ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2025 ตอนที่ 2
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 10 มี.ค. 68 13:56
- 4,126 อ่าน
ใกล้เข้าสู่การเริ่มต้นความมันของการแข่งขันรถแข่งสูตร 1 หรือ F1 (Formula 1) กันแล้ว โดยในฤดูกาล 2025 จะเป็นปีสุดท้ายที่จะใช้เครื่องยนต์แบบเก่า และเป็นปีที่มีการขยับที่นั่งในทีมกันมากมาย ดังนั้น เรามาเริ่มทำความรู้จัก ทั้ง 20 คน จาก 10 ทีมกันดีกว่าครับ
อ่าน ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2025 ตอนที่ 1 ได้ที่นี่
BWT Alpine F1 Team
Alpine F1 Team หรือเดิมคือ Renault ค่ายรถยนต์จากแดนน้ำหอมนั่นเอง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Formula 1 ตั้งแต่ปี 1977 ในนาม Renault โดยในปีแรกนั้น ได้ทำการส่งเครื่องยนต์ระบบ Turbo ลงสนามแข่งขันเป็นคันแรก และเมื่อถึงปี 1983 ก็เริ่มผลิตเครื่องยนต์รถแข่งส่งให้ทีมอื่นได้ใช้งานด้วย ก่อนที่จะเลิกทีมไปตอนปี 1986 ก่อนที่จะกลับมาลงทำการแข่งขันอีกครั้งในปี 2002 โดยซื้อทีมต่อมาจาก Benetton Formula Limited เริ่มต้นด้วยการใช้นักขับ Jarno Trulli และ Jenson Button ลงแข่งในฤดูกาลนั้น ทำคะแนนปีแรกไปได้ 23 คะแนนเท่านั้น จนถึงปี 2003 ทางทีมตัดสินใจปล่อยตัว Jenson Button แล้วนำนักแข่งสเปนอย่าง Fernando Alonso เข้ามาร่วมทีมแทน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อ Alonso ได้คว้าแชมป์แรกในยุคใหม่ของ Renault ได้ในรายการ 2003 Hungarian Grand Prix และปิดฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 4 ก่อนที่จะเริ่มกวาดแชมป์ในนามทีมผู้สร้างไปได้อีก 2 ครั้ง (2005, 2006) และในนามนักแข่งอีก 6 ครั้งเช่นกัน (2005, 2006) แน่นอนว่าทั้ง 2 ปีคือฝีมือของ Fernando Alonso นั่นเอง ส่วนในปี 2010-2013 นั้น Renault ก็มีส่วนคว้าแชมป์ไปด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่ทีม Red Bull Racing ใช้งานนั่นเอง ส่วนผลงานปี 2020 ทีม Renault ปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ด้วยคะแนนสะสม 181 คะแนน ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อทีมใหม่ให้เป็น Alpine F1 Team ในปี 2021 แล้วโชว์ฟอร์มดีจนสามารถจบเป็นอันดับที่ 5 ได้ และปี 2022 คือที่สุดของทีมแล้ว เมื่อสามารถไต่อันดับมาจนจบเป็นลำดับที่ 4 จนได้ แต่จนถึงปี 2023 ฟอร์มของนักแข่งกลับไม่ค่อยสม่ำเสมอสักเท่าไหร่ เลยทำให้จบอันดับเพียงที่ 6 เท่านั้น เช่นเดียวกับปี 2024 ก็ยังลงเอยด้วยการจบอันดับที่ 6 แต่สิ่งที่แย่กว่าก็คือ เก็บไปได้เพียง 65 คะแนนเท่านั้นเอง น้อยกว่าปีก่อนเกือบครึ่งเลยทีเดียว
Alpine F1 Team มีฐานหลักอยู่ 2 แห่งคือ ส่วนที่ดูแลเรื่องโครงสร้างของตัวรถอยู่ในอังกฤษ ส่วนเครื่องยนต์นั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าทีม โดยทาง Bruno Famin ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่ถึงปี ต้องลงจากตำแหน่ง แล้วส่งต่อให้ Oliver Oakes อดีตนักแข่งรถชาวอังกฤษวัย 37 ปี เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 เป็นต้นมา
นักแข่ง
Pierre Gasly
นักขับวัยรุ่นดวงใหม่วัย 29 ปี Pierre Gasly เป็นชาวฝรั่งเศส ที่เติบโตมาจาก Red Bull Junior Team เช่นกัน เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการรถสูตร 1 ได้ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Red Bull Racing ก่อนที่ในปี 2017 ช่วงปลายฤดูกาล เขาได้โปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักให้กับทีมเล็ก Toro Rosso แทนที่ Daniil Kvyat ลงแข่งรวม 5 สนาม แต่ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย ปีต่อมา ฤดูกาล 2018 ได้การันตีอยู่ในทีมเดิมต่อไป โดยเปลี่ยนคู่หูใหม่เป็น Brendon Hartley โดยเปิดตัวได้อย่างดี สามารถคว้าอันดับ 4 ได้ใน Bahrain Grand Prix ก่อนที่จะจบฤดูกาลไปด้วย 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 ปีต่อมาจึงได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ด้วยการถูกดึงขึ้นไปขับให้กับทีมใหญ่ Red Bull Racing เคียงคู่กับ Max Verstappen แต่ด้วยฟอร์มที่ไม่ดี และรับแรงกดดันไม่ไหว ไม่สามารถขึ้นไปกดดันกลุ่มทีมนำได้เลย จนถึงช่วงเบรกพักครึ่งฤดูกาล Christian Horner ผู้อำนวยการทีมจึงตัดสินในลดชั้น Pierre Gasly ลงไปอยู่ทีม Toro Rosso เช่นเดิม แล้วให้ Alex Albon ขึ้นมาขับทีมใหญ่แทน ซึ่งหลังจากนั้นก็ถือว่าเขาสามารถงัดฟอร์มที่ดีกลับมาได้อีกครั้ง โดยสามารถทำผลงานได้ดีที่สุดในบราซิล ด้วยการขึ้นโพเดียมด้วยการเป็นอันดับที่ 2 เป็นครั้งแรกในชีวิตในการแข่งขัน F1 เลย จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 95 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 และได้ที่นั่งในทีมเดิมต่อไป และปี 2020 คือปีที่ดีที่สุดของเขาเลย เพราะสามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างเต็มที่ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คว้าแชมป์ไปได้ 1 รายการที่ Monza และเก็บแต้มได้สม่ำเสมอ สุดท้ายจบฤดูกาลไปที่อันดับที่ 10 สุดท้ายแล้วความหวังในการกลับไปนั่งในทีม Red Bull Racnig ก็ยังไม่เป็นจริง เมื่อทีมใหญ่ยังมองว่าเขาเหมาะกับทีมเล็กมากกว่า ส่วนผลงานในฤดูกาล 2021 สามารถเก็บไปได้ 110 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 9 ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 3 ที่รายการ Azerbaijan Grand Prix ส่วนปี 2022 เขาจบเพียงอันดับที่ 14 เท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะได้รับการทาบทางจากทีม Alpine เพื่อเข้ามาขับแทน Fernando Alonso ที่ย้ายกลับไปอยู่ที่ McLaren ซึ่งถือเป็นโอกาสครั้งใหม่ เพราะเจ้าตัวคงไม่ได้รับโอกาสกลับขึ้นไปอยู่ทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing ได้อย่างแน่นอน แต่พอมองภาพรวมแล้ว ฟอร์มของเจ้าตัวในปี 2023 ก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต้องลุ้นกันทุกสนาม บางสนามก็ฟอร์มดี จบบนโพเดียมได้ 1 ครั้ง บางสนามก็ร่วงไปกลุ่มท้าย แต่สุดท้ายก็ยังประคองจนจบอันดับที่ 11 ไปจนได้ ในปี 2024 เจ้าตัวก็ยังจะพอประคองฟอร์มเอาไว้ได้ จบในอันดับที่ 10 ในส่วนของนักแข่ง พร้อม 1 โพเดียมเป็นรางวัลที่ดีที่สุดในปีก่อน
Jack Doohan
