บุกทดสอบรถที่ GM Holden Proving Ground พร้อมเยี่ยมชมแผนกออกแบบของ Holden ที่ออสเตรเลีย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 26 ก.ย. 61 00:00
- 5,979 อ่าน
GM หรือเรียกแบบเต็มว่า General Motors ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากทางฝั่งอเมริกา แต่ก็มีการแตกสาขาออกไปทั่วโลก โดยในประเทศไทยนั้น มาทำตลาดด้วยชื่อของบริษัท เชฟโรเลต เซลล์ ประเทศไทย จำกัด แต่ก็มีชื่อบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัดด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ประมาณกลางเดือนที่แล้ว ได้รับโทรศัพท์จากทาง PR ของ Chevrolet มาเชิญให้เดินทางไปประเทศออสเตรเลียด้วยกัน โดยยังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก บอกแต่เพียงว่า ไปทดสอบรถยนต์ด้วยกัน หลังจากดูคิวตัวเองว่าว่างในช่วงนั้นพอดี จึงตัดสินใจตอบรับการเดินทางครั้งนี้ทันที แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ทางเชฟโรเลตจะให้เราทดสอบตัวไหน เพราะข่าวว่าจะออกตัวใหม่ก็ยังไม่มี แต่ว่าโอกาสไปทดสอบไกลถึงดินแดน Down under ก็ไม่ได้มีบ่อย จึงได้เฝ้าคอยการเดินทางครั้งนี้ด้วยความตื่นเต้น
ต้องเล่า Background ของ GM ในออสเตรเลียก่อนว่า ที่นั่นจะใช้แบรนด์ Holden ซึ่งเป็นยี่ห้อในเครือนี้เช่นกันเป็นตัวนำ (ควบรวมกันตั้งแต่ 1931) ซึ่งเป็นที่นิยมมากในแดนจิงโจ้ ดังนั้นรถกระบะอย่าง Chevrolet Colorado เมื่อมาขายที่นี่ จึงจะต้องประทับตราสิงโต Holden ทั้งหมด แต่สุดท้ายแล้ว โรงงานผลิตก็มาจากที่บ้านเราใน จ.ระยอง นั่นเอง
ก่อนวันเดินทางจริง จึงได้รับหมายกำหนดการเพื่อเอามาดูอย่างคร่าวๆก่อน โดยการเดินทางครั้งนี้มีกิจกรรมรอเราอยู่หลายอย่างเลย โดยเริ่มต้นจากการไปเยือนสนามทดสอบรถยนต์อย่างเป็นทางการของ GM ที่เรียกว่า GM Holden Proving Ground แล้วไปเยือนสำนักงานใหญ่ของ Holden ในเมืองเมลเบิร์น เพื่อเข้าไปดูแผนกการออกแบบหรือ Design Studio ซึ่งเป็น 1 ศูนย์กลางการออกแบบของยานยนต์ค่ายนี้เลย ต้องบอกว่า โดยปกติแล้วทั้ง 2 ส่วนนี้ ไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามปกติ ต้องมีการรับเชิญเป็นการพิเศษ เพราะด้านในทั้ง 2 แห่งนั้น ล้วนมีความลับซ่อนอยู่มากมาย ประหนึ่งกับเป็นสำนักงานใหญ่ CIA เลยก็ว่าได้ หลังจากการไปลุยทั้ง 2 แห่งนี้แล้ว ก็ค่อยไปขับรถทดสอบจริงกันกลางทะเลทราย ซึ่งจะได้พูดถึงในตอนต่อไปครับ
