รถมือสองรุ่นเด่น!! Nissan TEANA L33 เก๋งใหญ่สง่างาม……หรูเกินรุ่น

นับตั้งแต่ นิสสัน ทำรถยนต์ออกมาจำหน่ายโดยเฉพาะรถยนตนั่ง หรือ Passenger Car ล้วนประสบความสำเร็จและผ่านตาคนไทยมาแล้วหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Sunny, Sentra, TIIDA, Sylphy, Almera, Bluebird, Cefiro จนไปถึงรุ่น Cedric และ President ซึ่งแต่ละรุ่นมีความโดดเด่นในดีไซน์การใช้งานที่สะดวกสบาย ออพชั่นที่ให้เต็มๆ และการขับที่ดี หนึ่งในนั้น มีรถเก๋งซีดานขนาดกลางในชื่อ Nissan TEANA รวมอยู่ด้วย

ตามความจริงแล้ว Nissan TEANA มีจำหน่ายด้วยถึง 3 เจเนอเรชั่น และเป็นการมาแทน Nissan Cefiro รถเก๋งชื่อดังในยุค 90 โดยรุ่นที่นำมาแนะนำในรูปแบบรถยนต์มือสองนั้นเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ในรหัส L33 โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี 2012 ที่สหรัฐอเมริกากลางงาน 2012 New York International Auto Show โดยใช้ชื่อว่า Nissan Altima ตามมาด้วยเมืองจีนเปิดตัวช่วงต้นปี 2013 ส่วนเมืองไทยเปิดตัวช่วงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน แถมเปิดตัวก่อนประเทศญี่ปุ่น โดยรุ่นนี้ยังประกอบในประเทศไทยที่โรงงาน นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) บางนา-ตราด กม.25

หน้าตาของเก๋งค่ายเพื่อนที่แสนดีรุ่นนี้มีความโดดเด่นใหญ่โตแต่มีเอกลักษณ์ตั้งแต่เจนแรกด้วยกระจกโอเปร่า ใหญ่โตกว้างขวางพร้อมความหรูหราตั้งแต่กระจังหน้าโครเมี่ยมรูปตัววี ประกบกับไฟหน้า Projector แบบ HID ลำแสงสีขาวปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติถูกติดตั้งเข้ามาช่วยในการส่องสว่างพร้อมระบบทำความสะอาดไฟหน้าช่วยเพิ่มทัศนวิสัย กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต พร้อมไฟตัดหมอกหน้า กระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว LED พร้อมชุดแต่งโครเมี่ยมที่เปิดประตู กรอบกระจก กรอบป้ายทะเบียน ล้ออัลลอยมีเลือก 2 ขนาดทั้งขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 215/60 R16 และ17 นิ้วพร้อมยาง 215/55 R17 บั้นท้ายจัดไฟท้ายแบบ LED โดดเด่นทุกมุมมองกว่าที่เคย หลังคาซันรูฟกระจกนิรภัยกรองแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Cut) เป็นอีกออพชั่นที่เพิ่มเข้ามาเพิ่มเสน่ห์ให้มีความลงตัวมากขึ้น

เรือนร่างภายนอกออกแบบให้เปี่ยมไปด้วยความหรูหราผสานกับความทันสมัย ปราดเปรียวในทุกองศาของตัวถังรถดูพลิ้วไหวเจิศจรัสในยามขับขี่ พร้อมทั้งยังปรับขยายขนาดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ด้วยความยาวตลอดรอบคัน 4,875 มม. กว้าง 1,830 มม. ความสูง 1,490 มม. มาพร้อมฐานล้อยาว 2,775 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 135 มม.น้ำหนักรถ 1,453-1,516 กก. และความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร ตอบโจทย์ในการใช้งาน