Jack Doohan นักแข่งวัย 22 ปี ชาวออสเตรเลีย เป็นบุตรชายของ Mick Doohan อดีตแชมป์โลกมอเตอร์ไซค์กรังด์ปรีซ์ 5 สมัย เขาเริ่มต้นอาชีพการแข่งรถโกคาร์ทเมื่ออายุ 9 ปี โดยได้รับโกคาร์ทคันแรกจาก Michael Schumacher อดีตเพื่อนบ้านและแชมป์โลกฟอร์มูล่าวัน 7 สมัย ในปี 2015 และ 2016 Jack คว้าแชมป์ Australian Karting Championship ในรุ่น KA2 และ KA Junior ตามลำดับ ในปี 2017 เขาจบอันดับที่ 3 ในการแข่งขัน CIK-FIA European Championship (OK Junior) โดยชนะในรอบที่สวีเดน Jack เริ่มต้นอาชีพการแข่งรถสูตรในปี 2018 กับทีม TRS Arden ในการแข่งขัน F4 British Championship โดยคว้าชัยชนะ 3 ครั้ง และจบอันดับที่ 5 ในตารางคะแนนรวม นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมการแข่งขันในรายการ ADAC Formula 4 และ Italian F4 Championship กับทีม Prema Powerteam ในบางสนาม ในปี 2019 Jack เข้าร่วมการแข่งขัน F3 Asian Championship กับทีม Hitech Grand Prix โดยชนะ 5 ครั้ง และจบอันดับที่ 2 ในตารางคะแนนรวม เขายังเข้าร่วมการแข่งขัน Euroformula Open Championship กับทีม Double R Racing และจบอันดับที่ 11 โดยมี 2 โพเดียม ในปี 2020 เขาเข้าร่วมการแข่งขัน FIA Formula 3 Championship กับทีม HWA Racelab แต่ไม่ได้คะแนน อย่างไรก็ตาม ในปี 2021 เขาย้ายไปทีม Trident และสามารถคว้าชัยชนะ 4 ครั้ง และจบอันดับที่ 2 ในตารางคะแนนรวม Jack Doohan เข้าร่วมการแข่งขัน FIA Formula 2 Championship ในปี 2021 กับทีม MP Motorsport ใน 2 สนามสุดท้าย โดยมีผลงานที่น่าประทับใจ ในปี 2022 และ 2023 เขาแข่งเต็มฤดูกาลกับทีม Virtuosi Racing โดยในปี 2023 เขาจบอันดับที่ 3 ในตารางคะแนนรวม หลังจากนั้น Doohan เข้าร่วม Alpine Academy ในปี 2022 และทำหน้าที่เป็นนักขับสำรองให้กับทีม Alpine F1 ในปี 2023 และ 2024 เขาเปิดตัวในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันครั้งแรกในรายการ Abu Dhabi Grand Prix ปี 2024 โดยแทนที่ Esteban Ocon และในที่สุด ในปี 2025 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนักขับหลักให้กับทีม Alpine F1 โดยจับคู่กับ Pierre Gasly แทนที่ของ Esteban Ocon ที่ย้ายไปอยู่ทีม Haas นั่นเอง
MoneyGram Haas F1 Team
ทีมสายเลือดอเมริกัน Haas เริ่มต้นทีมด้วยการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐ ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาร่วมลงแข่งรถสูตร 1 ในปี 2016 มีฐานใหญ่อยู่ในสหรัฐ ก่อตั้งทีมโดย Gene Haas เจ้าของ Haas Automation ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลโรงงาน เริ่มต้นฤดูกาลแรกด้วยการใช้นักแข่งอย่าง Romain Grosjean และ Esteban Gutiérrez แค่สนามแรกในรายการ Australian Grand Prix นักขับอย่าง Grosjean สามารถเข้าเส้นชัยได้ในอันดับที่ 6 เก็บไป 8 แต้มให้กับทีม ถือเป็นทีมผู้สร้างจากอเมริกาทีมแรกที่สามารถคว้าแต้มใน F1 ได้ และเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก Toyota Racing ที่สามารถเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ลงสนามครั้งแรกเมื่อปี 2002 และยังจบอันดับที่ 5 ในสนามต่อมาอีกด้วย เปิดปีแรกไปอย่างสวยงาม กับ 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 8 จาก 11 ทีม และปี 2017 ได้สลับตำแหน่งนักขับด้วยการเอา Kevin Magnussen มาแทนที่ Gutiérrez แล้วก็เปิดหัวได้อย่างดี โดยเฉพาะที่โมนาโก เมื่อนักขับทั้ง 2 คนสามารถเก็บแต้มให้ทีมได้ทั้งคู่ (อันดับ 8 และ 10) จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมด้วยแต้มที่มากขึ้นเป็น 47 คะแนน แต่พอเข้ามาปี 2018 กลับเปิดหัวด้วยฝันร้ายในรายการที่ออสเตรเลีย โดยขณะที่แข่งอยู่นั้น Magnussen และ Grosjean กำลังอยู่ในอันดับที่ดี คือที่ 4 และที่ 5 แต่ความผิดพลาดใน Pit Stop ที่ทำการล๊อกยางไม่ดี ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นซ้ำ 2 ครั้งในรอบเดียวได้ แต่สุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนก็ค่อย ๆ ไล่เก็บคะแนนได้เรื่อย ๆ จนสุดท้ายปิดฤดูกาลไปด้วย 93 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 5 เป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างน่าประหลาดใจสำหรับทีมน้องใหม่ที่ลงแข่งเพียงไม่กี่ปี แต่ปีล่าสุด ฤดูกาล 2019 มันคือฝันร้ายของ Haas ถึงแม้จะใช้นักแข่งคู่เดิม แต่ผลงานกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด จบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 9 มี 28 คะแนนเท่านั้น อันดับที่ดีที่สุดคืออันดับ 7 ในสนามที่สเปนกับฮังการี ทำเอาเจ้าของทีมอย่าง Gene Haas หัวเสียไปเลย แต่เท่านั้นยังไม่แย่พอ เพราะทีมยังฟอร์มตกอย่างถึงที่สุด กับการเก็บได้เพียง 3 คะแนนเท่านั้น จบในอันดับรองบ๊วย แถมยังประสบปัญหาการเงินอีก ทำให้ปีนี้จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบยกทีม ด้วยการเสี่ยงเอานักแข่งหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการแข่งรถ F1 มาก่อนเลยทั้ง Mick Schumacher และ Nikita Mazepin และก็พังจริง ๆ เพราะทีมไม่สามารถเก็บคะแนนจากทั้ง 2 คนได้เลย จบฤดูกาลปี 2021 ด้วยการไม่มีคะแนนเลย รับตำแหน่งบ๊วยไป แถมยังประสบปัญหาการเงินก่อนแข่งฤดูกาล 2022 อีก เพราะต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญากับผู้สนับสนุนหลักอย่าง Uralkali เนื่องจากเจ้าของอย่าง Dmitry Mazepin เป็นผู้ใกล้ชิดกับ Vladimir Putin ประธานาธิบดีของรัสเซีย ที่ออกคำสั่งรุกรานประเทศยูเครน จนทำให้ทั่วโลกกำลังกดดันในรูปแบบต่าง ๆ และแน่นอนว่าเมื่อผู้สนับสนุนหลักถูกยกเลิกสัญญาไป นักขับอย่าง Nikita Mazepin ที่เข้ามาอยู่ในทีมได้ด้วยกำลังเงินสนับสนุน ก็ต้องถูกยกเลิกสัญญาไปด้วยแบบอัตโนมัติ แต่ถึงจะเริ่มต้นไม่ดี แต่พอถึงการแข่งขันจริง ทีม Haas กลับทำผลงานดีไม่ใช่น้อย สามารถเก็บคะแนนได้ถึง 37 คะแนน หนีบ๊วยกลับมาอยู่อันดับที่ 8 จนได้ แต่ตอนจบฤดูกาล ทีมกลับเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับลูกนักขับอดีตแชมป์โลก 7 สมัยอย่าง Mick Schumacher เพราะทีมมองว่าเขายังฝีมือไม่ถึงนั่นเอง แต่ถึงจะเอามือเก๋ามาขับในปี 2023 ทั้ง Kevin Magnussen และ “The Hulk” Nico Hulkenberg ฟอร์มของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากรถนั้นเร็วสู้คู่แข่งแทบไม่ได้เลย เก็บคะแนนได้เพียง 12 คะแนนเท่านั้น กลับมาจมบ๊วยเหมือนเดิม แต่พอเข้าปี 2024 รถของ Haas เริ่มจะเร็วขึ้น และเก็บคะแนนได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งฤดูกาลกวาดไปรวม 58 คะแนนจากนักแข่งคู่เดิม แต่ก็ไม่ดีพอที่จะทำให้เก้าอี้ของทั้ง 2 คนนั้นมั่นคงได้ ปี 2025 ทีม Haas เลยจัดการเปลี่ยนนักขับใหม่ยกทีมเลย