หลังจากการเดินทางที่เริ่มต้นจากกรุงเทพ บินลัดฟ้ามา 8 ชั่วโมงกว่า จนมาถึงที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย เราก็ต้องเดินทางต่อไปที่สนาม GM Holden Proving Ground ที่อยู่ห่างออกไปราว 100 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง (ไม่ต้องสงสัยครับว่าทำไมนาน กฎหมายที่นี่ขับได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.) ที่นี่จะมีทั้งสนามทดสอบรถยนต์แบบครบวงจร ทั้งทดสอบความเร็ว, ทดสอบการเข้าโค้ง, ทดสอบการลุย หรือสารพัดการทดสอบที่ครบครันทุกรูปแบบ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีห้องแล็บในการทดสอบการปล่อยมลพิษของตัวรถยนต์ ที่เรียกว่าสามารถรองรับได้จนถึงมาตรฐาน Euro6 ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบันอีกด้วย
เริ่มต้นเมื่อมาถึง สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ การต้องปิดสติ๊กเกอร์ที่กล้องบนโทรศัพท์ทั้งหมด แม้กระทั่งบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็ต้องปิดถ้าหากจะนำเข้าไป ส่วนกล้องถ่ายรูปหรือแม้กระทั่ง GoPro ก็ถูกยึดเอาไว้ที่หน้าป้อมยามทางเข้าทั้งหมด ห้ามเอาเข้าไปเด็ดขาด อย่างที่บอกไปแล้วว่าข้างในนั้นล้วนแต่เป็นความลับทั้งหมด แต่ทาง GM ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เพราะได้มีการจัดเอาตากล้องมาให้ทั้งแบบภาพนิ่งและวีดีโอ ถ่ายให้เราแบบพอสมควร แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ พอไม่ได้ถ่ายเอง เราก็จะไม่ได้รูปตามอย่างที่ใจเราต้องการอย่างเต็มที่ เอาเป็นว่าได้เท่าไหร่ ก็เอาเท่านั้นแล้วกันครับ
ในทริปนี้ นอกจากจะมีสื่อมวลชนจากประเทศไทยแล้ว ยังมีจากเวียดนามและฟิลิปปินส์มาร่วมแจมกับพวกเราด้วย รวมทั้งทริปก็จะมีราว 20 คนได้ เมื่อไปถึงก็ถูกจับมารวมกันเพื่อฟังบรีฟคร่าว ๆ ของวันนี้ก่อน อย่างแรกที่ถูกบอกก่อนเลยก็คือเรื่องรักษาความลับ ส่วนไหนพูดได้บ้าง พูดไม่ได้บ้าง เอาเป็นว่า ที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ คือได้รับการยืนยันแล้วว่า เป็นข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้ ปลอดภัยแน่นอน (สำหรับผมนะ) จากนั้นก็เริ่มเล่าให้ฟังประวัติคร่าว ๆ ของสนามแห่งนี้ว่า เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำอะไรบ้าง
ตัวสนามแห่งนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่า มีถนนสำหรับการทดสอบรถยนต์ทุกรูปแบบ โดยมีเนื้อที่ราว 5,500 ไร่ เส้นทางประกอบด้วย ถนนแบบวงกลมยาวประมาณ 4.7 กิโลเมตร เอียงเป็นองศาที่รองรับการวิ่งความเร็วสูงได้อย่างปลอดภัย (ใครเคยดู Nascar คงจะคุ้นกันดี), สนามทดสอบการขับขี่และการควบคุมพวงมาลัย ระยะทาง 4.0 กิโลเมตร พร้อมการข้ามรางรถไฟและรถราง ทางโค้ง และพื้นผิวถนนที่หลากหลาย, สนาม Off-road และพื้นที่โล่งตรงกลางแบบกว้างขวางเพื่อจัดวางการทดสอบแบบอื่นได้อย่างอิสระ รวมแล้วมีถนนที่ใช้ทดสอบรถยนต์ได้รวม 44 กิโลเมตร ซึ่งวันนี้เราจะได้สัมผัสกันเกือบทุกอย่างเลย โดยที่ตั้งนั้น อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า Wild Life หมายถึงว่าถ้ามีจังหวะดี ๆ เราอาจจะได้เห็นจิงโจ้, วัลลาบี้ (คล้ายจิงโจ้แต่ตัวเล็กกว่า), กวาง, วอมแบต, ตัวตุ่น หรือแม้กระทั่งงูออกมาให้เราเห็นได้ตลอดเวลา
