รถมือสองในความทรงจำ!! Jeep Cherokee XJ เอสยูวีลุยสายพันธุ์มะกัน….ขวัญใจขาโหดออฟโรดชาวไทย
- โดย : Autodeft
- 18 พ.ค. 63 00:00
- 23,241 อ่าน
ตั้งแต่ยุค 90 เป็นต้นมา ยานยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรูปแบบรถยนต์ตรวจการณ์ทรงแวก้อน เริ่มเป็นแพร่หลายกันมาก เริ่มจากฟากญี่ปุ่นที่จะมี Suzuki Caribian เป็นเจ้าแรกในไทย และเมื่อความต้องการของผู้ใช้รถเริ่มกว้างขวางขึ้นอยากได้ความสบายมากขึ้นจึงเป็นที่มาของการแนะนำ Mitsubishi Pajero เจนแรกออกจำหน่าย รวมถึงรุ่นอื่นๆ อย่าง ISUZU Trooper, Nissan Patrol, Nissan Patfinder ,Toyota Landcruiser แต่ยังมีอีกหนึ่งรุ
ในสหรัฐอเมริกา Jeep Cherokee รหัส XJ เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1984 โดยเป็นการมาแทนตัวถังรหัส SJ (พื้นฐานเดียวกับ Jeep Wagoneer) โดยรหัส XJ นี้ เปลี่ยนบุคลิกจาก Full Size ขนาดใหญ่ มาเป็นขนาดเล็ก Compact ในแบบ 3 ประตู และ รุ่น 5 ประตู โดยเป็นรถที่มีแชสซีส์แบบ โมโนค็อก (แชสซีส์แบบไร้กระดูก) สำหรับเมืองไทยนำเข้ามาจำหน่ายจากออสเตรียตั้งแต่ปี 1994 โดยตัวแทนจำหน่ายในยุคนั้นใช้ชื่อว่า ไทยไครเลอร์ ออโตทีฟ โดยสำนักงานอยู่แถว ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ มะกะสัน ด้วยหน้าตาเหลี่ยมๆทั้งคัน ไฟหน้าทรงเหลี่ยมฝังเข้าไปซ้ายขวา ในชุดกระจังหน้า 8 ช่อง แนวตั้ง พร้อมไฟหรี่และไฟเลี้ยวแนวตั้ง ความโดดเด่นอกีอย่างนั่นก็คือ กระจกหูช้าง ที่เปิดประตูแบบก้าน ราวหลังคาสองจุด อันใหญ่โต พร้อมล้ออัลลอยลาย BSS และลาย 5 ก้าน ขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 225/75 R15 พร้อมภายในมาในแบบ 5 ที่นั่ง เบาะนั่งหนังแท้ปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง พวงมาลัยแบบ 2 ก้านขนาดใหญ่ติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านคนขับ เครื่องเสียง 1 DIN เครื่องปรับอากาศ กล่องเก็บแว่นตา เบาะหลังพับได้ ฯลฯ
หนึ่งปีให้หลังความนิยมของเจ้ารถ JEEP คันนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ต้นสังกัดในยุคนั้น ตัดสินใจ ประกอบในประเทศไทย ที่โรงงานแถวบางนาตราด กม. 25 โดยจุดสังเกตของรุ่นประกอบในประเทศจะมีสองจุดคือ 1. ล้ออัลลอยลาย 5 ก้าน สีเงิน ขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง พร้อมยาง 225/75 R15 และท้ายรถจะติดตั้งยางอะไหล่แบบบานสวิงพร้อมจุดยึด เท่านั้นยังไม่พอมีการยกเลิกรุ่น Sport 4.0 ลิตร มาเป็น Sport เครื่อง 2.5 ลิตร แทน โดนรุ่นนี้ เปลี่ยนบุคลิกความเรียบหรูจากชุดสีเดียวกับตัวรถมาเป็นชุดโครเมี่ยมแทน ตั้งแต่กระจังหน้า กับ ที่เปิดประตู นอกนั้นเหมือนรุ่น Limited 4.0 ลิตร พร้อมภายในด้วยเบาะนั่งหุ้มผ้ากะมะหยี่
หลังจากนั้นในปี 1997 เปิดตัวรุ่น Big Minorchange เป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่บนพื้นฐานรหัส XJ โดยเปลี่ยแปลงจากเหลี่ยมๆทั้งคันมาเป็นเหลี่ยมผสมโค้งมนตั้งแต่กระจังหน้าเปลี่ยนเป็นช่องแนวตั้งลดมาเหลือ 7 ช่อง ไฟเลี้ยวข้างตัวรถใหม่ บังโคลนหน้าซ้าย-ขวาออกแบบใหม่ กระจกคู่หน้าที่เคยมีหูช้างถูกตัดทิ้งเป็นกระจกชิ้นเดียวพร้อมกระจกมองข้างแบบโค้งมน และฝ้าท้ายใหม่เพิ่มความโค้งมากขึ้น ล้ออัลลอยมีให้เลือกถึง 2 ลายแบบ5 ก้านสีเงิน และลาย BBS ใหม่ ขนาดเท่าเดิม 15 นิ้ว พร้อมยาง 225/75 R15 โดยยังเป็นรถประกอบในประเทศเช่นเดิมประกอบที่โรงงานแถวบางชัน พร้อมเปลี่ยนผู้จำหน่ายเป็นทางเดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย)
ภายในมีการเปลี่ยนเช่นกันโดยเปลี่ยนแบบใหม่หมดตั้งแต่แผงคอนโซลหน้า แผงประตู รวมถึงไปถึงเบาะนั่งโครงใหม่ พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นและ Cruise Control ในชุดพวงมาลัย กล่องใส่แว่นตา บนชุคคอนโซหลน้าบนหลังคาพร้อมระบบข้อมูลรถ Trip Computer พร้อมภายในมาในแบบ 5 ที่นั่ง เบาะนั่งหนังแท้ เบาะหลังพับได้ และยางอะไหล่ก็มาเก็บไว้สัมภาะรท้ายด้านขวา