Haas F1 Team ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Ferrari อยู่ เคยมี Günther Steiner ชาวอิตาลีวัย 59 ปี ขวัญใจชาวซีรี่ย์ Drive To Survive บน Netflix มาก่อน แต่ปี 2024 มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง เมื่อมีการดันเอา Ayao Komatsu วิศวกรชาวญี่ปุ่นวัย 49 ปี มือขวาของ Günther ที่เราคุ้นเคยใน Drive To Survive อยู่แล้ว มาคุมบังเหียนทีม พร้อมกับภาระอันหนักอึ้งเลยทีเดียว แต่ผลงานปีก่อนก็เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดี ว่าเขามีดีพอที่จะได้ไปต่อในปี 2025
นักแข่ง
Esteban Ocon
อดีตนักแข่งหนุ่มอนาคตไกล แต่ไร้ซึ่งเส้นทางที่สวยงามอย่าง Esteban Ocon หนุ่มอายุ 28 ปีชาวฝรั่งเศส ผลงานการสร้างโดยทีมเยาวชนของ Mercedes F1 team เริ่มต้นอยู่ในแวดวงรถแข่ง F1 เมื่อปี 2014 ในนามนักแข่งทดสอบของ Lotus F1 ก่อนที่ปี 2015 จะถูกทีม Force India เรียกตัวไปช่วยขับทดสอบแทน Pascal Wehrlein ที่เกิดอาการป่วย และในปีถัดมา ทีม Renault Sport F1 ได้ประกาศให้ Ocon ได้เป็นนักแข่งสำรองให้กับทีมในฤดูกาล 2016 จนถึงเดือนพฤษภาคม เขาได้ถูกทีม Manor Racing ไปขับแทน Rio Haryanto เนื่องจากการตกลงข้อตกลงกับผู้สนับสนุนไม่ได้ เริ่มสนามแรกในการแข่งขันรายการ Belgian Grand Prix จบอันดับที่ 16 ในปีนั้นทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับที่ 12 เท่านั้น ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย แต่ในปี 2017 Ocon ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแข่งหลักในทีม Force India คู่กับ Sergio Pérez สร้างผลงานได้ดีขึ้น เก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ดีที่สุดคืออันดับที่ 5 เก็บไปได้ 87 คะแนน ถือว่าดีมากสำหรับการขับให้ทีมกลางตาราง แต่ปีต่อมาผลงานตกลงไป ด้วยการจบอันดับที่ 12 ด้วย 49 คะแนน ผลงานดีที่สุดคือการจบที่ 6 ในสนาม และมันคือปีล่มสลายของทีม เพราะทีมถูกสั่งให้ขายจากปัญหาเรื่องการเงินของเจ้าของทีม Vijay Mallya เพราะเจอกับข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเงินในอินเดีย สุดท้ายก็เป็น Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดา พ่อของ Lance Stroll นักแข่งของทีม Williams เข้ามาซื้อทีมไปแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Racing Point แน่นอนว่าเมื่อพ่อเป็นเจ้าของทีม ก็ต้องดึงตัวลูกชายมาช่วยขับให้ทีมของตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้น 1 ใน 2 คนที่ขับอยู่ก็ต้องหลุดออกจากทีมไป สุดท้าย Ocon คือชื่อนั้น ท่ามกลางเสียงนินทาว่าที่ Pérez ยังได้อยู่ต่อ เพราะมีสปอนเซอร์ทุนหนาหนุนหลังอยู่นั่นเอง ดังนั้นในปี 2019 เขาจึงไม่ได้ทำการลงแข่งขันรถสูตร 1 แต่ทำหน้าที่เป็นนักขับสำรองให้กับทีม Mercedes ไปก่อนชั่วคราว (Ocon มี Toto Wolff เป็นผู้จัดการส่วนตัว) ก่อนที่สุดท้าย Renault Sport F1 จะเซ็นสัญญามาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในปี 2020 เป็นต้นไป และสามารถทำฟอร์มดีด้วยการจบอันดับที่ 2 ไปได้ 1 สนาม และทำคะแนนรวมไปได้ 62 คะแนน เป็นอันดับที่ 12 แต่ปี 2021 ต้องถือเป็นปีที่น่าจดจำสำหรับเขา ถึงแม้ว่าจะทำคะแนนสะสมรวมของนักแข่งได้เป็นอันดับที่ 11 เท่านั้น แต่ในรายการ Qatar Grand Prix เขาสามารถคว้าแชมป์สนามไปครองได้ ทั้งที่สนามอื่นเขาไม่เคยได้ตำแหน่งบนโพเดียมด้วยซ้ำ ส่วนผลงานในปี 2022 เขาจบในฐานะนักแข่งในอันดับที่ 8 ส่วนปี 2023 ฟอร์มก็ยังร่วงหล่นต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะขึ้นโพเดียมได้ 1 สนาม แต่สุดท้ายก็ทำคะแนนรวมจบได้เพียงอันดับที่ 12 เท่านั้น ส่วนผลงานในปี 2024 กลับแย่ลงไปอีก เมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 14 ในฐานะนักแข่ง ทำได้เพียง 23 คะแนนเท่านั้น สุดท้ายไม่ได้รับการต่อสัญญาจากทีม Alpine แต่เจ้าตัวยังมีฝีมือดีพอที่จะให้ทีม Hass เรียกตัวเข้ามาร่วมทีมในปีนี้
Oliver Bearman
Oliver Bearman หนุ่มน้อยชาวอังกฤษวัย 19 ปี เริ่มต้นอาชีพการแข่งรถโกคาร์ทเมื่ออายุ 7 ปี และประสบความสำเร็จในหลายรายการทั้งในระดับประเทศและระดับทวีป ในปี 2020 Bearman เข้าร่วมการแข่งขัน ADAC ฟอร์มูล่า 4 กับทีม US Racing และสามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกที่ Hockenheimring เขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ในตารางคะแนนรวม ในปี 2021 เขาย้ายไปทีม Van Amersfoort Racing และเข้าร่วมการแข่งขันทั้งใน ADAC ฟอร์มูล่า 4 และอิตาเลียน ฟอร์มูล่า 4 เขาสามารถคว้าแชมป์ทั้งสองรายการในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นักแข่งสามารถทำได้ หลังจากนั้น Bearman เข้าร่วมการแข่งขัน FIA ฟอร์มูล่า 3 ในปี 2022 กับทีม Prema Racing เขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ในตารางคะแนนรวม ซึ่งเป็นผลงานที่น่าประทับใจสำหรับนักแข่งหน้าใหม่ ในปี 2023 Oliver เข้าร่วมการแข่งขัน FIA ฟอร์มูล่า 2 กับทีม Prema Racing เขาสามารถคว้าชัยชนะในบางสนามและจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 ในตารางคะแนนรวม ซึ่งผลงานที่ผ่านมา ก็เข้าตาทีมใหญ่อย่าง Ferrari เลยมีหมายเชิญให้ Bearman เข้าร่วม Ferrari Driver Academy ในปี 2022 ในปี 2024 เขาทำหน้าที่เป็นนักขับสำรองให้กับทีม Ferrari และ Haas และก็เป็นโชคดีที่เขาได้เปิดตัวในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันครั้งแรกในรายการ Saudi Arabian Grand Prix ปี 2024 แทนที่ Carlos Sainz Jr. ที่ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้เนื่องจากต้องเข้าผ่าตัดจากอาการไส้ติ่งอักเสบ ในการแข่งขันครั้งนั้น เขาจบอันดับที่ 7 ทำให้เขาเป็นนักขับที่อายุน้อยที่สุดที่เคยแข่งให้กับ Ferrari และยังคว้าคะแนนได้เลย นอกจากนี้ เขายังแทนที่ Kevin Magnussen ในรายการ Azerbaijan Grand Prix และ São Paulo Grand Prix ในปีเดียวกันอีกด้วย ในปี 2025 Oliver ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนักขับหลักให้กับทีม Haas F1 โดยจับคู่กับ Esteban Ocon
