รถมือสองในตำนาน!! ISUZU Pickups Dragon Eyes ตำนานปิกอัพเทอร์โบของไทยในยุค 90
- โดย : Autodeft
- 16 ก.ค. 63 00:00
- 69,003 อ่าน
ถ้าจะกล่าวถึงค่ายรถยนต์ยอดนิยมที่อยู่ในใจคนไทยมากว่า 60 ปี ก็คงหนีไม่พ้นค่ายรถยนต์ที่ชื่อ ISUZU ซึ่งเป็นค่ายรถที่ถนัดทำแต่รถเพื่อการพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นรถบบรรทุกขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก รถอเนกประสงค์ รวมไปจนถึงรถปิกอัพขนาตันครึ่ง ซึ่งรถประเภทดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีมาตลอดและทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยเอกลักษณ์และนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ให้วงการรถยนต์เมืองไทยต้องจดจำ
หลังจากหมดยุค ISUZU Faster 2500 Di รหัส TFR และ TFS ไป วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 จุดเปลี่ยนสำคัญของวงการปิกอัพเมืองไทยก็เกิดขึ้น เมื่อ อีซูซุ เผยปิกอัพพลังใหม่แห่งยนตกรรมระดับทองในชื่อ ISUZU Golden Power ด้วยการแนะนำเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแบบ ไดเร็คอินเจคชั่น มาใช้ในรถปิกอัพเป็นรายแรกที่ผู้ใช้รถชาวไทยต่างยอมรับในเรื่องความแรง ความประหยัด และทนทานกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ Direct Injection 2.8 ลิตร รหัส 4JB1-T แบบ Direct Strem Turbocharger 95 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 220 นิวตันเมตรที่ 1,800 รอบ/นาที ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,771 ซีซี ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชัก 93/102 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 18.1 ต่อ 1
นอกจากนี้พัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลยอดนิยม 2.5 ลิตร 4JA1-T ให้เป็นดีเซลแทอร์โบแบบ Light Turbo Direct Injection ที่ประหยัดโดยให้กำลังถึง 79 แรงม้าที่ 3,900 รอบ/นาที แรงบิด 176 นิวตันเมตรที่ 1,800 รอบ/นาที ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,771 ซีซี ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชัก 93/92 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 18.5 ต่อ 1 โดยทั้งสองเครื่องยนต์ฉีดจ่ายด้วยระบบแม่ปั้มนำมันเชื้อเพลิงแบบ VE พร้อมนำระบบ EGR (Exhaust Gas Recirculation System) มาติดตั้งเพื่อลดมลพิษและรักษาสภาพแวดล้อม โดยระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Electronic ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 2 โหมดทั้งแบบ Normal Mode ขับทั่วๆไปเน้นความประหยัด และ Power Mode เน้นความแรง เร่งแซง ออกตัวฉับไว
ด้านดีไซน์การออกแบบใหม่หมดในส่วนของด้านหน้าและด้านท้ายโดยยังใช้หัวเก๋งตัวเดิมจากรุ่น Faster Z 2500 DI ลงตัวแบบ Jet Stremline ที่มให้ค่าอากาศพลศาสตร์ ค่า CD เพียง 0.44 พร้อม ไฟหน้าฮาโลเจนแบบเต็ม กระจังหน้าแบบสีเดียวกับตัวรถหรือโครเมี่ยมทั้งชิ้นตามบุคลิก รับกับกันชนหน้าทูโทน (ส่วนบนสีเดียวกับตัวรถ และ ส่วนล่างสีดำเข้มพร้อมไฟเลี้ยวสีส้ม) ล้อและยางมีให้เลือกทั้งแบบกระทะล้อขนาด 14 นิ้ว พร้อมยาง 195R14 C ในรุ่น Spacecab SX SL และ Spark EX ตอนเดียว ล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้ว พร้อมยาง 205/75R14 ในรุ่น Spacecab SLX และขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง H/T ขนาด 225/70 R15 ในรุ่น Rodeo 4WD
ด้านข้างมาพร้อมไฟเลี้ยวติดบังโคลนซ้าย-ขวาสีส้ม นอกจากนี้ขอบกระบะซ้าย-ขวามีการเจาะร่องขอบกระบะ เพื่อความสวยงามและตามหลักอากาศพลศาสตร์แล้ว ยังสามารถเป็นขอเกี่ยวเชือกสำหรับการบรรทุกของได้อีกทาง พร้อมไฟท้ายสีส้มขาวแดง และที่เปิดกระบะท้ายแบบเปิดทีละข้าง ตัวรถมีขนาดสมส่วนตั้งแต่ความยาว 4,975มม. ความกว้าง 1,690 มม. ความสูง 1,620 และ 1,705 มม. ฐานล้อ 3,025 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 195และ 220 มม. น้ำหนักรถ 1,360, 1,400, 1,435 และ 1,590 กก. และความจุถังน้ำมัน 75 ลิตร