หลังจากการรับบรีฟเรียบร้อย เราก็ถูกจัดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม แยกกันไปแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยจะได้เริ่มต้นสัมผัส Performance แบบทาง On road ของรถยนต์ค่ายนี้กันก่อน ผมได้เริ่มการทดสอบสถานี Motorkhana ก่อน โดยรถยนต์ที่ทำการทดสอบนั้น จะเป็นรถที่เราไม่คุ้นตาคุ้นมืออย่าง Holden Commodore รถซีดานสุดหรู ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.6 ลิตร V6 315 แรงม้า แรงบิด 381 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Adaptive AWD เริ่มการทดสอบด้วยการขับขี่เข้าฐาน Slalom ความเร็วประมาณ 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนจะเข้าไปฐาน Lane change คือเข้าไปแล้วหักขวา ก่อนที่จะหักซ้ายอีกทันที, Slalom อีก 1 ชุด, เข้าโค้งกลับรถทางแคบ ก่อนจะย้อนกลับมาทางเก่า เป็นอันจบ 1 รอบ หลังจากการได้ขับเข้าฐานไป 2 รอบ ต้องชมเลยว่า Holden Commodore นอกจากหรูหรา นั่งสบายแล้ว (ข้างในใหญ่มาก) ช่วงล่างนี่นิ่งมาก ขนาดใส่เข้าไปในโค้งเต็มที่ เข้าสลาลมก็ไม่ใช่ว่าจะช้า แต่รถทรงตัวดีมาก ไม่มีอาการท้ายออกทำให้รถคุมยาก หรือมีอาการเหวี่ยงแบบน่ากลัวที่ด้านหลัง คนขับควบคุมได้อย่างสบาย พวงมาลัยแม่นยำมาก เรื่องการทรงตัวยอดเยี่ยมมาก นั่งก็นุ่มสบาย ส่วนเครื่องยนต์ ช่วงออกตัวออกจะอืดเล็กน้อย แต่พอเริ่มขยับตัวได้ ก็ไหลไปได้เลย ตามเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ V 6 จริง ๆ
จบ Station แรก ก็มาต่อกันด้วยการทดลองขับ HSV Colorado Sportscat+ ซึ่งเป็นผลงานจากสำนักแต่ง HSV หรือ Holden Special Vehicle ที่จะทำรุ่นพิเศษออกมาเพื่อเอาใจขาซิ่งนั่นเอง โดยนำเอากระบะรุ่นปกติมาตกแต่งใหม่เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าแบบใหม่, ชุดตกแต่งรอบคัน, ฝาท้ายปิดอย่างเท่ห์ แถมโรลบาร์ด้านท้ายก็สวยงดงาม แต่งกับแบบสไตล์สปอร์ตขาลุย เครื่องยนต์ถึงแม้จะใช้ตัวเดียวกันกับตัว Colorado ปกติ นั่นคือดีเซล 2.8 ลิตร 4 สูบ Duramax 2 พลัง 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ใช้ช่วงล่าง SupaShock ชุดเดียวกับที่ใช้ในสนามแข่ง และอื่น ๆ อีกมากมาย (เอาไว้มาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกรอบ) โดยเส้นทางที่ได้ทดสอบก็คือรอบเล็กระยะทาง 4 กิโลเมตร ที่มีทั้งทางตรงและทางโค้งเล็กและโค้งใหญ่ผสมกันไป หลังจากขึ้นไปนั่งแล้ว ก็เป็นภาพลักษณ์ที่คุ้นเคยอย่างดีจาก Chevrolet Colorado ที่เมืองไทย (ไม่แปลกหรอก เพราะผลิตที่เดียวกันคือจากเมืองไทย) ทุกอย่างก็คุ้นมืออยู่แล้ว