Visa Cash App Racing Bulls Formula One Team
Visa Cash App Racing Bulls Formula One Team หรือบนสื่ออาจจะเรียกสั้น ๆ ว่า RB หรือ VCARB ก็ได้ แต่ถ้าเอาอย่างย่อที่เป็นทางการ ก็จะเรียกว่าทีม Racing Bulls ทีมนี้คือทีมน้องร่วมสายเลือดกับ Red Bull Racing เลย เพราะนักแข่ง 4 คนจาก 2 ทีมนี้ สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้อยู่ตลอดเวลา สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อิตาลี เริ่มก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 ด้วยการซื้อทีม Minardi ต่อมาจาก Paul Stoddart ทาง Dietrich Mateschitz ผู้เป็นเจ้าของ Red Bull เลยต้องการใช้ทีมนี้เป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชนเพื่อให้พร้อมกับการขึ้นไปสู่ทีมใหญ่ใน Red Bull Racing อีกทีหนึ่ง โดยปีแรกใช้งานนักขับอย่าง Vitantonio Liuzzi และ Scott Speed แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ไม่เป็นใจ เลยไม่สามารถขับให้จบการแข่งขันไปหลายสนาม และทำอันดับได้ไม่ดี เลยจบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บไปได้เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ปี 2007 เลยตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปใช้ของ Ferrari แต่ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เก็บไปได้เพียง 8 คะแนน แต่ปีนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะช่วง 7 สนามสุดท้าย ก็ได้มีการเอา Sebastian Vettel เข้ามาเป็นนักขับแทน Scott Speed และทำผลงานได้ดีที่สุดถึงอันดับที่ 4 ปี 2008 Vettel เลยได้ตำแหน่งนักขับในทีมไปครอง เป็นปีที่เริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะสามารถเก็บแต้มได้ถึง 39 แต้ม แถมยังคว้าแชมป์ได้อีก 1 สนาม ผลงานของ Vettel ที่รายการ Italian Grand Prix อีกด้วย ก่อนที่ภายหลังจะได้ขึ้นไปขับในทีมใหญ่ จากนั้น Toro Rosso ก็กลายเป็นทีมแรกรับของนักแข่งเยาวชน เพื่อป้อนนักแข่งส่งให้ทีมใหญ่อีกหลากหลายคน ทั้ง Daniel Ricciardo, Daniil Kvyat, Max Verstappen, Pierre Gasly, Alexander Albon หรือแม้กระทั่ง Carlos Sainz Jr. ที่ไม่เคยขึ้นไปขับทีมใหญ่ แต่ย้ายไปขับให้ Renualt และ Mclaren และ Ferrari ก็เคยอยู่ในทีมนี้มาก่อนเช่นกัน ปี 2021 สามารถเก็บคะแนนรวมไปได้ 142 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 แต่ปี 2022 กลับเป็นปีที่ฟอร์มย่ำแย่อย่างมาก โดยจบฤดูกาลเป็นลำดับที่ 9 เก็บคะแนนได้เพียง 35 คะแนนเท่านั้น ต่อมาในปี 2023 ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะคู่หู Yuki Tsunoda กับ Nyck de Vries แทบทำคะแนนกันไม่ได้เลย ทีมเลยต้องตัดสินใจตัดตัว Nyck ออก แล้วจับเอานักขับลูกหม้ออย่าง Daniel Ricciardo เข้ามาแทนที่ แต่ผลงานก็ยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี สุดท้ายจบฤดูกาลด้วย 25 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 8 เท่านั้น ปัจจุบันใช้เครื่องยนต์ของ Red Bull Powertrains เป็นขุมกำลังเช่นเดียวกับทีมใหญ่ ส่วนผลงานในปี 2024 มีการเปลี่ยนม้ากลางศึกเช่นเคย โดยผู้ที่หลุดจากตำแหน่งคือขวัญใจชาวสื่อและแฟน ๆ รถแข่ง F1 อย่าง Daniel Ricciardo แล้วเป็น Liam Lawson ที่มาแทนใน 6 สนามสุดท้าย แต่ผลงานก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เก็บได้ 46 คะแนน จบด้วยอันดับที่ 8 ในฐานะทีมผู้สร้าง
Visa Cash App RB Formula One Team ยังคงใช้หัวหน้าทีมเป็นคนเดิมอย่าง Laurent Mekies วิศวกรชาวฝรั่งเศสวัย 47 ปี ที่ร่วมทำงานกับทีมนี้ตั้งแต่ปี 2005 ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปทำกับ FIA ในปี 2014 และย้ายตัวเองกลับมาทีมแข่งอย่าง Ferrari ในปี 2018 ก่อนที่จะถูกเทียบเชิญให้มาคุมทีม Racing Bulls ในปี 2024
นักแข่ง
Yuki Tsunoda
หนุ่มน้อยชาวญี่ปุ่นวัย 23 ปี ที่เริ่มไต่เต้าความสำเร็จมาตั้งแต่วัย 16 กับการเข้ามาแข่งขันในรายการ Formula 4 ในญี่ปุ่น จากการเป็นนักเรียนในสังกัด Honda's Suzuka Circuit Racing School แล้วได้มาอยู่ในโครงการ Honda Formula Dream Project จบการแข่งขันสนามแรกด้วยอันดับที่ 2 และจบอันดับ 4 ในสนามที่ 2 ด้วยความมีฝีมือ จึงมีโอกาสได้เข้าร่วมทีม Red Bull junior team จนจบปี 2018 แล้วขยับตำแหน่งขึ้นมาขับ F3 ในปี 2019 กับทีม Jenzer Motorsport ซึ่งก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีด้วยการเก็บคะแนนได้ทุกสนาม ได้แชมป์ 1 สนาม และขึ้นโพเดียมอีก 3 ครั้ง จากนั้นในปี 2020 ก็ได้ขยับขึ้นมาขับรายการ FIA Formula 2 Championship กับทีม Carlin คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม, 4 Pole-Position, 7 โพเดียม จบฤดูกาลในอันดับที่ 3 จนได้รับโอกาสในการเป็นนักขับหลักของทีม Scuderia AlphaTauri ในปี 2021 แทนที่ของ Daniil Kvyat ซึ่งก็ถือว่าเป็นนักแข่ง Rookie ที่สามารถทำผลงานได้ดีมากที่สุดในฤดูกาลแรกกับการเก็บได้ 32 คะแนนจบอันดับ14 ในคะแนนนักขับรวม ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 4 ในการแข่งสนามสุดท้ายที่ Abu Dhabi ส่วนปี 2022 กลับเก็บได้เพียง 12 คะแนนเท่านั้น เป็นอันดับที่ 17 ในคะแนนนักขับ แต่ปี 2023 เขาก็เริ่มขยับฟอร์มขึ้นมาได้ดีขึ้น เก็บได้คะแนนเป็น 17 คะแนน และฟอร์มการขับก็ดุดัน เร็วมากขึ้นด้วย และในปี 2024 เขาเริ่มกลายเป็น “เดอะแบก” ของทีมตัวจริง ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงมาก รถของคู่แข่งก็เร็วขึ้นแทบทั้งนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังโชว์ฟอร์มอันดุดัน จนเก็บได้เพิ่มเป็น 30 คะแนน จบด้วยอันดับที่ 12 ในฐานะนักแข่ง จนนักข่าวหลายสำนักบอกว่า นี่แหล่ะคือคนที่ควรขึ้นไปขับแทนที่ Sergio Perez ที่ฟอร์มกำลังแย่ในทีมใหญ่ได้แล้ว แต่สุดท้ายทีม Red Bull Racing กลับเลือกน้องใหม่อย่าง Liam Lawson ขึ้นไปขับแทนในปีนี้ ทำให้เจ้าตัวต้องรอโอกาสต่อไป
Isack Hadjar