ภายในหรูด้วยการตกแต่งสไตล์ลักชัวรี่ผสมความสปอร์ตพื้นที่กว้างขวาง โดยวัสดุทั้งหมดนั้นใช้แบบ Premium Grade เบาะหนังสีดำหรือสีเบจให้เลือก คอนโซลและประตู บุด้วยหนังเป็นหลัก ตัดด้วยโครเมียมสีเงิน พร้อมเคฟล่าในบางจุด เพิ่มความหรูหราได้มากกว่าเดิม หน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทั้งผ่าน Bluetooth และสาย USB ใช้ระบบเครื่องเสียงจาก BOSE แบรนด์ไฮเอนด์ระดับโลก จะสร้างความไพเราะของทุกบทเพลงอย่างเต็มอรรถรสประกอบ กับลำโพง 9 ตัว ให้ระบบเสียงสมบูรณ์แบบ สะท้อนรสนิยมสุดหรู บ่งบอกเอกลักษณ์อันโดดเด่น ซึ่งเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของผู้เป็นเจ้าของ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ควบคุมอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control พวงมาลัยหนังปรับ 4 ทิศทางแบบมัลติฟังก์ชั่น เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า คนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง และเบาะด้านหลังพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถกว้างขวางเปิดทะลุถึงห้องโดยสารได้ และมาตรวัดเรืองแสงที่จะบอกความเร็ว รอบเครื่อง จอแสดงข้อมูลการขับขี่ 3 มิติขนาดใหญ่ 4 นิ้วสร้างเอกลักษณ์เด่นด้วยการแจ้งการทำงานต่างๆ

หลังจากจำหน่ายมาเรื่อยๆทาง นิสสัน เปิดตัวรุ่นปรับโฉม หรือ Facelift ออกจำหน่าย โดยเปิดตัวช้ากว่าอเมริกา 2 ปี ซึ่งเป็นการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 4 ปี และไม่คิดว่าจะเป็นการปรับโฉมครั้งสุดท้ายก่อนจะยุติตลาดไปเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพราะสินค้าไม่สามารถสู้คู่แข่งได้ หรูด้วย กระจังหน้าแบบ V-Motion ดีไซน์ใหม่ ไฟหน้า Projector แบบ LED ทรงบูมเมอแรง พร้อมชุดกันชนห้าใหม่ทำให้ตัวรถนั้นสามารถลดแรงต้านของลมได้ดีกว่าเดิม ดีไซน์แบบลากเส้นให้เป็นแนวเดียวกันที่เริ่มมาจากกระจังหน้า, ไฟหน้า, ที่เปิดประตู ยาวไปจนถึงท้ายรถ เพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้มากขึ้น และล้ออัลลอยก็เป็นลายใหม่แบบ 2 โทนขนาด17 นิ้วพร้อมยาง 215/55 R17 เพิ่มความหรูหราให้มากกว่าเดิม ภายในยังคงเดิมแต่ระบบกุญแจรีโมทเพิ่มระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถ และเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเริ่มใช้งาน ขณะประตูรถยังล็อคอยู่ สามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่เป็นกังวลในเรื่องอุณหภูมิของห้องโดยสารได้อีกด้วย

Nissan Teana L33 ทั้งรุ่นก่อนปรับโฉมและปรับโฉมใช้ขุมพลังเดียวกันเป็นครั้งแรกที่ นิสสัน สลัดเครื่องยนต์ V6 รหัส VQ ออกจากสารระบบกลายเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทั้งขนาด 2.5 ลิตร รหัส QR25DE 173 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุดที่ 234 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ขณะที่ในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส MR20DE ให้สมรรถนะกำลังสูงสุด 136 แรงม้า (พีเอส) ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ทั้งสองขนาดจับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT จากผู้ผลิตขาประจำ Jatco ที่จับเอาชุดเกียร์ Jatco CVT8 มาให้ ลดแรงเสียดทานของระบบเกียร์ลงราวร้อยละ 40 ให้สมรรถนะการทำงานที่ดีขึ้น ช่วยให้ออกรถได้รวดเร็วทันใจ เร่งแซงได้ฉับไว ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ให้ตรงตามความต้องการได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco Mode ที่ช่วยปรับการขับขี่เป็นแบบประหยัด D-Mode ขับขี่แบบอัตโนมัติปกติ และ Ds-Mode ที่เติมเต็มให้อารมณ์การขับขี่เป็นแบบสปอร์ตมากขึ้น

ระบบความปลอดภัยครบครันทั้ง กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง หรือ Intelligent Around View Monitor (IAVM) ด้วยการสร้างภาพมุมสูงแบบ bird’s-eye view รอบตัวรถ ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) เทคโนโลยีเตือนจุดบอดหรือจุดอับสายตาอัจฉริยะ หรือ Blind Spot Warning (BSW) ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางอัจฉริยะ หรือ Lane Departure Warning (LDW)