จากนั้นก็ขับเคลื่อนออกไปเข้าสู่เส้นทางทดสอบ พอเข้าได้ก็กดลองดูเลยครับ ความดีงามของเครื่องยนต์ Duramax 2 ระดับ 200 แรงม้านั้น มันตอบสนองดีกว่าเครื่อง 2.5 ในเมืองไทยแบบสัมผัสได้เล็กน้อย ออกตัวได้ไวกว่า ปลายไหลดีกว่า ส่วนเรื่องการเข้าโค้งนั้น โอ้โห ดีกว่าอย่างเห็นได้พอตัวเลย การเข้าโค้งนั้นแม่นยำ การโยนตัวนั้นแทบไม่เจอเลย ถึงแม้จะเป็นรถกระบะตัวสูงโย่งก็ตาม ขนาดตัวปกติที่เคยทดสอบมันก็ดีอยู่แล้ว ตัวนี้ดีงามขึ้นไปกว่าเดิมอีก ตัวนี้จัดทดลองขับไป 2 รอบสนาม เสียดายที่ไม่ได้ทดสอบแบบ Off-Road ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้จะเป็นระยะทางไม่มาก กับเวลาไม่นาน แต่บอกเลยว่า เริ่มหลงรักเจ้าเหมียวขาลุยตัวนี้เข้าซะแล้ว อยากให้มีการเอาเข้ามาขายในเมืองไทยบ้างเลย
ต่อมากับการทดสอบ (นั่ง) บนตัวแข่ง Acdelco Colorado Superute รถกระบะตัวแต่งสุดแรง สำหรับนำไปใช้ในการแข่งขัน SuperUtes series โดยนักแข่งชื่อว่า Tomas Gasperak ที่มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น (เราอายุเท่านี้ ยังนั่งอ่านการ์ตูน ทำแต่เรื่องไร้สาระอยู่เลย) แต่วันนี้น้องไม่ได้มา เพราะมีติดการแข่งขันที่ Adelaide ส่งคนอื่นมาเป็นสารถีชื่อ Lee Holdsworth นักแข่งจากทีม Charlie Schwerkolt Racing ขับรถตัวแรงคันนี้ไปรอบสนามให้เราตื่นเต้นแทน โดยกระบะคันนี้ ใช้เครื่องยนต์ 2.8 ลิตรเหมือนเดิม แต่มีการโมดิฟายกันใหม่ ที่เขาเรียกว่า Turbo Diesel Engine Motec ECU with Supercars engine parity program จนได้ความแรงระดับ 340 แรงม้า แรงบิด 677 นิวตันเมตร ใช้เกียร์ธรรมดาแบบ Tremec/ TR-6060 ช่วงล่างทั้งหน้าและหลังใช้ของ SupaShock ทั้งชุด และอื่น ๆ อีกมากมาย สาธยายไม่หมด เอาเป็นว่า ใส่หมวกกันน๊อคแล้วขึ้นไปนั่งเลยละกัน ก็ตามสูตรของรถแข่ง ในรถก็จะมีโครงเหล็กป้องกันตัวห้องโดยสารไว้ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ถอดออกหมด เหลือแต่หน้าจออะไรก็ไม่รู้ บอกสถานะของรถยนต์เต็มไปหมด เบาะ Bucket Seat พร้อมเข็มขัดนิรภัย ทุกอย่างพร้อมแล้วก็ไปได้เลย ช่วงที่คุณพี่ Lee ออกตัว ก็ยังเดินรอบเบา ๆ อยู่ แต่พอเข้าสู่เส้นทางได้เท่านั้นแหละ พี่แกอัดซะหลังติดเบาะเลย (จริง ๆ ก็ติดอยู่แล้วนะ) กดปรู๊ด ๆ ๆ ขึ้นไปซะเกือบ 200 เข้าโค้งทีนี่หัวใจจะวาย (แต่มันโคตร) นอกจากความแรงสะใจแล้ว สิ่งที่แปลกใจมากก็คือ ช่วงล่างของรถแข่งนั้น เราก็คิดว่ามันจะกระเด้งกระดอนอย่างเต็มที่ เพราะทีมน่าจะเซ็ตให้แข็งเพื่อให้การเกาะถนนทำได้ดีมากขึ้น แต่กับคันนี้ไม่ใช่เลยครับ มันแข็งกว่าตัว HSV Colorado Sportscat+ เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ได้นั่งแล้วกระเด้งกระดอนจนทำให้ท้องไส้ไปกองรวมกันสักเท่าไหร่ จบ 1 รอบไปอย่างสวยงาม ถ้าไม่เกรงใจ จะขอไปกดเองเต็ม ๆ ซักรอบด้วยตัวเองเลย