Isack Hadjar นักแข่งชาวฝรั่งเศสวัย 20 ปี เกิดในครอบครัวที่มีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ บิดาของเขาเป็นนักฟิสิกส์ควอนตัม และมารดามีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และทำงานในสายงานทรัพยากรบุคคล แต่เขากลับกลายเป็นลูกไม้หล่นไกลต้น เพราะเจ้าตัวชื่นชอบการแข่งขันรถแข่ง และเอาดีทางด้านนี้แทน Hadjar เริ่มสนใจกีฬามอเตอร์สปอร์ตเมื่ออายุ 7 ปี หลังจากชมภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง “Cars” ของ Pixar บิดาของเขาซึ่งเคยเป็นช่างเครื่องโกคาร์ทได้สนับสนุนให้เขาเริ่มขับโกคาร์ทในปี 2012 จนในปี 2018 เขาเข้าร่วมการแข่งขัน FIA European Karting Championship ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในวงการ Motorsport ในปี 2019 Hadjar เข้าร่วมการแข่งขัน French F4 Championship กับทีม FFSA Academy และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ปี 2021 เขาเข้าร่วมการแข่งขัน Formula Regional European Championship และสามารถคว้าชัยชนะหลายครั้ง จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 จนถึงปี 2022 Hadjar เข้าร่วมการแข่งขัน FIA Formula 3 กับทีม Hitech Grand Prix และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 ปี 2023 เขาก้าวขึ้นสู่การแข่งขัน FIA Formula 2 กับทีม Hitech Pulse-Eight และสามารถคว้าชัยชนะในสนาม Zandvoort ในปี 2024 เขาย้ายไปทีม Campos Racing และจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ ความสำเร็จในฟอร์มูล่า 2 ทำให้ Isack ได้รับการขนานนามว่า “le Petit Prost” ในสื่อฝรั่งเศส และแน่นอนว่า ฟอร์มอันยอดเยี่ยมไปเข้าตาทีมงานของทีม Red Bull Racing จนได้ ทำให้ในปี 2025 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนักขับ F1 ตัวหลักให้กับทีม Visa Cash App Racing Bulls คู่กับ Yuki Tsunoda
Williams Racing
ทีมนี้เริ่มต้นก่อตั้งทีมแล้วเข้าร่วมแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1977 โดย Sir Frank Williams เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford-Cosworth แต่ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลยในช่วงปีแรก แต่มาเริ่มสะสมความยิ่งใหญ่ในปี 1980 เมื่อได้นักขับอย่าง Alan Jones กับ Carlos Reutemann มาช่วยเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ จนคว้าแชมป์ไปได้ทั้งฐานะทีมผู้สร้างและนักขับ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้แล้ว และมีการเก็บแชมป์โลกในรางวัลทีมผู้สร้างไปรวม 9 ครั้ง (1980, 1981, 1986, 1987, 1992, 1993, 1994, 1996, 1997) และในรางวัลนักขับอีก 7 ครั้ง (1980, 1982, 1987, 1992, 1993, 1996, 1997) ทั้ง Alan Jones, Keke Rosberg, Nelson Piquet, Nigel Mansell, Alain Prost, Damon Hill และคนสุดท้ายที่สร้างความสำเร็จได้คือ Jacques Villeneuve ซึ่งขับรถสูตร 1 เป็นปีที่ 2 เท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้เลย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลงานของทีม Williams ก็ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้อีกเลย โดยมีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์หลายหลายยี่ห้อ โดยปี 1998 ใช้ของ Mecachrome, ปี 1999 ใช้ของ Supertec, ปี 2000-2005 ใช้ของ BMW, ปี 2006 กลับมาใช้ของ Cosworth อีกครั้ง ปีต่อมาเปลี่ยนเป็นของ Toyota ใช้ต่อเนื่องจนถึงปี 2010-2011 กลับมาใช้ของ Cosworth อีก ปี 2012–2013 หันไปใช้ของ Renault ก่อนที่จะถึงปี 2014 จะหันมาใช้ของ Mercedes-Benz ซึ่งยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ฤดูกาลล่าสุดคือความตกต่ำสุดขีดของทีม Williams Racing เพราะจากการแข่งขันไป 21 สนาม ทีมสามารถเก็บได้เพียงคะแนนเดียว จากการแข่งขันในเยอรมนี ที่ Robert Kubica สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับที่ 10 ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก วิ่งเข้าเส้นชัยได้เพียงแค่ 13 คันจาก 20 คันเท่านั้นเอง แถมนักแข่งจากทีม Alfa Romeo ยังถูกปรับเพิ่มอีก 30 วินาที จากการทำผิดกฎเรื่องระบบช่วยเหลือตอนออกสตาร์ทอีกด้วย และผลงานของฤดูกาล 2020 ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ ไม่สามารถเก็บได้แม้แต่คะแนนเดียว สุดท้ายเมื่อช่วงกลางฤดูกาล จึงได้มีการเปลี่ยนมือจากกลุ่มตระกูล Williams ไปสู่มือของกลุ่มทุนในสหรัฐ Dorilton Capital ที่เข้ามาดูแลทีมต่อไปด้วยจำนวนเงิน 152 ล้านยูโร หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท ฤดูกาล 2021 ถือเป็นปีที่ดีขึ้นเลย เพราะสามารถเก็บคะแนนได้รวมทั้งปี 23 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 8 แต่ก็มีข่าวร้ายเมื่อผู้ก่อตั้งทีมอย่าง Sir Frank Williams ต้องจากไปอย่างสงบด้วยวัย 79 ปีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2021 แต่เมื่อมาถึงปี 2022 ฟอร์มของทีมก็ร่วงหล่นตามกำลังเครื่องยนต์ของ Mercedes เลย เมื่อจบได้เป็นลำดับสุดท้าย เก็บไปได้เพียง 8 คะแนนเท่านั้น แต่ปี 2023 กลับกลายเป็นปีที่ทีม Williams พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการที่รถถูกปรับจูนจนมีจุดเด่นในทางตรง และฟอร์มการขับอย่างยอดเยี่ยมของ Alexander Albon ทำให้เก็บคะแนนได้มากถึง 28 คะแนน จนจบได้อันดับที่ 7 เลยทีเดียว แต่ในปี 2024 กลายเป็นดาวร่วงเฉย เมื่อรถของ Williams เร็วสู้คู่แข่งไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด จบฤดูกาลด้วยการเก็บได้เพียง 17 คะแนน โดยนักขับหลักอย่าง Alexander Albon ก็ทำไป 12 คะแนนแล้ว ส่วน 5 คะแนนที่เหลือ เป็นผลงานของ Franco Colapinto ที่เข้ามาขับแทน “น้องจ่า” Logan Sargeant ใน 9 สนามสุดท้ายเท่านั่นเอง
แน่นอนว่า ทีม Williams Racing ถูกดูแลโดยคนในตระกูล Williams มายาวนาน 43 ปี ทั้ง Sir Frank Williams ผู้ก่อตั้งทีมและ Claire Williams ที่มาดูแลในภายหลัง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของแล้ว ทีมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลทีมใหม่ ซึ่งปีแรกได้ Simon Roberts ชาวอังกฤษวัย 63 ปี มาเป็นผู้อำนวยการทีม แต่ในช่วงกลางฤดูกาลก็ถูกเปลี่ยนเป็น Jost Capito ชาวเยอรมันวัย 66 ปี ที่คร่ำหวอดในวงการ Motorsport มากว่า 30 ปี ทั้ง BMW Motorsport, Porsche, Sauber, Ford Performance, Volkswagen Motorsport, McLaren ก่อนที่จะมาเป็น CEO และผู้อำนวยการทีมในปีก่อน แต่สุดท้ายแล้วทีมก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่ง James Vowles วิศวกรชาวอังกฤษวัย 45 ปี ที่มีประสบการณ์ในวงการ F1 มานานกว่า 20 ปีมาช่วยดูแลตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
