บุกลุยพม่า กับทริปสุดมัน Nissan Intelligent Driving Experience ด้วย Terra, Navara และ X-Trail (ตอนจบ)
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 10 พ.ค. 62 00:00
- 12,395 อ่าน
หลังจากผ่านไปได้ 1 วันกว่า กับทริปสุดมัน Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E.) Go Anywhere Myanmar วันนี้เราจะมาลุยกันต่อกับวันที่ 2 และ 3 ว่าแล้ว ก็เริ่มเดินทางกันต่อได้เลยครับ
หลังจากจบการผจญภัยแบบ Off-Road แบบทรหดในวันแรกที่ประเทศพม่า วันที่ 2 นี้ ผมมีโอกาสได้เปลี่ยนมาขับ Nissan Navara Black Edition แล้ว ปลายทางวันนี้จะอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง หรือบางคนเรียกว่า เมาะลำไย หรือ เมาะลำเลิง (ภาษาอังกฤษเขียนว่า Mawlumyine ใครจะเรียกว่าอะไร มันก็คือที่เดียวกัน) ระยะทางของวันนี้จะอยู่ที่ประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร โดยรถกระบะที่เอาไว้ลุยในวันนี้ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผันขนาด 2.5 ลิตร รหัส YD25DDTI 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อม Manual Mode และ ระบบความปลดภัยเต็มพิกัด เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC) พร้อมเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป (LSD) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ช่วยเพิ่มสมรรถนะและความปลอดภัยในการขับแบบออฟโรด
สำหรับเมืองมะละแหม่ง ปลายทางของเราในวันนี้ หลายคนที่มีอายุหน่อยจะพอคุ้นกับตำนานของมะเมี๊ยะกับเจ้าน้อยกันมาบ้าง เป็นเรื่องราวความรักของชาวบ้านสาวชาวพม่า กับเจ้าชายเมืองเชียงใหม่ ที่ตกหลุมรักกัน แต่จบลงด้วยความไม่สุขสันต์ เคยมีเป็นบทเพลงของคุณจรัล มโนเพ็ชร เป็นเรื่องเล่าเอาไว้ตามนี้ครับ
“เรื่องมันเก้าสิบปี๋มาแล้ว
เจ้าน้อยสุขเกษมอายุได้สิบห้าปี๋
เจ้าป้อก็ส่งไปเฮียนหนังสือ
ตี้เมืองมะละแมงปู้น...
ก็เลยเป๋นเรื่องของก๋ำของเวรเขา
มะเมี๊ยะ เป๋นสาวแม่ก้า
คนพม่า เมืองมะละแมง
งามล้ำ เหมือนเดือนส่องแสง
คนมาแย่ง หลงฮักสาว.
มะเมี๊ยะ บ่ยอมฮักไผ
มอบใจ๋ ฮื้อหนุ่มเจื้อเจ้า.
เป๋นลูก อุปราชท้าว เจียงใหม่
แต่เมื่อ เจ้าชาย
จบก๋าน ศึก ษา
จ๋ำต้อง ลาจาก มะเมี๊ยะไป.
เหมือนโดน มีดสับ
ดาบฟัน หัวใจ๋
ปลอมเป๋น ป้อจาย หนีตามมา
เจ้าชายเป๋นราชบุตร
แต่สุด ตี้ฮักเป๋นพม่า
ผิดประเพณี สืบมา
ต้องร้าง ลา แยกทาง
โอะโอ้..ก็เมื่อวันนั้น
วันตี้ต้อง ส่งคืนบ้านนาง
เจ้าชาย ก็จัดขบวนช้าง
ไปส่งนาง คืน ทั้งน้ำตา
มะเมี๊ยะ ตรอมใจ๋
อาลัย ขื่น ขม
ถวาย บังคม ทูล ลา.
สยาย ผมลง
เจ๊ดบาท บา ทา
ขอลา ไปก่อน แล้วจ้าดนี้.