ทั้งสองเวอร์ชั่นในรหัส XJ มีมิติตัวรถดังนี้ ความยาว 4,254 มม. ความกว้าง 1,763 มม. ความสูง 1,626 มม. และความจุถังน้ำมัน 76 ลิตร ด้านขุมพลังเบนซินเท่านั้นเริ่มที่เครื่องยนต์เบนซินมัลติพอยท์ 6 สูบแถวเรียง4.0 ลิตร 190 แรงม้าที่ 4,600 รอบ/นาที แรงบิด 305 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบ/นาที จับค่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ในรุ่น Limited และเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ 125 แรงม้าที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิด 203 นิวตันเมตรที่ 3,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ในรุ่น Sport ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้ให้ความแรงตามกำลังแต่อัตราการบริโภคน้ำมันจะสิ้นเปลืองมาก
สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นแบบ Part-Time ที่มีทั้ง 2H,4H และ 4L โดยมีระบบเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2 H เป็น 4 H โดยไม่ต้องหยุดรถหรือเรียกกันว่าระบบ Shift-On-The-Fly ในชื่อ Command Trac -(Part Time) ในรุ่น 2.5 Sport และ Select Trac ในรุ่น 4.0 Limited พร้อมระบบเฟืองท้าย Limited Slip พวงมาลัยพาวเวอร์แบบลูกปืนหมุนวน ระบบช่วงล่าง Quadra-Link ช่วงล่างหน้าแบบคานแข็ง คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบแหนบ โดยทั้งช่วงล่างหน้าและหลังติดตั้งช็อกอัพแก็สเป็นมาตรฐานสำหรับ Cherokee ทุกรุ่น
ระบบความปลอดภัยมีทั้งระบบเบรก ABS ถุงลมนิรภัยทั้งด้านคนขับและคู่หน้า และไฟตัดหมอกหน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยมีให้เลือกทั้งรุ่น Limited และ Sport จำหน่ายในเมืองไทยตั้งแต่ปี 1994-2003 โดยหลังจากนั้นเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 3 ในรหัส KJ แต่ไม่เป็นที่นิยมจนสุดท้าย ปิดตลาดรถ JEEP ในเมืองไทย อย่างสมบูรณ์และในปัจจุบันยังมี JEEP รุ่นใหม่ๆเข้ามาขายประปรายบ้างตามผู้จำหน่ายนำเข้าอิสระ ซึ่งไม่มีวี่แววว่า บ.แม่จากอเมริกาจะมีโอกานำกลับมาทำตลาดในไทยอีกหรือไม่
ถ้าจะเป็นเจ้าของในสภาพมือสองแบบเดิมๆ สวยๆทั้งคัน อาจจะหายากหน่อยเพราะส่วนมากผ่านการตกแต่งปรับช่วงล่างยกสูงเกือบทั้งสิ้น สำหรับปัญหาประจำรุ่น ก็คงหนีไม่พ้นพวก ความเสื่อมตามกาลเวลาทั้ง ท่อน้ำ ท่อยาง เพราะส่วนถึงความร้อน รวมถึง Sensor Flywheel เป็นตัว กำหนดค่าการจ่ายน้ำมันและค่าการจุดระเบิดไปยัง ECU ถ้าเสียขึ้นมารถจะสตาร์ทยาก หรือติด แล้วดับกลางอากาศและถ้าเกิดอาการดังกล่าวถี่เข้าเรื่อยๆ จนไม่ติดในที่สุด และปัญหาที่พบบ่อยทั้งช่วงล่าง ปัญหารั่วซึมของน้ำมัน ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ระบบพวงมาลัยที่ซีลกระปุกน้ำมันพาวเวอร์มีน้ำมันซึม แกนพวงมาลัยหลวม ฯลฯ ปัญหาอื่นๆสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ล้วนเป็นปัญหาประจำตัวที่เกิดขึ้นสำหรับ JEEP Cherokee รหัส XJ แต่ค่าบำรุงรักษาค่อนข้างถูก
แต่เพราะความโชคดีที่ว่ารุ่นนี้เคยประกอบในประเทศมาแล้ว การหาอะไหล่รถนั้นมีจำนวนค่อนข้างเยอะ มีทั้งของใหม่และมือสองจำหน่ายเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีอู่ซ่อมรถ JEEP ที่เจ้าของอู่เคยเป็นช่างศูนย์บริการรถ JEEP มาก่อน และมีกลุ่มคนใช้รถ JEEP ที่คอยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้รถ JEEP Cherokee รหัส XJ
ถึงจำนวนประชากรรถตรวจการณ์สัญชาติอเมริกันอย่าง JEEP Cherokee รหัส XJ จะมีจำนวนพอสมควร แต่การจะเป็นเจ้าของมาครอบครองนั้น ราคากลางตั้งแต่ ปี 1994-2003 บวกลบตามสภาพ เริ่ม 150,000-300,000 บาท ด้วยราคาขนาดนี้ บวกกับตำนานความเป็นตำนานแห่งออฟโรดตัวจริง นั้น ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับ JEEP Cherokee รหัส XJ
เรื่องและเรียบเรียงโดย นายเต้ย
ที่มาข้อมูล Wikipedia, autowoke.com, gmcworkshop.com, healthgood.org/jeep
ที่มาภาพ parkers.co.uk, grandprixphotolike.com และ Pipatpanichkul Jakchalat
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com