นักแข่ง
Alexander Albon
นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ “น้องเล็ก” Alexander Albon นักแข่ง F1 ที่ลงทำการแข่งขันภายใต้ธงชาติไทย อายุ 27 ปี เริ่มต้นเหมือนกับนักแข่งทั่วไปด้วยการขับรถแข่งโกคาร์ทมาก่อนตั้งแต่เด็ก แล้วเริ่มเข้ามาสู่วงการ F2 ช่วงปี 2017 กับการขับให้ทีม ART Grand Prix ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 10 ของคะแนนนักขับ ทำคะแนนไปได้ 86 คะแนน โดยสนามสุดท้ายเกือบที่จะคว้าแชมป์ไปได้ที่สนาม Abu Dhabi แต่กลับโดน Charles Leclerc เฉือนเข้าเส้นชัยไปได้อย่างหวุดหวิด ปีต่อมาก็ได้ย้ายไปขับให้ทีม DAMS แล้วจบฤดูกาลไปด้วยอันดับที่ 3 แต่ก็เหมือนเป็นทางตัน Albon ได้ตัดสินใจยอมเซ็นสัญญาย้ายไปแข่งขันรายการใหม่อย่าง Formula E ซึ่งเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าทางเรียบ โดยจะร่วมแข่งกับทีม Nissan e.dams ในฤดูกาล แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่ออยู่ดี ๆ ทีม Toro Rosso ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา ดึงเอา Albon เข้าไปร่วมทีมในปีนั้นทันที โดยมาแทนที่ของ Pierre Gasly ที่ถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหญ่ Red Bull Racing แทน ถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ได้ร่วมลงทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1954 และใช้เวลาเพียงสนามที่ 2 ในรายการ Bahrain Grand Prix น้องเล็กก็สามารถคว้าแต้มแรกมาให้กับตัวเองได้ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 9 และเริ่มมาส่องประกายให้โลกเห็นในรายการที่ประเทศจีน เขาต้องเริ่มการแข่งจาก Pit Lane จากอุบัติเหตุหนักในการทดสอบรอบ 3 จนไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือก แต่เขาก็สามารถพาตัวเองเข้าเส้นชัยจบเป็นอันดับที่ 10 ได้ จนได้รางวัล Driver Of The Day จากการโหวตของผู้ชมไปได้ และสามารถทำอันดับดีที่สุดให้ Toro Rosso ได้ด้วยตำแหน่งอันดับที่ 6 ในการแข่งขัน German Grand Prix
และแล้วก็มาถึงจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อผู้อำนวยการทีม Red Bull Racing อย่าง Christian Horner นั้นมองว่า Pierre Gasly ยังไม่ดีพอสำหรับทีมใหญ่ ทาง Dr. Helmut Marko เลยแนะนำให้ลองดึง Alex Albon มาขับให้แทน จนในที่สุดหลังจากพักครึ่งฤดูกาล ทีมเลยตัดสินใจประกาศการสลับที่กันของทั้ง 2 คนนี้ โดย Albon จะเริ่มเป็นนักขับของทีมใหญ่ Red Bull Racing ตั้งแต่สนาม Belgian Grand Prix เป็นต้นไปจนจบฤดูกาล แล้วมาประเมินกันอีกครั้งว่าปี 2020 ใครจะได้มาขับคู่กับ Max Verstappen ซึ่งโอกาสอันดีนี้ Albon ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ เพราะแค่สนามแรกที่เขาต้องเริ่มแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 17 จากการที่ถูกปรับเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ แต่เขาก็สามารถขับไล่แซงไปจนจบในอันดับที่ 5 ได้ ภาพจำสนามนี้คือการวิ่งแซง Sergio Pérez ไปได้ในรอบสุดท้าย แบบเบียดลงข้างทางฝุ่นฟุ้งกระจาย และอีกครั้งที่สนามในรัสเซีย ที่ Albon เกิดอุบัติเหตุในรอบคัดเลือก จนต้องเริ่มต้นใน Pit Lane อีกครั้ง แต่ก็สามารถไต่อันดับแซงมาจนจบอันดับที่ 5 ได้ และสนามรองสุดท้ายที่บราซิล ในขณะที่เหลือไม่กี่รอบ Albon ครองอันดับที่ 2 อยู่ และน่าจะเป็นครั้งแรกที่น้องเล็กจะจบการแข่งขันด้วยตำแหน่งบนโพเดียม แต่แล้วแชมป์โลก Lewis Hamilton ก็มาชนจนหลุดออกนอกแทรค จนต้องมาจบอันดับที่ 14 ไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จบฤดูกาลไปได้ด้วยอันดับที่ 8 มี 92 คะแนน พร้อมตำแหน่งนักขับในที่เดิมต่อไปในปี 2020
แต่ในปี 2020 กลับเป็นปีที่แย่สุด ๆ ของน้องเล็ก เมื่อเปิดสนามแรกที่กำลังจะฉายฟอร์มเยี่ยม และกำลังไล่แซงเพื่อคว้าตำแหน่งบนโพเดียมให้ได้เป็นครั้งแรก แต่กลับโดนเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่าง Hamilton ชนในมุมแบบเดิมจนหลุดแทรคไปในช่วงท้ายการแข่งขัน จนต้องออกจากการแข่งขันไป และหลังจากนั้น Albon เองก็ไม่สามารถประคองฟอร์มของตัวเองเอาไว้ได้สม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าจะสามารถขึ้นโพเดียมได้อีก 2 ครั้งที่อิตาลีและบาห์เรน แต่ทีมก็มองว่าเขายังไม่ดีพอที่จะช่วยส่งให้ Max Verstappen ขึ้นไปครองแชมป์โลกได้ ในปี 2021 “น้องเล็ก” เลยถูกเปลี่ยนหน้าที่ให้กลายไปเป็นนักขับสำรองแทน แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา Albon เองก็ถือเป็นทีมงานสำคัญที่ช่วยให้การพัฒนารถของทีม Red Bull Racing ดีขึ้นได้อย่างมาก ด้วยการเป็นนักขับหลักในการขับ Simulator ให้กับทีมเพื่อพัฒนารถในทุกสนาม นอกจากนี้ยังถูกส่งไปพัฒนาฟอร์มการขับของตัวเองในรายการ DTM ภายใต้สังกัดทีม AlphaTauri AF Corse จับคู่กับ Liam Lawson โดยขับไปทั้งหมด 14 จาก 16 สนาม เก็บคะแนนรวมได้อันดับที่ 6 รวม 130 คะแนน เนื่องจากใน 2 สนามสุดท้ายนั้น ได้รับสัญญาจากทีม Williams Racing ให้ไปเป็นนักขับหลักให้กับทีมอย่างเป็นทางการของฤดูกาล 2022 แล้ว แต่ก็ยังเริ่มต้นได้ไม่ดี เมื่อเขาเก็บคะแนนได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Nicholas Latifi ที่เก็บได้เพียง 2 คะแนน และแทบไม่เคยทำอันดับที่ดีกว่า “น้องเล็ก” ทั้งในรอบคัดเลือกและการแข่งขันจริงได้เลย ส่วนในปี 2023 Albon แปลงร่างเป็น “เดอะแบก” ตัวจริง เพราะเก็บคะแนนได้เพิ่ม ทั้งที่ศักยภาพรถสู้คู่แข่งแทบไม่ได้เลย แต่เขาก็สามารถเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง ได้คะแนน 27 คะแนนจาก 28 คะแนนที่ทีมทำได้ จบปีด้วยการเป็นนักแข่งอันดับที่ 13 เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าในปี 2024 Albon ยังคงเป็น “เดอะแบก” ของทีมต่อไป แต่ผลงานก็ยังไม่ดีพอ จากตัวรถที่ยังเร็วสู้คู่แข่งไม่ได้ เลยจบด้วยคะแนนเพียง 12 แต้ม รับอันดับที่ 16 ในฐานะนักขับไป
Carlos Sainz