จบไปแล้วกับคอร์สแรก สนุกกันไปถ้วนหน้า สถานีต่อไปนั้น ทีมไทยได้คิวเข้าไปเยี่ยมชมห้องแล็บเพื่อทำการทดสอบ Emission Test ซึ่งก็อีกเช่นกัน ห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด โดยแล็บในการทดสอบนี้ เมื่อเข้าไปแล้ว ตัวอุณหภูมิในห้องใหญ่ ๆ มากนี้ จะถูกควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ราว 24 องศาเซียลเซียสอยู่ตลอดเวลา โดยเราได้ไปเริ่มดูสถานีทดสอบการปล่อยไอเสียก่อนเป็นอย่างแรก จุดนี้จะมีทั้งหมด 3 สถานี ได้รับคำอธิบายมาว่า มี 2 สถานีที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้สามารถทดสอบมาตรฐานระดับ EURO6 ที่เป็นมาตรฐานสูงสุดได้ และรองรับรถยนต์ได้ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ มีเป็นเหมือนแท่นไดโน่ให้รถล้อหมุนไปบนแท่นหมุนได้ และที่ปลายท่อไอเสียจะมีการเสียบท่อเพื่อดักไอเสียที่ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด ไปเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เพื่อหาก๊าซต่าง ๆ ที่ตัวรถปล่อยออกมาว่ามีอะไรบ้าง เป็นจำนวนเท่าไหร่ ก่อนที่จะส่งค่าทั้งหมดไปที่หน้าจอต่อไป ส่วนอีก 1 สถานีนั้น รองรับได้แค่ระดับ EURO4 และรองรับได้แต่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงให้กลายเป็น EURO6 เร็ว ๆ นี้ ซึ่งรถที่จะเริ่มมีการผลิตจริงทุกคัน จะต้องถูกส่งมาทดสอบที่นี่ก่อนทุกคัน เพื่อให้ได้มาตรฐานการปล่อยไอเสียตามที่ประเทศนั้น ๆ กำหนดเอาไว้
ส่วนสถานีต่อมานั้นน่าสนใจมาก เป็นการทดสอบการปล่อยไอระเหยทั้งหมดที่ตัวรถจะปล่อยออกมา โดยห้องนี้จะเป็นห้องปิดตายที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ มีการเติมน้ำมันให้เต็มถัง แล้วนำเข้าไปจอดในห้องนี้ จากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ ตั้งแต่ประมาณ 24 องศา จนไปถึง 30 กว่าองศา ในระยะเวลาที่กำหนด อาจจะ 24, 48,72 ชั่วโมงก็ตาม จากนั้นก็ดูค่าต่าง ๆ ที่ตัวรถมีการปล่อยออกมา ซึ่งอาจจะมาจากการระเหยจากตัวน้ำมัน, การปล่อยสารออกมาจากชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในตัวรถเป็นต้น ถ้าเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ แปลว่ารถคันนั้นใช้ไม่ได้ ต้องเอากลับไปปรับปรุงใหม่ แล้วค่อยเอากลับมาทดสอบใหม่อีกครั้ง จนกว่าจะไม่เกินค่ามาตรฐาน
และสถานีต่อมาก็คือ การทดสอบรถยนต์ในการใช้งานบนอุณหภูมิที่สุดขั้ว ตั้งแต่เย็นที่สุด -40 องศาเซียลเซียส จนไปถึง 50 องศาเซียลเซียส แล้วดูว่ารถยนต์ทำงานในอุณหภูมินั้น ๆ จะปล่อยไอเสียอย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า ปกติแล้วการทดสอบเพื่อออกใบรับรองจริง จะใช้อุณหภูมระหว่าง -7 ถึง 40 องศาเซียลเซียสเท่านั้น แต่ที่นี่จะทดสอบให้เกินเอาไว้ก่อน จะได้ค่าที่เกินกว่ามาตรฐาน ผลการทดสอบจริงจะได้ออกมาดีเลย