และยังพร้อมสรรพด้วยนวัตกรรมด้านความปลอดภัยในทุกรุ่น ได้แก่ ระบบช่วยควบคุมทิศทางขณะเลี้ยว (Active Trace Control: ATC) ช่วยให้เข้าโค้งได้เฉียบคม ป้องกันอาการหน้าดื้อโค้ง (understeer) โดยระบบ ATC จะส่งแรงเบรกไปชะลอ 2 ล้อด้านในที่หักเลี้ยว เพื่อช่วยรักษาทิศทางของตัวรถให้เคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamics Control: VDC) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System: TCS) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist: HSA) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) กุญแจอัจฉริยะ Immobilizer Intelligent Key และระบบถุงลม 6 จุด ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (SRS Airbags) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และม่านถุงลมด้านข้าง (Curtain Airbags) ระบบกุญแจอัจฉริยะพร้อมระบบ Immobilizer ระบบกันขโมย และกล้องมองหลัง

จากข้อมูลอ้างอิงในการทดลองขับ Nissan Teana 2.5 XV ที่ได้เคยรีวิวไปเมื่อเดือน กรกฎาคม 2557 บุคลิกที่เปลี่ยนไปจากเครื่อง V6 มาเป็นเครื่อง 4 สูบนั้น การเร่งแซงตอบสนองดีทุกอัตราเร่ง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ความเร็วย่านไหนพอไปได้เรงแซงดีเมื่อเทียบกับเครื่องเดิม V6 2.5 ลิตร ด้านอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำเวลาเฉลี่ยได้ 9.55 วินาที ด้านอัตราสิ้นเปลืองในเมืองทำได้ 9.6 กม./ลิตรนับเป็นตัวเลขที่รับได้ ระบบช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ที่ออกแบบทัดเทียมกับรถยุโรปและคู่แข่งระดับเซทช่วงล่างแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้าจัดตามสูตรพร้อมระบบอิสระ Multi link ทางด้านหลัง แถมยังยัดชุดเหล็กกันโคลงมาให้เสร็จสรรพทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สามารถเอาอยู่ได้ทุกช่วงความเร็ว แถมยังนุ่มนวลในการขับขี่ ด้วยการสะเทือนเข้าสู่ห้องโดยสารน้อยมากแต่ยังมีการสะเทือนสู่ห้องโดยสารบ้าง ทว่าก็ต้องเป็นร่องถนนที่กว้าง หรือไม่ ถ้าเป็นหลุมก็ต้องมีขนาดมากพอตัวการเก็บเสียงดีเด่นการพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าที่ให้น้ำหนักมากไป

ช่วงล่างที่นุ่มนวลไม่ใช่ปัญหาเมื่อคุณใช้ความเร็วสูง ส่วนหนึ่งด้วยขนาดตัว ทำให้ มันมีความลงตัวมากกว่าในแง่ของการใช้ความเร็ว ไม่ว่าจะระยะระหว่างล้อที่ให้ความมั่นคงมากกว่า หรือระยะฐานล้อที่ยาวกว่ารถทั่วไป กระทั่งน้ำหนักจากโครงสร้างที่ช่วยเสริมความมั่นใจ เมื่อต้องใช้ความเร็วด้านปัญหาที่พบของเก๋งรุ่นนี้ไม่ว่าจะเป็นพัดลมหม้อน้ำและปัญหาเกียร์ที่แก้ไม่หาย

ราคาจำหน่ายป้ายแดง Nissan Teana L33 รุ่นก่อนปรับโฉมช่วงปี 2013-2017 เริ่มต้น 1,270,000- 1,620,000 บาท และรุ่นปรับโฉมช่วงปี 2017-2020 เริ่มต้น 1,339,000 -1,674,000 บาทแต่สำหรับราคารถมือสองนั้น รุ่น 2.0 เริ่มต้น 475,000 -850,000 บาท และรุ่น 2.5เริ่มต้น 549,000-870,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานจากเจ้าของเดิม ถ้าไม่เกี่ยงรถเก๋งคันนี้ หน้าตาคล้าย Nissan Sylphy จนต้องร้องยี้ แต่ถ้าในเรื่องความเงียบ ช่วงล่างนุ่ม ขุมพลังที่พอไปได้ถึงต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองที่รับประทานเป็นชีวิตจิตใจ และเทคโนโลยีไม่เป็นสองรองใครเท่านี้ก็สามารถเป็นเจ้าของเก๋งพรีเมี่ยมคันนี้ได้

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com