นักขับชาวสเปนวัย 30 ปี Carlos Sainz Jr. เริ่มต้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน Formula 1 ในนามนักแข่งทดสอบของทีม Red Bull และ Toro Rosso ก่อนที่จะถูกโปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักในทีม Scuderia Toro Rosso ประจำฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Max Verstappen เริ่มสนามแรกด้วยการทำเวลาช่วงรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 8 แต่จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 9 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยอันดับที่ 15 ถัดมาในปี 2016 จบอันดับที่ 12 ตำแหน่งที่ดีที่สุดคืออันดับที่ 6 และปีสุดท้ายที่ Toro Rosso ปี 2017 เขาขับให้กับทีมเดิมได้จนถึงสนามที่ 16 ก่อนที่จะย้ายตัวเองมาอยู่กับทีม Renault ในสนามที่เหลือ จับคู่กับ Nico Hülkenberg เริ่มต้นสนามแรกด้วยการจบอันดับที่ 7 ถือเป็นการเปิดตัวที่ดีพอประมาณ ก่อนจบฤดูกาลนี้ด้วยการทำคะแนนรวม 2 ทีมได้อันดับที่ 9 ดีที่สุดตั้งแต่ขับมา ต่อมาในปี 2018 Sainz เริ่มต้นฤดูกาลได้ดี โดยเก็บคะแนนได้ 5 จาก 6 สนามแรก โดยดีที่สุดที่สนาม Azerbaijan จบอันดับที่ 5 สุดท้ายปิดฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 10 เก็บไปได้ 53 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Hülkenberg ที่จบอันดับที่ 7 ไป และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เขาต้องออกไปหาทีมใหม่อย่างกะทันหัน เพราะการมาของนักแข่งอย่าง Daniel Ricciardo ที่ได้ตำแหน่งในทีมไปครองอย่างแน่นอน แต่ยังโชคดีที่มีที่ว่างในทีม McLaren เพราะ Fernando Alonso เจ้าของเก้าอี้เดิมเลิกแข่งไปนั่นเอง ทำให้เขาเริ่มฤดูกาล 2019 กับทีมจากแดนอังกฤษ สร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แถมยังสามารถขึ้นโพเดียมได้ในบราซิล หลังจากที่ Lewis Hamilton ผู้ที่เข้าอันดับ 3 ถูกลงโทษจากการขับรถชน Alex Albon ถือเป็นครั้งแรกของ Sainz ที่ได้ตำแหน่งนี้ด้วย จบฤดูกาลด้วย 96 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองในการขับ F1 และเริ่มมีข่าวดีเมื่อเข้าสู่กลางปี 2020 เมื่อถูกประกาศว่าจะได้ย้ายไปอยู่กับทีมหัวแถวอย่าง Ferrari ในปี 2021 เพื่อแทนที่ Sebastian Vettel และเป็นปีที่ Sainz ขับได้ดีกว่าเก่าเสียอีก สามารถเข้าเส้นชัยใน 10 อันดับแรกเป็นประจำ แถมยังจบอันดับที่ 2 ในอิตาลีได้อีกด้วย ปิดฤดูกาลได้อันดับที่ 6 ส่วนปีที่แล้วในฤดูกาล 2021 เขางัดฟอร์มที่ดีออกมาได้อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับนักแข่งหลักอย่าง Charles Leclerc จนทำคะแนนสะสมรวมได้จบเป็นอันดับที่ 5 เลยทีเดียว ส่วนปี 2022 ก็ยังครองฟอร์มเดิมเอาไว้ได้ จบที่อันดับเดิมเลยคือที่อันดับ 5 แต่ในปี 2023 เขากลับไม่เฉิดฉายเหมือนเดิม ยังดีที่สามารถเก็บแชมป์สนามได้ 1 ครั้งในรายการ Singapore Grand Prix ซึ่งเป็นสนามเดียวที่ Red Bull Racing ไม่ได้เป็นแชมป์ สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ส่วนผลงานปี 2024 ที่เจ้าตัวต้องอยู่กับคำว่า “นักแข่งไร้เก้าอี้” ตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล เพราะทีมดึงเอา Lewis Hamilton มาแทนเขาแน่นอนในปี 2025 เจ้าตัวเลยต้องแสดงศักยภาพกันแบบสุดพลัง เพื่อจูงใจให้ทีมดึงตัวเขาไปร่วมทีมในฤดูกาลใหม่ให้ได้ แน่นอนว่า ความคาดหวังของเขาคืออยากให้ Mercedes ดึงไปร่วมทีมแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีแวว ในที่สุด Sainz ก็ได้เทียบเชิญให้เข้ามาร่วมทีม Williams แทน ซึ่งจบฤดูกาลที่ผ่านมา Sainz จบในอันดับที่ 5 ในฐานะนักแข่ง เก็บได้ 290 คะแนน พร้อมแชมป์ 2 สนาม 9 โพเดียม
Stake F1 Team Kick Sauber
จากเดิมก็คือทีม Alfa Romeo F1 Team Stake เปลี่ยนเป็น Stake F1 Team Kick Sauber เมื่อปี 2024 ซึ่งเป็นการกลับมาใช้ชื่อทีมดั้งเดิมนั่นเอง ถูกดูแลโดยทีมงานของ Sauber Motorsport AG จากสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นฐานสำนักงานใหญ่จึงอยู่ที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เริ่มต้นการเข้าร่วมการแข่งขัน Formula 1 ตั้งแต่ปี 1950 - 1951 นักแข่งสามารถคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 2 ปี (Giuseppe Farina ปี 1950, Juan Manuel Fangio ปี 1951) ก่อนที่จะหยุดไปเพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน หลังจากนั้นหลายปี ก็เริ่มกลับมาแข่งขันใหม่อีกครั้งในปี 1979 ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo 177 เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford/Cosworth เป็นขุมกำลัง ซึ่งทีมก็ลงทำการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ก่อนที่จะจบฤดูกาลสุดท้ายเมื่อปี 1985 จนถึงฤดูกาล 2018 ทาง Alfa Romeo ก็ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber เป็นการกลับมาในวงการ F1 ใหม่อีกครั้ง แล้วใช้ชื่อทีมเป็น Alfa Romeo Sauber F1 Team และเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Honda ให้มาเป็น Ferrari ใช้นักขับเป็น Charles Leclerc กับ Marcus Ericsson จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 มี 48 คะแนน และเมื่อปี 2019 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ มีนักขับอย่าง Kimi Räikkönen และ Antonio Giovinazzi เป็นกำลังหลัก และยังคงใช้เครื่องยนต์ของ Ferrari ต่อไป ปิดฤดูกาล 2022 ด้วยการมีเพียง 8 คะแนน ได้อันดับ 8 ไป ก่อนที่ปี 2022 จะเก็บคะแนนได้เพิ่มเป็น 13 คะแนน แต่กลับจบได้เป็นอันดับที่ 9 แทน พร้อมกับการประกาศเลิกขับของ “The Iceman” Kimi Räikkönen แต่ในปี 2022 ฟอร์มของทีมกลับมาดีพร้อมกับเครื่องยนต์ Ferrari ทำให้สามารถเก็บคะแนนสะสมกลับไปอยู่อันดับที่ 6 ได้ แต่ในปี 2023 ฟอร์มกับรูดมหาราช ทั้งที่ยังใช้นักแข่งคู่หูคู่เดิม แต่รถกลับเร็วสู้คู่แข่งแทบไม่ได้ จบปีทำได้เพียง 16 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 9 เท่านั้นเอง และผลงานในปี 2024 คือฝันร้าย เพราะตลอดทั้งฤดูกาล นักแข่ง 2 คนทำคะแนนรวมกันได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น และมาจากนักขับชาวจีนอย่าง Zhou Guanyu คนเดียวอีกด้วย เลยไม่น่าแปลกใจที่ทีมเลือกที่จะยกทีมนักแข่งกันใหม่ในปี 2025
ผลงานไม่ดี ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ โดยหัวหน้าทีมเก่าอย่าง Alessandro Alunni Bravi ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่ง และทีมก็เดิมพันครั้งสำคัญด้วยการเอาอดีตหัวหน้าทีม Ferrari ชื่อดังอย่าง Mattia Binotto วิศวกรผู้คร่ำหวดในวงการ Motorsport ชาวอิตาลีวัย 55 ปีเข้ามาคุมบังเหียนแทนในปีนี้
