Hilux Revo Caravan Stage 5 [EP10] สิ้นสุดภารกิจ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป...บทพิสูจน์จริงระดับโลก กรุงเทพ – อิตาลี กับระยะทางกว่า 20,156 กิโลเมตร
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 27 ก.ค. 59 00:00
- 101,105 อ่าน
หลังเดินทางมาแล้วกว่า 41 วัน จาก กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ก็เข้าใกล้จุดหมายปลายทางที่ตั้งใจ ที่ เวนิส ประเทศอิตาลี และเพื่อพิสูจน์คุณภาพและสมรรถนะของรถกระบะ ไฮลักซ์ รีโว่ บนเส้นทางสายไหม เหลืออีกเพียง 4 วันสุดท้ายของการเดินทาง คาราวานก็จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการรถยนต์ไทย ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป ... บทพิสูจน์จริงระดับโลก กรุงเทพ – อิตาลี เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นอ
วันที่ 42 ของการเดินทาง (14 ก.ค. 2559) วันนี้ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน พร้อมพิสูจน์สมรรถนะบนเส้นทางสุดท้าทาย มุ่งหน้าสู่ยอดเขากลอสกล็อกเนอร์ (GrossGlockner) กับเส้นทางสุดท้าทาย เส้นทางในฝันของผู้คนที่รักการเดินทางทั่วโลก สำหรับยอดเขากลอสกล็อกเนอร์ (GrossGlockner) มีชื่อเต็มว่า The GrossGlockner High Alipine Road เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ สูงที่สุดถึง 3,798 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีเส้นทางขับรถยาวประมาณ 49 กิโลเมตร พร้อมดีกรีติดอันดับ 1 ใน 10 ของถนนที่มีความโรแมนติกที่สุดในโลก และที่สุดของการเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาแห่งนี้ก็คือ สุดยอดวิวอันสวยงาม และเส้นทางอันท้าทาย ที่ให้นักขับได้เจอทั้งทางโค้งที่คดเคี้ยว หลากหลายรูปแบบทั้งโค้งหักศอก โค้งเอส และโค้งตัวยู สลับไปมาตลอดเส้นทางขึ้นและลงเขา บวกกับความชันระดับต่างๆ อันท้าทาย
เป็นเส้นทางที่พิสูจน์ฝีมือ และสมรรถนะของรถยนต์ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ไม่รอช้าเดินทางมุ่งหน้าสู่ยอดเขา พร้อมๆ กับฝนที่ตกลงมาต้อนรับคาราวานเพิ่มความท้าทายขึ้นไปอีก แต่ด้วยความมั่นใจและประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่าง DCS ใหม่ ที่ยึดเกาะถนนและทางโค้งในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างดี พร้อมกับเครื่องยนต์ GD Efficient Boost ที่ให้พละกำลังมหาศาล ไม่ว่าจะต้องการเร่ง หรือไต่ทางชันขนาดไหนก็สบาย และคาราวานก็ขึ้นมาถึงยังจุดชมวิวไฮไลท์ได้ในที่สุด ซึ่งแอบมีความเสียดายเล็กน้อยเนื่องจากวันนี้เมฆหมอกค่อนข้างมาก แต่ความสวยงามนั้นก็ยังมีให้คาราวานได้สัมผัสกันกับธรรมชาติโดยรอบ และบนยอดเขายังมีหิมะที่เพิ่งจะตกลงมาเมื่อคืนพอให้สัมผัสกัน ส่งผลให้อากาศบนยอดเขา มีอุณหภูมิประมาณ 1-3 องศาเซลเซียส หนาวสุดๆ ไปเลย คาราวาน จึงต้องเพิ่มความอบอุ่นกันด้วยการเปิดระบบทำความร้อน (Heater) ภายในรถ ไฮลักซ์ รีโว่ กันสักหน่อย และต้องขอบอกเลยว่าบนเส้นทางอันท้าทายนี้ ด้วยความสามารถของ ไฮลักซ์ รีโว่ จึงทำให้ผู้ขับขี่ทุกท่านสนุกสนานไปกับการขับบนเส้นทางที่ท้าทายได้อย่างลุล่วง