เจ้าชายก็ตรอม ใจ๋ตาย
มะเมี๊ยะเลยไป บวชชี
ความฮัก มักเป๋นเช่นนี้
แล เฮย”
แต่ก่อนจะเริ่มเดินทางไกลนั้น พวกเราชาวคณะสื่อมวลชน ก็ต้องแวะไปสักการะวัดประจำเมืองทวายกันเสียก่อน วัดนี้ชื่อว่า ေလာကမာရဇိန္ဘုရား (อ่านว่าชเวดองซา) วัดเจดีย์หลวง เป็นที่ตั้งของเจดีย์ประจำเมืองที่ชื่อว่า เจดีย์ชเวดองซา Shwe Taung Zar Pagoda (คนละที่กับชเวดากองนะ) เจดีย์สีทองที่มียอดสูงสุดในเมืองทวาย เอาจริงแล้ว ประวัติของวัดนี้หายากมาเลยครับ เพราะเป็นสถานที่ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักและไปเยี่ยมเยือนสักเท่าไหร่ (ถามอากู๋ ผลที่ออกมามีแต่เจดีย์ชเวดากอง) เราจึงได้เห็นแต่ชาวพม่า ที่เข้ามาสักการะทั้งพระพุทธรูปใหญ่ประจำวัด และเจดีย์สีทองอันสูงตระหง่าน วัฒนธรรมของชาวพม่านั้น ห้ามใส่รองเท้าเข้าเขตวัดโดยเด็ดขาดครับ แม้กระทั่งใส่ถุงเท้าก็ห้าม ต้องเดินด้วยเท้าเปล่าเท่านั้น ขนาดทีมงานคนหนึ่งเผลอใส่ถุงเท้าแล้วลงมายืนก้มหาของที่หล่นไปใต้เบาะ ยังโดนเอ็ดเสียงดังเลย แล้วคนที่เอ็ดนี่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย การนับถือศาสนาพุทธของชาวพม่านี่ถือว่าเคร่งกันมากครับ
หลังจากได้ไหว้พระ และสักการะเจดีย์เรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดแวะพักในวันนี้ ไม่มีครับ จะเป็นการขับรถมุ่งหน้าสู่เมืองมะละแหม่งเลย เส้นทางวันนี้ดีกว่าวันแรกครับ ส่วนใหญ่เป็นทางลาดยางแบบสวนเลนตลอดเส้นทาง แต่วันนี้ เราเริ่มจะได้เห็นรถที่วิ่งกันขวักไขว่มากขึ้น รวมทั้งเส้นทางที่เป็นภูเขาก็ยังคงมีอยู่ แต่ไม่ได้ยาวมากและแย่เหมือนกับในวันแรก เราเลยต้องอาศัยวิชาเร่งแซงกันอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งบนเขาก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะเดินทางไปถึงจุดหมายกันค่ำเกินไป ซึ่งการที่ได้รถกำลังเครื่องสูงระดับ 190 แรงม้านั้น ช่วยให้เราแซงกันได้อย่างไม่ต้องลุ้นอะไรมาก และเรา 3 คนที่ได้ขับวันนี้ รู้สึกได้เลยว่า รู้สึกว่าขับสนุกกว่าเมื่อวานเยอะ น่าจะมาจากการที่น้ำหนักรถหายไปค่อนข้างมาก เพราะที่ท้ายกระบะรถเรานั้น มีเพียงถังน้ำแข็งพร้อมน้ำขวดที่บรรจุอยู่ในนั้น ประกอบกับน้ำหนักตัวรถเองมันก็น้อยกว่า Nissan Terra อยู่พอตัว เลยทำให้อัตราเร่งแซงในวันนี้ ทำได้สนุกมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับความกระเด้งกระดอนของคนนั่งข้างหลัง (คนขับกับนั่งหน้าไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่คนนั่งหลังนี่ต่างกับเมื่อวานชัดเจน)