นอกจากส่วนการทดสอบการปล่อยไอเสียแล้ว ที่นี่ยังมีการทดสอบอีกมากมาย อาทิ ทดสอบระบบอินโฟเทนเม้นสำหรับออสเตรเลีย, ทดสอบระบบแอคทีฟเซฟตี้และเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ภายใต้สภาพแวดล้อมของออสเตรเลีย, เตรียมพร้อมและแนะนำรถยนต์ที่มีการเชื่อมต่อและเทคโนโลยีแบบไร้คนขับ (GM Advanced Vehicle Development) สู่ตลาด, พัฒนาอุปกรณ์ตกแต่งระดับโลกสำหรับตลาดท้องถิ่นและตลาดนานาชาติ, ปรับ ทดสอบ ตรวจสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในภูมิภาคและทั่วโลกเป็นต้น รูปในส่วนนี้อาจจะไม่มี แต่บอกเลยว่า แล็บแห่งนี้น่าสนใจมากจริง ๆ ครับ
จบ 2 สถานีแล้ว ก็ถึงเวลาพักเพื่อรับประทานอาหารกลางวันกันซะก่อน แล้วก็เริ่มสถานีสุดท้ายในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นสถานี Off-Road ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันนี่เอง โดยรอบนี้ได้ขับไปบนตัว Holden Colorado 4x4 ทั้งตัวของจริงและตัว Demo แบบพรางตัว และโชคดีจังที่ได้ขับบนตัวพรางของจริงเป็นครั้งแรกในชีวิต (ปลื้ม) รอบแรกก็ตามปกติ เจ้าหน้าที่พาขับวนเล่นก่อน 1 รอบ เส้นทางก็มีเป็นหลุ่ม เป็นบ่อโคลนกันตลอดเส้นทาง หลุมก็ลึกพอตัว มีแบบเอียงประมาณ 30 องศา มีเนินลาดชันระดับ 15.5% กระเด้งกระดอนกันไป เอาจนจริง ๆ แล้ว สถานีนี้ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากนะ เพราะเคยเอา Chevrolet Colorado ไปไต่เขากระโจมช่วงฝนตกมาแล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันยากอะไร แต่ความพีกมันอยู่ตรงที่ ตอนนั่งและขับ ดันอิ่มแบบเต็มท้อง ตอนกินก็ลืมคิดว่าจะต้องเข้าสนามออฟโรดอ่ะดิ เขามีอะไรให้ลองกิน พวกฟาดเรียบ แล้วเป็นไงล่ะ ผ่านไป 3 รอบ โดยรอบแรกนั่ง รอบต่อมาขับ และรอบสุดท้ายนั่ง ทำเอาบะหมี่ที่จัดไปเมื่อกี้ มารออยู่ที่ลูกกระเดือกรอพุ่งออกมาเลย ดีว่าจบรอบไปซะก่อน ไม่งั้นสงสัยได้มีนักทดสอบคนไทยมาสร้างชื่อถึงออสเตรเลียแน่นอน
ต่อมาด้วยภาคพิเศษส่งท้ายวันแรก ด้วยความที่ผมเองไม่เคยขับในสนามวงกลมแบบที่เขาแข่ง NASCAR มาก่อนเลย จึงอยากจะของลองดูซักหน่อยว่า สนามแบบนี้มันสามารถกดรีดเอาความสามารถของตัวรถออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะตัว Track นั้นเอียงรองรับการใช้ความเร็วสูงได้อยู่แล้ว เราเลยอยากลองเอา Holden Commodore รถซีดานสุดหรู ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.6 ลิตร V6 315 แรงม้า แรงบิด 381 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Adaptive AWD ไปซัดให้เต็มเหนี่ยวซัก 2-3 รอบ จึงได้รวมตัวกันไปร้องขอทางผู้ดูแลสนาม ทางเจ้าหน้าที่ไปรวมตัวพูดคุยกันอยู่ซักพัก