ลัดฟ้าไปแดนอาทิตย์อุทัย ทดสอบระบบ Hybrid i-MMD และ Sensing ของ Honda ตอนที่ 1
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 19 พ.ย. 62 00:00
- 6,329 อ่าน
เราทราบกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้วว่ายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ แดนอาทิตย์อุทัย ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เป็นอีก 1 ศูนย์การของโลกนี้ในวงการยานยนต์ ทั้งเรื่องของยอดขายและเทคโนโลยียานยนต์ในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อค่ายรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นขยับตัว ทั่วทั้งโลกก็ต้องมีการขยับตามอย่างแน่นอน
งานจัดแสดงรถยนต์ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น จะมีงานใหญ่ที่จัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ก็คืองาน Tokyo Motor Show 2019 ซึ่งผมเองในฐานะทีมงานของ AUTODEFT ก็ได้รับโอกาสเรียนเชิญจากทาง ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) พาผมเข้าร่วมทริปเพื่อเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะมีการเปิดตัวใหม่อย่าง All-New Honda FIT หรือ Jazz ในเวอร์ชั่นบ้านเรา รวมทั้งกรแสดงวิสัยทัศน์ในเรื่อง Honda e:TECHNOLOGY อีกด้วย ซึ่งเราเองก็ได้ทำการนำเสนอข่าวภายในงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทริปนี้เราไม่ได้ไปร่วมงานนี้เท่านั้น แต่ยังมีการทดสอบรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โดยทางฮอนด้าอยากให้พวกเราได้ทดลอง 2 ระบบอันเป็นจุดเด่นในยุคนี้ เริ่มจากระบบ Hybrid i-MMD และระบบความปลอดภัย Honda Sensing นั่นเอง แต่ที่ผมเองตื่นเต้นกว่าก็คือ งานนี้จะได้ทดลองขับรถยนต์เป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น และยังได้ขับโมเดลที่มีมีจำหน่ายในเมืองไทยอีกด้วย
ตอนแรกนี้ ขอว่ากันเรื่องของระบบ Hybrid i-MMD กันก่อนนะครับ โดยระบบไฮบริดที่ถูกพัฒนามาโดยฮอนด้าในยุคนี้ เขาจะเรียกแบบเต็มว่า Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive มีจุดเด่นอยู่ 2 จุดคือ “อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม” ด้วยการทำงานอันทรงประสิทธิภาพของมอเตอร์ 2 ตัว ด้วยการแบ่งการทำงานของมอเตอร์อิสระจากกัน ตัวแรกทำหน้าที่ในการไปหมุนตัวส่งกำลังเพื่อให้ไปหมุนล้ออีกที ส่วนอีกลูกจะทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าเพื่อส่งไปเก็บยังแบตเตอรี่ รอการใช้งานอีกที จุดที่ 2 คือ “ความสนุกสนานสไตล์ใหม่” ที่ได้จากการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น อัตราเร่ง และการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจ
ด้วยมอเตอร์ที่ให้กำลังสูง จากการแบ่งโหมดการขับขี่ได้เป็น 3 โหมด ทั้งโหมดการขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า (EV Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) เป็นการขับขี่ด้วยการใช้พลังจากมอเตอร์เป็นหลักตลอดการขับขี่ ซึ่งให้กำลังสูง สามารถตอบสนองการขับขี่ได้ทุกรูปแบบ โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) ส่งพลังแบบเชื่อมต่อโดยตรงจากเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า การขับขี่ในโหมดนี้ เครื่องยนต์จะทำงานในรอบความเร็วสูงต่อเนื่องได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม โดยระบบ Sport Hybrid i-MMD จะมีการจับคู่ได้กับทั้งเครื่องยนต์ 1.5 และ 2.0 ลิตร (ไม่มีเทอร์โบ)