และครั้งขาลงเขา ฝนก็ยังคงตกลงมาเพิ่มความท้าทายในการขับเพิ่มเข้าไปอีก คาราวาน จึงต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น บวกกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติขณะลงทางชัน DAC ก็เข้ามาช่วยการขับขี่ของคาราวานในช่วงลงทางลาดชันที่เปียกลื่นปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และฝนที่ตกลงมายังก่อให้เกิดทัศนวิสัยที่ปิดมีเมฆฝนปกคลุมทั่ว การขับตามกันเป็นขบวนจึงต้องยิ่งระวังยิ่งขึ้น คาราวานจึงเปิดไฟตัดหมอกหลัง เพื่อให้ช่วงการขับขี่นี้ปลอดภัย และคาราวานก็ลงเขามาอย่างปลอดภัย และมุ่งหน้าสู่เมืองลินซ์ ถือเป็นการสิ้นสุดภารกิจบทพิสูจน์วันนี้ ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะเดินทางเข้าสู่ประเทศอิตาลี ประเทศสุดท้ายบนเส้นทางสายไหม
วันที่ 43 ของการเดินทาง (15 ก.ค. 2559) เหลือเพียงไม่กี่วัน และระยะทางที่ไกลถึงจุดที่ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ กับการเดินทางจากกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย สู่ ประเทศอิตาลี ซึ่งวันนี้ คาราวานวางแผนเดินทางเข้าอิตาลี ที่ ลีวินโญ (Livigno) หมู่บ้านปลอดภาษีชายแดนประเทศอิตาลี กับระยะทางไม่มากนักประมาณ 344 กิโลเมตร
สภาพเส้นทางในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตัดผ่านภูเขา ไม่นานก็มาถึงยังเขตแดนเข้าประเทศอิตาลี เส้นทางนั้นเป็นการขับผ่านเทือกเขาแอลป์ ที่ตลอดเส้นทางสองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม อากาศกำลังดี เส้นทางลัดเลาะไปมาด้วยทางโค้งมากมาย คาราวานทุกคันก็สามารถขับได้อย่างมั่นใจ ด้วยช่วงล่างที่หนึบของไฮลักซ์ รีโว่ ไม่ว่าโค้งไหนๆ ก็สามารถผ่านไปได้อย่างแม่นยำ และด้วยสภาพถนนสองเลนที่แคบ บวกกับจำนวนรถที่ค่อนข้างเยอะ จึงอาจทำให้การเดินทางล่าช้าและต้องมีการเบรกอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งการตอบสนองสำหรับระบบเบรกของไฮลักซ์ รีโว่ ก็มอบความมั่นใจทุกครั้ง และในจังหวะทางตรง ระบบเกียร์ Sequential Shift ก็เข้ามาตอบโจทย์การขับ เพื่อความสนุกและสั่งได้ในทุกการขับขี่
ในช่วงบ่ายคาราวานก็เดินทางมาถึงยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งมีเส้นทางที่ใกล้กับเมืองท่องเที่ยวอย่างเซนต์มอริซ (St.Moritz) ก่อนที่จะเดินทางกลับต่อไปยังอิตาลีอีกครั้ง จนมาถึงจุดหมายที่ ลีวินโญ หมู่บ้านปลอดภาษีในหุบเขาริมชายแดนระหว่างประเทศอิตาลีและสวิสเซอร์แลนด์ มีนักท่องเที่ยวเดินทางแวะเวียนมาตลอดทั้งปี โดยในแต่ละฤดูนั้น ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนผู้คนก็จะมาเดินเล่นสัมผัสอากาศสบายๆ ส่วนในฤดูหนาวนั้นผู้คนก็นิยมมาเล่นสกีกันที่นี่ ซึ่งวันนี้ที่คาราวานเดินทางมาถึงอากาศค่อนข้างหนาว มองออกไปรอบๆ หมู่บ้านยังพบเห็นหิมะที่ปกคลุมอยู่ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนเตรียมเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 44 ของการเดินทาง (16 ก.ค. 2559) วันนี้สบายๆ คาราวานออกจากลีวินโญ สัมผัสกับสภาพเส้นทางอันสวยงาม มีทางโค้งให้คาราวานได้ทดสอบสมรรถนะกันเป็นช่วงๆ ซึ่งถึงแม้ ไฮลักซ์ รีโว่ จะผ่านการเดินทางในหลายสภาพเส้นทางตลอด 40 กว่าวันมาแล้ว ช่วงล่าง DCS ใหม่ ก็ยังตอบสนอง หนึบ เกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมระบบเกียร์ Sequential Shift ที่ทำให้การขับขี่สนุกสนานและราบรื่นตลอดเส้นทาง