ก็กลับมาบอกว่า ไม่อนุญาตนะ เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง (จ๋อย) แต่เจ้าหน้าที่จะทำการขับไปลองให้ แล้วให้เรานั่งกันไปในรถด้วยกัน เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ได้แค่นี้ก็ยังดี วิ่งขึ้นไปที Commodore ทันที เมื่อเข้าสู่สนามวงแหวนแล้ว คุณพี่ก็กดพรวดเดียว รถก็ไต่ความเร็วไปที่ระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงทันที วิ่งไปวักพักแล้วก็ลดลงมาเหลือราว 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นคุณพี่ก็ปล่อยมือเลยจ้า เพื่อพิสูจน์ว่า สนามถูกออกแบบการเอียงมาอย่างดี รถจะอยู่ในแทรกด้วยความเร็วสูงอย่างสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการบังคับตัวรถให้อยู่ในเส้นทางเลย เอาจริงตอนแรกที่เขาปล่อยมือเราก็เสียวนะ แต่ก็ให้ความรู้สึกทึ่งไปพร้อมกัน (มารู้ตอนหลังว่าอีกคันกดไป 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทับถมกันเห็น ๆ)
จบวันแรกไปเรียบร้อยแล้ว กับการทดสอบและรับความรู้ไปจาก GM Holden Proving Ground จากนั้นเราก็เดินทางกลับที่พักที่เมลเบิร์น ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปต่อที่สำนักงานใหญ่ของ GM Holden กัน โดยจุดประสงค์หลักของของการไปครั้งนี้ คือการเยี่ยมชมศูนย์ Design Studio ที่เป็นศูนย์กลางการออกแบบของแบรนด์ในเครือของ GM ทั้งหมด งวดนี้ทาง GM ไม่แปะสติ๊กเกอร์ที่โทรศัพท์แล้ว แต่ยึดเอาไปเลย เพราะในส่วนด้านในนั้น มีเรื่องที่ยังเป็นความลับอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น………. และยังมี……………. และยังได้เห็น………………… รุ่นปี……………….. อีกด้วย (เซ็นเซอร์นะจ๊ะ พูดไม่ได้จริง ๆ) ส่วนนี้ถูกดูแลโดยมิสเตอร์ Richard Ferlazzo ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการออกแบบ จีเอ็ม ออสเตรเลีย ที่แสนจะขี้เล่น น่ารักมาก ๆ เมื่อเดินขึ้นไปนั้น ก็ต้องเดินผ่านในส่วนของรถที่เป็นรถต้นแบบ ผลงานของคนที่นี่ อาทิ Chevrolet Camaro Convertible, Chevrolet Colorado Xtreme ที่เคยเอามาโชว์ที่งาน Motor Show 2016 เรียกเสียงชื่นชมไปได้เป็นจำนวนมาก เป็นต้น แต่ตอนแรกไม่กล้าถ่ายรูป เพราะกลัวว่าทางน้องมุก PR สาวสวยที่พาเรามาจะเดือดร้อน เลยฝากเช็คน้องเช็คให้หน่อยว่าถ่ายได้มั้ย สรุปว่าถ่ายได้ เพราะมันเคยโชว์ออกสู่สาธารณะชนอย่างเป็นทางการไปแล้ว เดี๋ยวลงมาเจอกันแน่นอน