สำหรับการทดสอบของเราในรอบนี้ ทัพสื่อมวลชนจากประเทศไทย (รวมทั้งผมด้วย) นอกจากจะข้ามประเทศไปยังญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการย้ายตัวเองออกไปยังต่างจังหวัด ที่ชื่อว่า จังหวัดโทจิงิ (栃木県 หรือ Tochigi) อยู่ห่างเมืองหลวงอย่างโตเกียวไปทางทิศเหนือประมาณ 140 กิโลเมตร ถ้าเดินทางด้วยการขับรถ ก็จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง (อย่าแปลกใจ ทางด่วนที่นั่นขับกัน 100 เดียว) ที่สนาม Twin Ring Motegi อันเลื่องชื่อ ที่เราจะคุ้นเคยกันดีว่าสนามแห่งนี้ คือสนามเอาไว้แข่งขันมอเตอร์ไซค์ MotoGP นั่นเอง และที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ก็คือผู้ที่เป็นเจ้าของสนามนี้ ก็คือ Honda เจ้าภาพการเดินทางของเราทริปนี้นั่นเอง
ในสนามที่เราจะทำการทดสอบกันนั้น ไม่ได้วิ่งในสนามที่เขาใช้แข่งกันครับ (อดกันไป) แต่เราจะมาในส่วนด้านข้าง ที่เป็นลานกว้าง ๆ ๆ ๆ ๆ น่าจะประมาณ 4-5 สนามฟุตบอลได้ แล้วมีการวางกรวยให้เป็นเส้นทางแบบเลี้ยวไปเลี้ยวมา และส่วนใหญ่จะเจอทางเลี้ยวแบบตัว U เยอะด้วย มีทางตรงเป็นระยะทางไม่ยาวมาก ยาวสุดประมาณ 200-300 เมตรเท่านั้น เมื่อมาถึง เราก็ได้รับการอธิบายกันเลยว่า ระบบ Sport Hybrid i-MMD นั้น มีดีอะไรบ้าง และการทำงานของมันคืออะไร โดยทางเจ้าหน้าที่ ผู้ที่ทำการดูแลในระบบนี้โดยเฉพาะ ได้มาอธิบายให้ฟังว่า
“ระบบ “ซีรีส์-พาราเรล” เป็นระบบการทำงานทั่วไปที่มีโครงสร้างการทำงานแบบแยกการทดกำลังที่มีความซับซ้อน จะทำงานโดยการสลับเปลี่ยนเครื่องยนต์กับมอเตอร์ตามสัดส่วน เพื่อขับเคลื่อนในสถานการณ์การขับขี่ต่าง ๆ ในอีกมุมหนึ่ง ระบบไฮบริด i-MMD ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ก็มีโครงสร้างที่เรียบง่ายคล้ายกับซีรีส์ไฮบริด
จะเห็นได้ว่าระบบนี้สามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ประสิทธิภาพสูงได้ในทุกสถานการณ์การขับขี่ในชีวิตประจำวัน สำหรับระบบ “ซีรีส์” ทั่วไป เครื่องยนต์จะเป็นต้นกำเนิดของพลังเท่านั้น ระบบมีความเรียบง่าย เพราะใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อ แต่เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง ระบบจะเปลี่ยนเป็นโหมดการขับขี่เป็นเครื่องยนต์ ดังนั้น ต้องมีการป้อนกำลังไฟฟ้าจำนวนมากให้กับมอเตอร์ อันเป็นการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ในโหลดระดับสูง แต่ถ้าเป็นระบบ i-MMD ซึ่งเป็นระบบมีคลัทช์เชื่อมต่อกับเครื่องยนต์โดยตรง ดังนั้น เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง จะสามารถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันมาก ระบบไฮบริด i-MMD ประกอบด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และ PCU (Power Control Unit) ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลัง 2 ตัว โดยย้ายตำแหน่งของ IPU จากห้องสัมภาระด้านท้ายไปยังใต้เบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง ส่งผลให้ห้องสัมภาระท้ายมีพื้นที่ความจุเทียบเท่ากับรุ่นน้ำมัน” (คร่าว ๆ ประมาณนี้)