หลังพวกเราเดินทางมาได้ประมาณ 100 กิโลเมตร เราก็แวะเติมน้ำมันเสียหน่อย ปั๊มน้ำมันบ้านเขาในแถบเมืองทวาย คล้ายกับปั๊มน้ำมันต่างจังหวัดบ้านเราครับ แบบที่มีแต่หัวจ่ายน้ำมันจริง ๆ ไม่ได้มีร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายของเหมือนบ้านเรา แต่สิ่งที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างชัดเจน คือเรื่องของราคาน้ำมันครับ มีให้ลือกเติมทั้งดีเซล, เบนซิน 92, เบนซิน 95 และเบนซิน 97 (อันหลังมีบางปั๊ม) ราคา I ปั๊มที่เราเติมนั้น ดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 1,010 จ๊าด หรือประมาณ 21 บาท, เบนซิน 92 ที่ลิตรละ 960 จ๊าด หรือประมาณ 20 บาท และเบนซิน 95 ที่ลิตรละ 1,000 จ๊าด หรือประมาณเกือบ 21 บาท เรียกว่าถูกกว่าบ้านเรามาก ราคาบวกจากราคาหน้าโรงกลั่นบ้านเราแค่นิดเดียว ทั้งนี้น่าจะมาจากโครงสร้างราคาน้ำมันของเขา คงเก็บภาษีแค่ตัวเดียว ต่างจากบ้านเราที่อัตราภาษีที่จัดเก็บนั้น สารพัดรูปแบบ ทำให้ราคาน้ำมันบ้านเราโดดขึ้นไปสูงกว่าที่พม่าเกือบ 10 บาท
หลังจากนั้น เราก็มุ่งหน้าเดินทางกันต่อ ระหว่างทางก็ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวพม่าได้มากขึ้น ได้เห็นรถที่ขับสวนมาและเราแซงไป มีทั้งรถพวงมาลัยด้านซ้ายและพวงมาลัยด้านขวา ซึ่งเรื่องนี้ทางพี่ไกด์ก็บอกมาเช่นกันว่า ตอนที่เปลี่ยนจากขับเลนชิดขวามาเป็นเลนชิดซ้าย ก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะรถบัส รถเมลืที่มีผู้โดยสารนั้น จะต้องลงทางด้านฝั่งซ้ายของตัวรถ และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นขับเลนขวา หมายความว่าเวลาผู้โดยสารจะลงจากรถ ต้องลงกลางถนน ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้ง ซึ่งในปัจจุบันที่เราเห็นกันตามท้องถนนในพม่านั้น ก็ยังคงมีรถเมล์ที่ลงทางด้านซ้ายของตัวรถอยุ่มากมาย ราวครึ่งต่อครึ่งกับรถเมล์พวงมาลัยซ้ายเลย น่าจะต้องให้เวลาปรับตัวอีกสักพัก แต่ถ้ามองต่อไปอีกว่า รถที่นำมาจำหน่ายในพม่านั้น จะเป็นรถมือ 2 ส่งตรงมาจากญี่ปุ่น ปัญหานี้ไม่น่าจะแก้ได้ง่าย ๆ เพราะที่ญี่ปุ่นนั้นใช้รถพวงมาลัยขวากันทั้งนั้นครับ
ในที่สุด พวกเราชาวคณะ Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E.) Go Anywhere Myanmar ก็เดินทางผ่านพ้นเมืองทวาย ที่ปกครองด้วยชาวกะเหรี่ยง เข้าสู่เมืองที่ปกครองด้วยชาวมอญ ซึ่งพวกเราก็ต้องยื่นเอกสารผ่านทางกันอีกครั้ง ประดุจจะเดินทางผ่านข้ามประเทศกันอีกที เพราะอย่างที่บอกไปแล้วครับ ว่าก่อนหน้านี้ รัฐบาลทหารพม่าพยายามที่จะปราบปรามชนกลุ่มน้อยแล้วรวบรวมประเทศให้เป็น 1 เดียว แต่ก็ไม่สำเร็จแบบเบ็ดเสร็จเพราะมีการต่อต้านอยู่ทั่วไป จนเกิดการสูญเสียล้มตายกันมากมาย ภายหลังจึงใช้วิธีการในการแบ่งการปกครอง ให้ชนกลุ่มน้อยอย่างพวกกะเหรี่ยง มอญ ได้ปกครองตนเอง แต่ก็ยังคงอยู่ภายใต้นโยบายหลักจากทางรัฐบาลอยู่ดี ดังนั้นการข้ามเขตจากทางฝั่งกะเหรี่ยงไปยังฝั่งมอญนั้น จึงต้องมีการแสดงเอกสารผ่านแดนกันอีกครั้ง แต่ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากครับ เพราะคณะเราจัดการมาเรียบร้อยตั้งแต่ต้นทางแล้ว จึงผ่านกันมาได้ด้วยดี