ล้อหมุนมาถึงช่วงเที่ยงแวะเติมพลังกันที่ เมืองซีร์มิโอเน่ (Sirmione) เมืองอันมีทะเลสาบล้อมรอบ เป็นเมืองสำคัญของการท่องเที่ยว อายุเก่าแก่เกือบ 2,000 ปี ก่อนจะเดินทางต่อมาถึงในช่วงบ่าย บนถนนสี่เลนคาราวานจึงได้โอกาสทำความเร็วกัน และเรียกกำลังจากเครื่องยนต์ GD Efficient Boost ที่ไม่ว่าจะเดินคันเร่งตอนใด เครื่องยนต์ก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนด้วยกำลังมหาศาลทันที ผ่านวิวสองข้างทางตลอดเส้นทางที่มีความหลากหลาย ทั้งที่ราบการเกษตร ทะเลสาบขนาดใหญ่ และเมืองริมผาอันสวยงาม จนในที่สุดคาราวานก็เดินทางมาถึงยัง กรุงเวนิส ฝั่งเมตเต้ส์ (Metres) ในช่วงเย็น และวันนี้จะอยู่กันที่นี่ก่อนจะข้ามไปสู่เกาะเวนิสในวันพรุ่งนี้
และที่พิเศษเนื่องจากวันนี้ กรุงเวนิส มีจัดงานเทศกาลประจำปี Festa del Redentore หรืองานแสดงพลุสุดยิ่งใหญ่ของเวนิส บริเวณจตุรัสซานมาร์โค (San Macro) ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมฉลองการเดินทางมาตลอด 44 วัน ที่อีกเพียงไม่กี่กิโลเมตรก็จะเดินทางกันถึงจุดสิ้นสุดภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ณ ตอนนี้จึงเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข ปิติยินดี นักท่องเที่ยวและผู้คนในท้องถิ่นที่ต่างออกมาชมกันเต็มพื้นที่ไปหมด จนได้เวลาเที่ยงคืน พลุก็ถูกจุดอย่างสวยงามอลังการเต็มท้องฟ้า ต้อนรับ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ที่เดินทางมาถึงยัง บ้านเกิดของมาร์โค โปโล เวนิส อิตาลี อย่างสุดแสนประทับใจ
วันที่ 45 ของการเดินทาง (17 ก.ค. 2559) วันนี้ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน พร้อมแล้วที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ “ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป บทพิสูจน์จริงระดับโลก กรุงเทพฯ – อิตาลี” ที่ได้ฝ่าฟันเส้นทางสุดโหดหลากรูปแบบมานับไม่ถ้วนตลอดระยะเวลา 45 วัน กับระยะทางกว่า 20,156 กิโลเมตร ซึ่งวันนี้คาราวานจะเดินทางข้ามไปยังเกาะเวนิส สุดเส้นทางสายแพรไหม ตามบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล (Marco Polo) นักเดินทางค้าขายและนักสำรวจชื่อดังชาวอิตาลี เป็นอีกหนึ่งวัน และวันสุดท้ายของภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพวกเราทุกคน
เมื่อกล่าวถึง มาร์โค โปโล (Marco Polo) คือ ชาวตะวันตกคนแรกที่ได้เดินทางบนเส้นทางสายแพรไหมร่วมกับบิดาและลุงไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นนักเดินทางค้าขายและนักสำรวจชาวอิตาลี โดยในยุคนั้นเรียกว่า คาเธ่ย์ ตรงกับราชวงศ์หยวน ปกครองโดยจักรพรรดิกุบไล ข่าน ในการเดินทางครั้งนั้นได้ถูกบันทึกผ่านหนังสือ อิลมีลีโอเน (Il Milione) หรือ บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล
ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน วันนี้ นำทีมโดยคุณวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เดินทางจากเมตเต้ส์ (Metres) ข้ามแพยนต์ล่องรอบเกาะเวนิส ตลอดเส้นทางสองฝั่งแม่น้ำนั้น คาราวานได้สัมผัสกับความสวยงามของอาคารบ้านเรือน พร้อมสถาปัตยกรรมสำคัญหลายแห่ง มนต์เสน่ห์ของนครแห่งสายน้ำที่ทำให้นักเดินทางทั่วโลกต้องเดินทางมาที่นี่ หลังสัมผัสความงามกัน คาราวานก็มาเทียบท่ายัง ซาน จิโอร์จิโอ (San Giorgio) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิหารซาน มาร์โค (St.Mark’s Basilica) สัญลักษณ์สำคัญของกรุงเวนิส เมื่อพูดถึงกรุงเวนิส ใครต่อใครต่างรู้จักและอยากมาท่องเที่ยวที่นี่ เป็นมหานครที่ถูกสร้างอยู่บนเกาะใหญ่น้อยทั้งสิ้น 118 เกาะ ห่างจากแผ่นดินใหญ่สองไมล์ครึ่ง มีสะพานกว่า 400 แห่ง และลำคลองใหญ่น้อยเกือบสองร้อยสายเชื่อมเกาะเหล่านี้เข้าด้วยกัน