จากนั้นก็เข้าสู่ห้องรับฟังข้อมูลของ Design Studio ว่าเป็นมาอย่างไรบ้าง คร่าวๆก็คือ ศูนย์ออกแบบระดับโลกแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ปี 1946 นับเป็นหนึ่งในสองสตูดิโอของจีเอ็ม ที่สามารถสร้างโมเดลแบบ 3D ได้ และเป็นที่ออกแบบรถยนต์ต้นแบบ (อีกที่คือวอร์เรน ในดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา) แต่จะมีสตูดิโอที่ใช้เพื่ออกแบบรถยนต์อีก 3 แห่งในโลกก็คือ ลอสแอนเจลิส, โซล เกาหลีใต้ และเซี่ยงไฮ้ จีน ในเมลเบิร์นนั้น มีพนักงานอยู่ทั้งหมด 150 คน ทำหน้าที่ออกแบบรถยนต์ทั้งภายนอกละภายใน โดยทำงานคู่กับแผนกวิศวกรรม เพื่อให้การออกแบบนั้นสามารถผลิตออกมาได้จริง แบบที่ใช้งานได้จริง ออกแบบทั้งรถต้นแบบ, รถ Production Car และยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งทาง Richard ก็บอกว่า การออกแบบรถแห่งอนาคต ไม่ได้ยึดติดว่าจะเป็นเพียงรถยนต์เท่านั้น อาจจะเป็นอย่างอื่นด้วยเช่น รถไฟ, รถราง, รถแบบ Capsule เป็นต้น แต่ก็บอกไม่ได้อย่างเจาะจงว่าเป็นอะไร ใครจะรู้
จบจากการฟังข้อมูล ก็เริ่มเดินเข้าไปสู่ห้องแห่งความลับ เราได้เห็นการทำงานกันตั้งแต่แบบร่างจากคอมพิวเตอร์ สู่โมเดลที่ปั้นจากดิน ทั้งขนาดประมาณ 1:4 และเท่าคันจริง หลากหลายรุ่น มีทั้ง…(อุ๊บส์ บอกไม่ได้) ที่ทำเอาทึ่งก็คือ โมเดลตัวอย่างขนาดคันจริง ที่พี่ ๆ พ่นสี แปะสติ๊กเกอร์ซะจนเหมือนรถจริงเลย แบบนี้เป็นของใหม่ในประสบการณ์ชีวิตของผมจริง ๆ แล้วมาต่อกันที่ส่วนของการออกแบบภายใน ส่วนใหญ่ที่เห็นนั้นจะเห็นปั้นเป็นตัวอย่างขนาด 1:2 และมีบางส่วนที่ถูกออกแบบเรียบร้อยแล้ว นำเข้าไปอยู่ในคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ให้คนออกแบบใส่แว่น VR แล้วกระโจนเข้าไปดูของเสมือนจริงซะเลย จะได้ดูว่าการวางตำแหน่งนั้นเหมาะสมกับการใช้งานหรือเปล่า เจ๋งมาก และทันสมัยมาก
หลังจากสำรวจห้องแห่งความลับเรียบร้อยแล้ว (เก็บภาพไว้ได้แต่ในสมอง) ก็เดินทางกลับลงมาที่ห้องชั้นล่าง พร้อมกับได้รับโทรศัพท์กลับคืนมา เท่านั้นแหล่ะครับ บรรดาสื่อมวลชนจาก 3 ประเทศก็กดโทรศัพท์ถ่ายรูปกันรัว ๆ ก็รถต้นแบบแต่ละคันมันสวยจริงครับ บางคันวิ่งได้จริง บางคันไม่ได้ใส่เครื่อง บางคันยังเป็นเพียงแค่ Clay Model แต่ก็สวยเหมือนของจริงเลยครับ จากนั้นเราก็เดินมาสู่โชว์รูมด้านหน้า ซึ่งส่วนนี้เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาชมได้ แต่ไม่มีการเปิดขายรถแต่อย่างใด เราจึงได้เห็นรถต้นแบบอย่าง Holden Efijy ฝีมือการออกแบบของ Richard Ferlazzo ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการออกแบบนั่นเอง, Holden Hurricane Concept 1969 ที่ถูกบูรณะให้กลับมาเหมือนใหม่อีกครั้ง จอดแสดงความหล่อ รอคนทั้งโลกมาเยี่ยมชมเลย และก็มีรุ่นอื่น ๆ มาจอดโชว์ด้วย เช่น Trailblazer เป็นต้น ใครแวะไปแถวนั้นก็อย่าลืมแวะลงไปถ่ายรูปกันซักหน่อยก็ดีครับ
ภาระกิจตะลุย Australia กับ Chevrolet ยังไม่จบครับ เรายังมีการผจญภัยลุยทะเลทรายสไตล์ Outback กันอีก 2 วัน คอยติดตามอ่านกันได้เร็ว ๆ นี้ครับ
Earthpark02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com