เส้นทางในช่วงนี้จะเป็นถนนบนภูเขาครับ แต่ไม่ได้แย่แบบเมื่อวาน อาจจะมีบ้างที่เจอเส้นทางขรุขระ แต่ไม่มากอะไร ถือเป็นอีกเส้นทางที่สวยงาม เพราะด้านซ้ายของเราเป็นผืนป่าธรรมชาตที่ยังสมบูรณืมากอยู่ ใครนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึงเส้นทางหลวงหมายเลข 12 พิษณุโลก-หล่มสัก ที่เราจะวิ่งเลาะเขา แล้วด้านข้างทางเป็นภาพภูเขาที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สีเขียวสดใสตลอดเส้นทาง ทำให้พวกเรามีความสุขในระหว่างทางมากเลยครับ ประกอบกับการทรงตัวของ Nissan Navara Black Edition ในการเข้าโค้งบนภูเขานั้น ทำได้ดีมาก ไม่มีอาการท้ายไหล หรือต้องประคองแก้เมื่อเข้าโค้งเลย ทำให้คนขับไม่ต้องเหนื่อยล้าในการขับบนเขาแบบนี้ครับ
วันที่ 2 ของการเดินทางกับนิสสัน แสงสุดท้ายของเราจบลงที่ริมแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำที่คนไทยคุ้นชื่อมากที่สุด (น่าจะมาจากหนังท่านมุ้ยนะ) เป็นแม่น้ำที่มีความยาวมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากแม่น้ำโขง มีความยาว 2,800 กิโลเมตร มีต้นกำเนิดจากการละลายของหิมะเหนือเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ที่ซึ่งเรียกแม่น้ำนี้ว่า นู่เจียง หมายถึง "แม่น้ำพิโรธ" และผ่านประเทศพม่าผ่านรัฐฉาน รัฐกะยา รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดน ระหว่างพม่ากับไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำเมย หลังจากนั้นแม่น้ำสาละวินจึงไหลวกกลับเข้าประเทศพม่า และไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดียที่อ่าวเมาะตะมะ รัฐมอญ แม่น้ำสาละวิน เป็น 1 ในแม่น้ำ 3 สาย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ร่วมกับ แม่น้ำโขง และ แม่น้ำแยงซี ในเขตพื้นที่มณฑลยูนนาน ภายใต้ชื่อ พื้นที่คุ้มครองแม่น้ำขนานสามสายแห่งยูนนาน โดยพื้นที่ดังกล่าว นับได้ว่าเป็นสถานที่แห่งหนึ่งบนโลกที่มีความอุดมสมบูรณ์และความหลายหลายทางชีวภาพสูง (ก็อปปี้มาจาก Wikipedia)
แม่น้ำสาละวินนั้น กว้างมากครับ ประเมินด้วยสายตาน่าจะกว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่พอตัว แต่ที่สำคัญสุดคือ เป็นแม่น้ำที่มีความสะอาดมากพอสมควรเลยครับ เราแทบจะไม่ได้เห็นขยะลอยอยู่ในน้ำเลย ถึงแม้จุดที่เราจอดรถชื่นชมความงามอยู่ จะอยู่ติดกับส่วนที่ดูแล้วน่าจะเป็นตลาดเลย และมีคนอยู่แถวนี้มากพอสมควร ทำให้แม่น้ำสายนี้ มีความงดงามเหมาะกับการมาแวะเยี่ยมชมให้ได้ครับ ทำให้การเดินทางที่ผ่านมาในวันนี้อีกกว่า 300 กิโลเมตร หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยครับ
เช้าวันใหม่ เป็นวันที่ 3 ของการเดินทางในทริป Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E.) Go Anywhere Myanmar เส้นทางในวันนี้ เราจะเริ่มเดินทางจากเมืองมะละแหม่ง มีปลายทางอยุ่ที่สนามบินนานาชาต ในเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของประเทศพม่า โดยเราจะกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนกันด้วยเครื่องบินในเที่ยวประมาณ 3 ทุ่มตรงครับ ระยะทางวันนี้ก็จะอยู่ที่ราว 300 กว่ากิโลเมตรเช่นกัน แต่วันนี้จะเป็นวันที่เราจะมีจุดแวะหลายที่ เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันไปที่ละแห่งครับ ส่วนรถที่จะพาเราไปวันนี้ ก็คือรถอเนกประสงค์ SUV อย่าง Nissan X-Trail 2.5 VL 4WD MY 2019 ตัวเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 171 แรงม้า แรงบิด 233 นิวตันเมตร
เส้นทางระหว่างทางที่เราได้เดินทางในเขตของชาวมอญนั้น สิ่งที่ผมเห็นและสังเกตได้ชัดเจนก็คือ บ้านเกือบทุกหลังระหว่างทางนั้น จะมีเป็นกำแพงที่ค้ายกล่องยื่นออกมาจากำแพงบ้านทุกหลัง (ลองดูตามภาพ) ซึ่งผมสงสัยมาว่าทำไมทุกบ้านถึงต้องมีอย่างนี้ ทางพี่ไกด์ได้บอกว่า ชาวมอญส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ (กะเหรี่ยงทางใต้ส่วนใหญ่เป็นคริสต์) และเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีความเคร่งเป็นอย่างมาก และในความเชื่อของชาวมอญก็คือ สามัญชนทั่วไป ไม่ควรได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ดังนั้นกล่องที่ยื่นออกมานอกกำแพงนี้ ก็คือหิ้งพระนั่นเอง เราจึงเห็นกล่องแบบนี้อยู่ในทุกหลังคาเรือน มีทั้งแบบไม้และแบบปูน
จุดแรกที่เราแวะกัน ก็คือที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งครับ แต่ไม่ได้มารับประทานอาหารกลางวันกัน แต่เราจะมาทำความรู้จักขนมชนิดหนึ่ง ที่เรียกกันว่า ขนมสายลับ (จำไม่ได้ว่าคนพม่าเรียกว่าอะไร) ซึ่งเป็นขนมในตำนานในช่วงปฏิวัติประเทศ โดยพี่ไกด์เล่าให้ฟังว่า ในสมัยนายพลเนวิน นายทหารผู้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจมาตั้งแต่ปี 2505 โดยช่วงก่อนกระทำการสำเร็จนั้น นายพลเนวินได้ส่งสายลับ ไปแทรกซึมอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีความขัดแย้งกับทางรัฐบาลกลาง ด้วยการปลอมตัวเป็นคนขายขนมอันนี้แหล่ะ แล้วจะสื่อสารระหว่างกันด้วยรหัสลับเกี่ยวกับการขายขนม เป็นการส่งสัญญาณหรือข้อความไปยังส่วนกลางได้ จนประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจมาทั้งหมด ถ้าดูตามประวัติแล้ว ก็คล้ายกับตำนานของขนมไหว้พระจันทร์ของทางประเทศจีนแหล่ะครับ มาถึงตัวขนมบ้าง มันจะถูกห่อไว้ด้วยใบตอง ห่อเอาไว้เป็นรูปทรงคล้ายขนมเทียนบ้านเรา ตัวแป้งทำจากแป้งข้าวเหนียง ตัวเนื้อสัมผัสของแป้งจึงคล้ายกับขนมเทียนแหล่ะ เพียงแต่ขนมสายลับจะมีการใส่งาดำลงมาในแป้งด้วย ส่วนตัวไส้นั้นเป็นมะพร้าวขูด ผัดออกรสชาติเค็มเล็กน้อย กินแล้วคล้ายกินขนมเทียนผสมขนมโค ถ้าถามว่าอร่อยไหม ผมว่าขนมเทียนบ้านเราอร่อยกว่า แต่พอเอามากินกับชานมร้อน มันก็ดูโอเคขึ้นมาพอตัวเลย
ชิมกันไปเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อเลย เส้นทางของเราในวันนี้ในช่วงเมืองเมาะตะมะเป็นต้นมา ถือว่าเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ถนนมีความเรียบมากขึ้น และมีขนาดกว้างขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นแบบเลนสวน 2 เลน อาจจะมีบ้างบางช่วงที่เป็นตัวเมือง ที่เพิ่มมาเป็น 4 เลน และแน่นอนว่า ยิ่งเข้าไปใกล้ตัวเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอรถวิ่งให้ขวักไขว่มากยิ่งขึ้น แต่ความสะดวกสบายในตัวรถ Nissan X-Trail 2.5 VL 4WD นั้น ช่วยให้การเดินทางของเราในวันนี้สบายยิ่งนัก นอกจากความนุ่มนวลของตัวรถ ที่เป็นจุดเด่นของรถอเนกประสงค์คันนี้แล้ว อุปกรณ์หน้าจอยังรองรับการใช้งาน Apple CarPlay อีกด้วย ผมลองเสียบสายเชื่อมต่อ แลวใช้งาน Google Maps เพื่อนำทาง มันก็แสดงบนหน้าจอ Touch Screen ขนาด 7 นิ้วได้เลย ไม่ต้องคอยมาก้มมองที่มือถือ แถมยังเปิด JOOX เพื่อฟังเพลงไทยได้อย่างสบายอีกด้วย
และช่วงประมาณบ่ายโมง เราก็เดินทางมาถึงเมืองพะโค หรือเมืองหงสาวดีในสมัยก่อน เมืองนี้เราน่าจะคุ้นเคยกันอย่างดี เพราะเคยเป็นเมืองหลวงของพม่าในสมัยก่อน ยุคกรุงศรีอยุธยายังคงเป็นราชธานีของชาวสยาม เป็นที่ตั้งของพระราชวังของบุเรงนอง และเคยเป็นที่อยู่ของพระนเรศวรมหาราช สมัยที่พระองค์ยังคงเป็นเชลยนั่นเอง พวกเราชาวคณะ Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E.) Go Anywhere Myanmar ก็แวะรับประทานอาหารเที่ยงกันภายในตัวเมือง เมื่ออิ่มอร่อยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ โดยปลายทางแรกคือการเดินทางไปเยียมพระราชงวังบุเรงนอง หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า พระราชวังกัมโพชธานี
พระราชวังกัมโพชธานี เป็นที่ประทับของกษัตริย์ของพม่า ในช่วงที่เมืองหงสาวดีเป็นเมืองหลวง ช่วงนั้นเมืองนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรด้วยความเก่งกล้าสามารถของผู้ชนะสิบทิศอย่าง พระเจ้าบุเรงนอง (ในหนังคนพม่าเรียกบาเยงนอง แต่จากการถามพี่ไกด์แล้ว ต้องออกเสียงว่า บาเยงนาว) เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2109 ซึ่งเป็นปีที่ 15 ของการครองราชย์ของพระองค์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระองค์เรืองอำนาจสูงสุด และแน่นอนว่า พระชาชวังแห่งนี้ก็เป็นที่ประทับของพระสุพรรณกัลยา องค์ประกันที่ตกเป็นเชลยและกลายเป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระองค์ด้วย ต่อมาเมื่อพระเจ้าบุเรงนองทรงสวรรคต พระเจ้านันทบุเรงก็ได้รับการเถลิงอำนาจกลายเป็นกษัตริย์องค์ต่อมา และใช้พระราชวังนี้เป็นที่ประทับเช่นกัน ก่อนที่จะถึงปี พ.