เอาล่ะ รับรู้ข้อมูลมาประมาณหนึ่งแล้ว เรามาเริ่มการทดสอบเลยดีกว่า รอบในการทดสอบระบบไฮบริด i-MMD จะมีการใช้ทดสอบทั้งหมด 2 รุ่นคือ Honda Insight Hybrid และ Honda CR-V Hybrid แน่นอนล่ะว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ ไม่มีวางจำหน่ายในเมืองไทยแน่นอน โดย Honda Insight Hybrid ตัวที่ใช้ทดสอบนั้น จะมีวางจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นกับอเมริกาเท่านั้น ขนาดประมาณเดียวกันกับ Honda Civic บ้านเรา แต่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมระบบ Sport Hybrid i-MMD ให้กำลังรวมทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 131 แรงม้า ที่ 4,000-8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 267 นิวตันเมตร ที่ 0-3,000 รอบ/นาที พร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมด เร้าใจในการขับขี่ ตั้งแต่ โหมด Normal, โหมด Econ และ โหมด Sport ส่วน Honda CR-V Hybrid นั้นจะใช้เครื่องยนต์ที่โหดกว่าเล็กน้อย (ใช้คำซะ) กับเบนซิน 2.0 ลิตร เพิ่มด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อน ทำให้ผลิตกำลังรวมกันได้ 181 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร เสียดายที่เมืองไทยไม่มีมาขายบ้างเนอะ
เราเริ่มต้นรอบแรกกันที่ Honda Insight Hybrid ก่อนครับ ตอนเข้าไปนั่งนั้น ขนาดมันใกล้เคียงกับ Honda Civic มากถึงมากที่สุด การออกแบบ, ท่านั่ง, อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงระบบเครื่องยนต์นี่แหล่ะที่ต่างกัน เราจะได้ขับกันคนละ 3 รอบสนามครับ โดยเราจะลองระบบการขับขี่ให้ครบทั้ง 3 โหมด ไม่ว่าจะเป็น Econ, Normal และ Sport เพื่อความสนุก เราก็เริ่มกันด้วยโหมด Sport ก่อนเลยครับ (แฮร่) การขับขี่ในสนามนั้น เราจะวิ่งกันไปเป็นขบวน โดยในขบวนจะมีอยู่ 5 คัน โดยคันแรกเป็นรถนำขบวน ขับโดยเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นของทางฮอนด้า (คอยบล็อกเอาไว้ไม่ให้วิ่งเร็วเกิน) ตามมาด้วย Honda Insight Hybrid สลับกับ Honda CR-V Hybrid รุ่นละ 2 คัน เราถูกกำชับว่า ไม่ให้วิ่งเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงนะ และเมื่อวิ่งผ่านตรงจุดเริ่มต้น ให้วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่งไปคันละ 2 คน ขับคนละ 3 รอบ สรุปว่า 1 คน ต้องนั่งไปรวม 6 รอบ/คันนั่นเอง
เมื่อเริ่มวิ่งออกจากจุดปล่อยตัว เราก็ค่อยขยับตามกันไปแบบห่าง ๆ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเราออกตัวแบบเท้าหนักหน่อย ระบบการทำงานของ i-MMD จะทำงานอย่างไร ช่วงเดินเบาไหลตัวไปตอนออกตัว เราเห็นได้เลยว่า รถยนต์ซีดานอย่าง Honda Insight Hybrid เริ่มต้นด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการลากตัวรถออกตัวให้วิ่งออกไป ลดการใช้น้ำมันในช่วงออกตัวได้อย่างดี อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วครับว่า ช่วงออกตัวนี่แหล่ะ ที่จะเป็นช่วงเผาผลาญน้ำมันได้มากที่สุด เพราะเป็นการใช้กำลังเครื่องมาคอยฉุดตัวรถเพื่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อให้เคลื่อนตัวออกจากจุดหยุดนิ่ง เลยต้องใช้กำลังมากเป็นพิเศษ น้ำมันก็ใช้มากตามไปด้วย แต่กับรถยนต์ในระบบไฮบริดเอากำลังของมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยแบ่งเบากำลังในเรื่องนี้ ก็จะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงไปได้ประมาณหนึ่งเลย