นักแข่ง
Nico Hulkenberg
“The Hulk” Nico Hulkenberg นักแข่งชาวเยอรมนีวัย 37 ปี เขาเริ่มลงแข่งรถโกคาร์ทตั้งแต่ปี 1997 ด้วยวัยเพียง 10 ปี ก่อนจะมาคว้าแชมป์ระดับประเทศได้ในปี 2002 ก่อนที่จะเริ่มขยับขึ้นไปอยู่ในระดับ Formula BMW ในปี 2005 Hulkenberg เริ่มต้นเข้ามาในวงการ F1 จริง ๆ ก็คือในช่วงปี 2007 ด้วยการรับสิทธิพิเศษในการลงทดสอบกับทีม Williams แล้วก็โชว์ฟอร์มเข้าตาทันที เมื่อเขาสามารถทำเวลาได้เป็นรองนักขับอาชีพอย่าง Nico Rosberg นักขับหลักของทีมเพียงแค่ 0.4 วินาทีเท่านั้น ทำให้เขาได้รับการเซ็นสัญญาเพื่อเป็นนักขับทดสอบในทันที ก่อนที่จะเริ่มขึ้นเป็นนักขับหลักในปี 2010 ก่อนที่จะเริ่มเป็นนักขับพเนจร เพราะฟอร์มในการขับจริงไม่ค่อยน่าพอใจสักเท่าไหร่ โดยปี 2011-2012 ย้ายไปขับให้กับทีม Force India, 2013 ไปขับให้กับ Sauber, 2014-2016 กลับไปที่ Force India, ปี 2017–2019 ไปขับให้กับทีม Renault และนี่คือทีมสุดท้ายที่เขาเป็นนักขับหลักให้กับทีม แต่ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในการแข่งรถ F1 เมื่อเขากลายเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Racing point เพราะเริ่มต้นกับการไปขับแทน Sergio Pérez ของทีม Racing Point ที่ติดเชื้อ Covid-19 ในปี 2020 แต่ก็ไม่ได้ลงแข่งวันจริง เพราะเครื่องยนต์ดันพังเสียก่อนการเริ่มแข่งขัน แต่ได้ลงแข่งในสัปดาห์ต่อมาในสนาม Silverstone Circuit โดยรอบนี้ลงแข่งจนจบอันดับที่ 7 ได้ และไปขับแทน Lance Stroll ในการแข่งขัน French Grand Prix จากอาการไม่สบาย โดยสนามนี้คือการระเบิดฟอร์มด้วยการออกตัวจากตำแหน่งที่ 20 แต่สามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 8 พร้อมพ่วงด้วยตำแหน่ง Driver Of The Day จนเข้าสู่ปี 2021 เขาก็ได้ขับแทน Sebastian Vettel ตั้งแต่ 2 สนามแรก จากการที่ Seb ติดเชื้อ Covid-19 แต่ผลงานในรอบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจบเพียงอันดับที่ 17 และ 12 เท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกเลย จนล่าสุดในปี 2023 ที่ได้รับข้อเสนอจากทีม Haas ให้เข้ามาเป็นนักขับหลักให้กับทีมแทนที่ของ Mick Schumacher นั่นเอง และการกลับมารอบนี้ เขาก็สร้างความฮือฮาได้เป็นบางจังหวะ แต่ด้วยความที่รถนั้นไม่อำนวยเท่าไหร่ ถึงจะออกตัวดีแค่ไหนก็ตาม เขาก็จบฤดูกาลด้วยการเก็บได้เพียง 9 คะแนนเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ยังผลงานดีกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Kevin Magnussen และยังเป็นอย่างนั้นในปี 2024 ด้วยรถที่เร็วขึ้น ทำให้เขาสามารถเก็บคะแนนได้มากถึง 41 คะแนน จบด้วยอันดับที่ 11 ในตารางคะแนนนักขับ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ดีพอให้ยังมีเก้าอี้ต่อในทีม Haas ได้ ด้วยผลงานที่ยังพอช่วยทีมได้อยู่ ทำให้ทีม Kick Sauber เลือกที่จะดึง “The Hulk” มาร่วมสร้างทีมกันใหม่ในปีนี้นั่นเอง
Gabriel Bortoleto
Gabriel Bortoleto นักแข่งชาวบราซิลวัย 20 ปี เขาเริ่มสนใจการแข่งรถตั้งแต่อายุยังน้อย โดยได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อและพี่ชายของเขา โดย Bortoleto เริ่มต้นอาชีพการแข่งรถด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันคาร์ทในปี 2012 ในรายการ Sulbrasileiro Championship เขาแข่งขันในกีฬาคาร์ทจนถึงปี 2019 โดยในปี 2018 เขาได้รับตำแหน่งที่สามใน European Karting Championship และ World Karting Championship ในประเภท OKJ นอกจากนี้ เขายังได้รับตำแหน่งที่สองใน WSK Super Masters Series และ Andrea Margutti Trophy จากนั้นในปี 2020 Bortoleto เข้าร่วมการแข่งขัน Italian Formula 4 Championship กับทีม Prema Powerteam โดยมีเพื่อนร่วมทีมอย่าง Sebastián Montoya, Gabriele Minì และ Dino Beganovic เขาสามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกที่สนาม Mugello และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ห้าในตารางคะแนนรวม เข้าสู่ปี 2021 Bortoleto เข้าร่วมการแข่งขัน Formula Regional European Championship กับทีม FA Racing ซึ่งก่อตั้งโดย Fernando Alonso เขาสามารถขึ้นโพเดียมครั้งแรกที่สนาม Red Bull Ring ด้วยการจบอันดับที่สอง และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 15 ในตารางคะแนนรวม และในปี 2022 เขาย้ายไปทีม R-ace GP และสามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกที่สนาม Spa-Francorchamps ได้อีกด้วย ในปี 2023 Bortoleto เข้าร่วมการแข่งขัน FIA Formula 3 Championship กับทีม Trident เขาสามารถคว้าชัยชนะในสนาม Melbourne และขึ้นโพเดียมหลายครั้ง ทำให้เขาคว้าแชมป์ FIA Formula 3 Championship ในปีนั้นด้วยคะแนนรวม 164 คะแนน ในปี 2024 Gabriel เข้าร่วมการแข่งขัน FIA Formula 2 Championship กับทีม Invicta Virtuosi Racing เขาสามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกที่สนาม Spielberg และต่อสู้เพื่อแชมป์กับ Isack Hadjar จนถึงสนามสุดท้ายที่ Abu Dhabi ซึ่งเขาสามารถคว้าแชมป์ FIA Formula 2 Championship ในปีนั้นได้ จนถึงในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 Bortoleto ได้รับข่าวดี เมื่อได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าร่วมทีม Kick Sauber ในการแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาล 2025 โดยจะเป็นเพื่อนร่วมทีมกับ Nico Hülkenberg ซึ่งถ้ามองภาพความเป็นจริงแล้ว ด้วยการคว้าแชมป์โลกติดต่อกัน 2 ปี ตั้งแต่ F3 มาจน F2 เจ้าตัวน่าจะมีโอกาสเข้าร่วมแข่งกับทีมที่ใหญ่กว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่แน่ เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่า ทีม Kick Sauber เปรียบเสมือนทีมพันธมิตรของทีม Ferrari ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าถ้าทีมใหญ่มีนักแข่งต้องหลุดจากตำแหน่งไป Bortoleto ก็อาจจะเป็นตัวเลือกแรกของ Ferrai ก็เป็นได้เช่นกัน
อ่าน ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2025 ตอนที่ 1 ได้ที่นี่
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com