ศ. 2138 อังวะ แปร และตองอู ได้พากันแข็งเมือง แล้วยกกันเข้ามาตีเมืองหงสาวดีจนแตก จัดการเผาพระราชวังทิ้งจนเหลือแต่ตอตะโก (พระนเรศวรก็ทรงกรีฑาทัพตามมาเพื่อช่วยป้องกันเช่นกัน แต่มาไม่ทัน หงสาวดีถูกตีแตกไปก่อน) ภายหลังจึงได้มีการบูรณะพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ โดยจัดการสร้างใหม่เฉพาะตัวท้องพระโรงหลักเท่านั้น ทำให้พระราชวังกัมโพชธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของประเทศพม่าเลย
หลังจากชื่นชมความงาม และถ่ายรูปคู่กับพระราชวังกัมโพชธานีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงหงสาวดีอย่าง เจดีย์ชเวมอดอ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ พระธาตุมุเตา ชื่อเรียกในภาษามอญ แปลว่า "จมูกร้อน" เพราะกล่าวกันว่าพระเจดีย์องค์นี้สูงมาก ต้องแหงนหน้ามองจนต้องกับแสงแดด เป็นเจดีย์สำคัญที่อยู่ในเมืองพะโค (หงสาวดี) ประเทศพม่า มีความสูง 114 เมตร (374 ฟุต) ถือเป็นองค์เจดีย์ที่สูงที่สุดในประเทศพม่า เชื่อกันว่าเจดีย์ชเวมอดอเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุและพระเขี้ยวแก้วของพระโคตมพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 ตั้งแต่สมัยอาณาจักรมอญเรืองอำนาจ วันทีเราแวะไปเยี่ยมชมและสักการะนั้น ตัววัดอุณหภูมิในรถ Nissan X-Trail 2.5 VL 4WD บอกเอาไว้ว่าภายนอกร้อนถึง 42 องศาเซียลเซียส และพื้นรอบเจดีย์นั้น ปูด้วยหินอ่อนทั้งหมด แล้วลองนึกดูสิครับว่าการเข้าไปในช่วงร้อนขนาดนี้ แล้วยังต้องเดินด้วยเท้าเปล่า มันจะสาหัสขนาดไหน กว่าจะเดินครบ 1 รอบ เล่นเอาเท้าพองกันไปเลย ขนาดทางวัดได้มีการปูพรมตาข่ายเอาไว้ให้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเลย สรุปจบครบ 1 รอบไปด้วยความทรมานเท้า แต่ก็อยากเดินให้ครบรอบ ด้วยแรงศรัทธาจริง ๆ ครับ
หลังจากจบจากการสักการะเจดีย์ชเวมอดอหรือพระธาตุมุเตาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ยังเหลือการเดินทางมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติในเมืองย่างกุ้ง เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย โดยระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ขับรถช่วงนี้สบายมากครับ เพราะถนนส่วนใหญ่เป็นถนน 4 เลน แบ่งข้างด้วยเกาะกลางแล้ว ใช้เวลาอยู่ที่ประมาณไม่ถึง 2 ชั่วโมง พวกเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยทุกคน
Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E.) Go Anywhere Myanmar ในรอบนี้ ต้องขอขอบคุณทีมงานของ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) อีกครั้ง ที่มอบโอกาสให้สื่อตัวเล็ก ๆ อย่าง AUTODEFT ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ การเดินทางรอบนี้จะเป็นอีก 1 ทริปในดวงใจของผมแน่นอนครับ
เดินทางและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com