เราจึงเห็นได้ว่าที่นี่จะใช้เรือท้องแบนลำยาวเป็นพาหนะในการเดินทางสำคัญ ซึ่งเรือที่ใช้เรียกว่า เรือกอนโดลา มีเอกสารอ้างอิงครั้งแรกของเรือแบบนี้ใน ปี ค.ศ. 1094 เมื่อนับแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา นครเวนิสได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า และมหาอำนาจในการเดินเรือของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนถึงยุคที่อาณาจักรใหญ่ๆ ในยุโรปอย่าง สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส และอังกฤษ พัฒนากองทัพเรือและเส้นทางเดินเรือข้ามทวีป และในปัจจุบันเวนิสกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เนื่องจากระดับความสูงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงไม่กี่นิ้ว จึงทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมเกือบทุกปี และยังเกิดการทรุดตัวลงประมาณ 1 นิ้วในทุกๆ สิบปีอีกด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต่างหาวิธีป้องกัน เพื่อไม่ให้นครอันสวยงามแห่งนี้ต้องจมลงสู่ท้องทะเล
เมื่อมาถึง ซาน จิโอร์จิโอ ผู้บริหารของสื่อมวลชนพร้อมรอต้อนรับคณะคาราวาน กับการเดินทางบนเส้นทางสายไหมที่ยาวที่สุดในโลก ที่นี่ถือเป็นจุดสิ้นสุดภารกิจ เมื่อทุกคนเดินทางมาถึงบรรยากาศเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ปิติยินดี ที่บทพิสูจน์ครั้งสำคัญสุดยิ่งใหญ่ครั้งนี้ในที่สุดก็ทำสำเร็จ โดยทุกคนให้ความร่วมมือกันอย่างดีมาตลอดเส้นทางกว่า 45 วันอย่างต่อเนื่อง และคาราวานก็ได้พิสูจน์สมรรถนะของ ไฮลักซ์ รีโว่ ขับผ่านเส้นทางพิสูจน์ทุกสภาพถนน ทั้งทางขรุขระ เปียกลื่น ขึ้น-ลงเขา ทางโค้งที่มีทั้งโค้งตัวยู โค้งเอส โค้งหักศอก ทางโค้งที่ติดต่อกันตลอดทาง และสภาพอากาศที่ร้อนจัดจนถึงหนาวจัด หรือแม้กระทั่ง พายุฝน ลูกเห็บ ทะเลทราย และหิมะ ไฮลักซ์ รีโว่ ก็ได้พาคณะเดินทางแต่ละคณะไปจนถึง ณ จุดสิ้นสุดภารกิจได้ทุกคน ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ GD Efficient Boost ช่วงล่าง DCS ใหม่ อุปกรณ์ความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย ของ ไฮลักซ์ รีโว่ ขับจริง หนึบจริง แกร่งจริง กับความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้ บันทึกเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการรถยนต์ไทย
สุดท้าย ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ก็ไม่พลาดที่จะสัมผัสกับมหานครแห่งสายน้ำอย่างใกล้ชิด ชมมหาวิหารซาน มาร์โค พร้อมถ่ายภาพเพื่อระลึกในความทรงจำครั้งสำคัญ และต่อด้วยการเยี่ยมเยียนบ้านของมาร์โค โปโล บนเกาะเวนิสแห่งนี้ ก่อนจะกลับสู่ที่พักที่ โรงแรม JW Marriott ที่ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัวสุดพิเศษ ซึ่งในช่วงค่ำวันนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ คณะเดินทางทุกท่านจะได้ฉลองความสำเร็จปิดท้ายที่สุดของการเดินทางข้ามผ่าน 2 ทวีป 17 ประเทศ บนเส้นทางสายไหม จากกรุงเทพมหานคร ถึง ประเทศอิตาลี ครั้งสำคัญ กับ “ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป ... บทพิสูจน์จริงระดับโลก”
โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ขับจริง หนึบจริง แกร่งจริง
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com