ง แถมยังเพิ่ม Amplifier มาช่วยเร่งและปรับเสียงให้ไพเราะ กระหึ่มมากกว่าเดิมได้อีกด้วย ตอนฟังครั้งแรกผมนี่นึกว่ารอบนี้รถใส่ Sub-Woofer มาให้ด้วยนะ แต่ถามแล้วเขาบอกว่าไม่มี ใส่มาให้แต่ตัวแอมป์เฉย ๆ ผมนี่อึ้งเลย เสียงมันเพราะมาก และเสียงเบสนี่มาแบบเป็นลูกเลย ใครที่หูเทพหน่อย ผมว่าจับยัดซับไปอีกลูกเดียวจบเลย
การควบคุมเครื่องเสียงนั้น ผ่านทางหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้งผ่านสาย USB และระบบไร้สาย Bluetooth และที่สำคัญ คือการรองรับระบบ Apple CarPlay ทั้งแบบมีสายและไร้สาย ใต้คอนโซลก็มีช่องวางโทรศัพท์ให้ชาร์จไฟได้แบบ Wireless Charger สะดวกสุด ๆ
สุดท้ายคือหน้าจอกลางรถขนาด 11 นิ้ว ที่รอบนี้ทางนิสสันบอกว่า สำหรับลูกค้าทุกคนที่จับจอง Nissan Terra ในรุ่นที่มีหน้าจอ (ไม่มีรุ่นเดียวคือ2.3E) จะมีแถม Mi Stick TV มาให้ด้วย (ถือเป็นของแถมนะ ต้องสอบถามทางเซลส์ดู) เอามาเสียบทิ้งไว้ โดยจะมีช่องให้เสียบอยู่ข้างคนนั่งแถว 3 เท่านี้หน้าจอก็จะถูกเปลี่ยนเป็น Android TV ได้เลย จะดู Netflix, Disney+, VIU, YouTube ก็ได้ตามสบายเลย รอบนี้เลยเกิดศึกขึ้นระหว่างพี่-น้องเล็กน้อย เพราะต่างก็อยากดูในสิ่งที่ตัวเองชอบ สุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่าจะดูเรื่องเดียวกัน จบปัญหากันไป
ถึงตรงนี้อาจมีบางคนตั้งคำถามว่า แล้วเวลาเด็ก ๆ ดูหนังกัน แล้วคนขับจะมองกระจกหลังยังไง ไม่ยากเลยครับ เพราะ Nissan Terra มีกระจกมองหลังแบบ Intelligent Rear View Monitor (IRVM) ที่ทำหน้าที่ได้ทั้งกระจกสะท้อนหรือเป้นหน้าจอที่แสดงภาพจากกล้องท้ายรถมาให้ดูได้เลย ดังนั้นเมื่อเราเปิดใช้งาน เราก็ไม่ต้องห่วงว่าหน้าจอจะบังไม่ให้เราเห็นรถที่ตามมาด้านหลัง เพราะกล้องด้านท้ายจะส่งภาพมาที่กระจกมองหลังโดยตรงได้เลย
ระบบความปลอดภัยรอบคัน
Nissan Terra ถือว่าเป้นรถที่ให้ระบบความปลอดภัยมาอย่างเต็มที่ ถึงขนาดเรียกระบบทั้งหมดนี้ว่าเป็น 360 Safety Shield กันเลยทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่าให้มาเยอะมากจริง ๆ อย่างพวกระบบป้องกันการชน ทั้งเทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ IFCW ที่ไม่ได้ตรวจจับเฉพาะวัตถุที่เป็นรถด้านหน้าเราเท่านั้น แต่ยังตรวจจับข้ามไปอีก 1 คัน ประมาณว่ารถที่ห่างเราไป 2 คันเบรกแล้ว แต่คันหน้าเรายังไม่เบรก ระบบก็เตือนให้เราต้องเบรกแล้ว ลดความเสี่ยงไปได้มากกว่าเดิมอีก 1 ระดับ แต่ถ้าไม่เบรก รถก็มีระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ IEB มาให้ด้วยอีก ลดความเสี่ยงต่อการชนได้อีกเยอะเลย
ระบบช่วยเตือนอื่น ๆ ก็มีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW, ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา BSM, ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย RCTA, กล้องมองรอบคันแบบ Intelligent Around View Monitor ที่ทำงานร่วมกับระบบ Moving Object Detection (MOD) ที่คอยตรวจจับวัตถุรอบคันผ่านเซ็นเซอร์ 8 จุด ช่วยให้การขยับเดินหน้าหรือถอยหลังจะมีความปลอดภัยมากขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ABS, EBD, ระบบควบคมการทรงตัว VDC, ระบบป้องกับล้อหมุนฟรี TCS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบช่วยควบคุมความเร็วลงทางลาดชัน ก็มีมาให้ครบ รวมทั้งถุงลมนิรภัยรวม 6 ตำแหน่งอีกด้วย นี่ยังไม่รวมที่รอบนี้ นิสสัน ใส่ดิสก์เบรกหลังมาให้แล้วอีกด้วยนะ ใส่มาเป็นขนาด 330 มม. (น้ำตาจะไหล) และแน่นอนว่าด้านหน้าก็เป็นดิสก์เบรกเช่นกัน แต่รอบนี้ใส่ขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม ขนาด 296 มม. ให้กลายเป็นขนาด 350 มม. มั่นใจในการเบรกได้มากขึ้นแน่นอน
รถที่เราเดินทางไปด้วยรอบนี้ ย้ำอีกทีว่าเป็นตัวท็อป Nissan Terra 2.3 VL 4WD 7AT ที่ตั้งราคาเอาไว้ที่ 1,499,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่คุ้มมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา และจากที่ได้เอามาลองมาขับเพื่อบริการครอบครัวแล้ว ก็ถือว่าเป็นรถที่เหมาะสำหรับการเดินทางแบบครอบครัวจริง ๆ ดังนั้นใครที่มีครอบครัวอยู่ แล้วกำลังมองหารถใหม่ที่ราคาไม่ได้แรงทะลุโลก ผมว่า Nissan Terra ก็เป้นอีก 1 ตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมากจริง ๆ ครับ
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com