พอระยะห่างด้านหน้าเริ่มพอได้ระยะแล้ว ผมก็เริ่มลองกดเท้าให้รถพุ่งไปข้างหน้าแบบแรงหน่อย คราวนี้สัมผัสได้เลยว่า เครื่องยนต์นั้นเริ่มเข้ามาทำงานช่วยมอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว ทำให้รถนั้นพุ่งออกไปข้างหน้าได้ฉับไวมาก (รู้สึกว่าไม่เท่า 1.5 ของ Civic Turbo นะครับ แต่ก็ไม่ได้น้อยกว่าสักเท่าไหร่) แต่เรื่องของการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ายังไม่ว้าวสำหรับผมเท่าไหร่ เพราะผมเองก็เคยลองใช้งาน Honda Accord Hybrid Tech มาทั้งรุ่น G9 กับ G10 มาหลายครั้งแล้ว แต่ที่ว้าวสำหรับผมก็คือ การเข้าโค้งของ Honda Insight Hybrid ที่มันดีมาก มันมาจากการติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากให้อยู่แถวบริเวณใต้เบาะนั่ง จึงทำให้ศูนย์ถ่วงของรถนั้นอยู่ต่ำและกลางตัวรถมากขึ้นกว่ารุ่นปกติ (เทียบกับ Civic) เลยทำให้การยึดเกาะถนนนั้นทำได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ และอีกอย่างก็คงเป็นเรื่องของวัสดุที่ใช้ลาดถนน คงจะมีคุณภาพดีอย่างมาก ดีกว่าที่ใช้กับถนนในเมืองไทย น่าจะใช้วัสดุที่ทำมาเผื่อการทดสอบรถยนต์โดยเฉพาะ เพราะขนาดผมใส่ความเร็วในโค้งก็ไม่ได้เบานะ แต่เสียงยางกัดถนนเอี๊ยด ๆ นี่แทบไม่มีเลย ถือเป็นการลองขับที่มีความสุขอย่างมากจริง ๆ
หลังจากครบ 3 รอบแล้ว ก็ขยับมาที่ Honda CR-V Hybrid กันบ้าง ความน่าตื่นเต้นก็คือ นอกจากเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรที่ใส่มาให้นั้นก็น่าจะแรงระดับหนึ่งอยู่แล้ว ยังมีเสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาอีก น่าจะขับได้สนุกและเร้าใจกว่าเวอร์ชั่นที่ขายในประเทศไทยแน่นอน (เมืองไทยเครื่อง 2.4 ลิตร แรงม้า 173 ตัว) และมันก็เป้นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อกดคันเร่งลงไป กำลังจากทั้งเครื่องและมอเตอร์ไฟฟ้าทำเอารถพุ่งออกไปได้รวดเร็วกว่าที่มีแต่เครื่องยนต์อย่างเดียว (โหมด Sport) ส่วนเรื่องการเข้าโค้งนั้น ดีกว่าแบบไม่มีระบบ hybrid อย่างชัดเจน เหตุผลเดียวกับ Honda Insight Hybrid ที่มีแบตเตอรี่มาคอยถ่วงให้จุดศูนย์ถ่วงนั้นต่ำกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติ เวลาเข้าโค้งตัวรถเลยถูกกดให้เกาะอยุ่บนถนนได้มากกว่า ซึ่งตลอดเส้นทางเราก็ไม่ได้ขับเกิน 80 กม./ชม. แต่ในโค้ง เราก็ใส่กันไม่ยั้งเอาเหมือนกัน เพราะว่าเราอยากรู้สมรรถนะที่แท้จริงว่า อัตราเร่งออกตัวระบบ Sport Hybrid i-MMD นั้นดีจริงวหรือไม่ และมันต่างกับรุ่นปกติที่เราขับในเมืองไทยขนาดไหน ก็ต้องบอกว่า ของเขาดีจริง ๆ ครับ
การทดสอบรอบนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการไปทดสอบรถยนต์ฮอนด้าที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นครับ ยังเหลือการทดสอบระบบความปลอดภัย Honda Sensing อีก โดยจะมีการทดสอบกัน 2 แห่ง คือที่สนาม Twin Ring Motegi แห่งนี้ กับสนามทดสอบ Jari ในเมือง Ibaraki อีกแห่ง คอยติดตามกันได้อีกครั้งเร็ว ๆ นี้แน่นอนครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com