ภายในใหม่หมดด้วยคอนโซลหน้าดีไซน์โค้งมน พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้งานครบครันไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัยพาวเวอร์ 4 ก้าน เครื่องปรับอากาศ วิทยุ-เทปพร้อมลำโพง 2 จุด ติดตั้งในรุ่น Spark EX รุ่นเดียว กล่องคอนโซลกลาง เบาะนั่งมีให้เลือกทั้งแบบกำมะหยี่ กึ่งกำมะหยี่ และหนังเทียมไวนิล เข็มขัดนิรภัย 3 จุด 2 ตำแหน่ง พร้อมกระจกไฟฟ้าและเซ็นทรัลล็อกในรุ่น Spacecab SLX คอนโซลกลางดีไซน์พิเศษพร้อมเบรกมือคันโยกในรุ่น Rodeo 4WD มาตรวัดบอกความเร็วรอบเครื่องและบอกวัดค่าแบตเตอรี่ นาฬิกาดิจิตอล สำหรับยุคนั้น ทาง อีซูซุ จำหน่ายในสองตัวถังทั้งในแบบตอนเดียว Spark และ Spacecab ทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ มาตรฐานและขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time ในชื่อ Rodeo 4WD จนมียอดจองอย่างถล่มทลาย รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งกับยอดผลิตครบ 1 ล้านคัน และ แนะนำโชว์รูมใหม่ "ISUZU Car Gallery" อีซูซุคาร์แกลเลอรี่ ความรู้สึกดีดี ...เกิดขึ้นที่นี่ กับภาพลักษณ์การบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่หรูหราในยุคนั้น
ในปี พ.ศ. 2541 ตอบรับเทรนด์เทคโนโลยี ISUZU จึงเปิดตัวไฟหน้าตราเพชรหรือที่เรียกกันว่ามัลติรีเฟลกเตอร์มาจำหน่าย ในชื่อ ISUZU Dragon Eyes ทั้งในรุ่น Spacecab SLX SX และ Rodeo S 4WD พร้อมพร้อมเพิ่มออพชั่นทั้งวิทยุเทปชั้นดีจาก SONY พร้อมลำโพง 4 จุด ในรุ่น Spacecab SLX ยางบังโคลนขึ้นรูป 4 ด้าน ในรุ่น Spacecab SX กับ SL ได้วิทยุเทปคุณภาพดีพร้อมลำโพง 4 จุด และทุกรุ่นยังได้เบรกมือแบบคันโยกพร้อมกล่องคอนโซลกลา ที่เปิดกระบะท้ายแบบเปิดตรงกลาง Single Touch รวมถึงมีรุ่นพิเศษทั้ง Spacecab SLX R และ SX R ออกจำหน่ายควบคู่กัน และยังเป็นเจ้าแรกจัดการแข่งขันประหยัดน้ำมันเพื่อปลุกจิตสำนึกในการรู้คุณค่าของพลังงาน สมกับคำว่า "อีซูซุ รู้คุณค่าน้ำมันทุกหยด" และเป็นต้นแบบจนมีค่ายรถยนต์อื่นๆจัดการแข่งขันในรูปแบบนี้อีกเช่นกัน
ต้นปี พ.ศ. 2542 มีการเพิ่มรุ่น Rodeo 4wd มาอีก 1 รุ่นคือ รุ่น LS ล้อล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว 6 ก้านคู่พร้อมยาง 205/80R16 รวมถึงปรับความสูงของตัวรถเป็น 1,740 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้นเป็น 230 มม. น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1,595 กก. พร้อมออพชั่นหรูหราทั้ง เครื่องปรับอากาศ วิทยุ-เทปพร้อมลำโพง 2 จุด กล่องคอนโซลกลางพร้อมช่องเก็บของเบรกมือแบบคันโยก เบาะนั่งกึ่งกำมะหยี่ พร้อมกระจกไฟฟ้าและเซ็นทรัลล็อก รวมถึงช่วงล่างพัฒนาเพื่อคอขาลุยกับช่วงล่างแบบ Aussie Suspension ปรับปรุงทอชั่นบาร์ใหม่ เหล็กกันโคลงมีขนาดใหญ่ขึ้น ปรับช่วงล่างหลังแหนบใหม่ และยังใช้โช้กอัพแก็สทั้ง 4 ล้อ เน้นไปในทางนุ่มนวลยามวิ่งถนนเรียบและลุยสะใจในยามวิ่งเส้นทางโหดๆ และในรุ่น LS มี 3 รุ่นย่อย จะตกแต่งหรูแบบ LS Luxurious หรือลุยแบบ LS Sporty และ LS ปกติ และรุ่นดั้งเดิม S ล้อ 15 นิ้ว
ช่วงปลายปี พ.ศ. 2542 แนะนำไฟหน้า Xenon มาใช้ในรถปิกอัพเป็นครั้งแรกในชื่อ Super Dragon Eyes พร้อมกับปรับหน้าตาใหม่ด้วยกระจังหน้าทรงย้อยแบบซี่ๆในรุ่น Spacecab SLX SX และ SL พร้อมกันชนหน้าขึ้นรูปสวยงามติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าเป็นมาตรฐาน กระจกมองข้างปรับด้วยระบบไฟฟ้า ที่เปิดฝาถังน้ำมันจากภายในรถ ล้อลายสีเงินใหม่หรูขนาด 14 นิ้ว พร้อมยาง 205/75R14 และไฟท้ายแบบสีขาวแดง ทรงสปอร์ต นอกจากนี้ในรุ่น Rodeo 4WD แนะนำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ปรับเปลี่ยนระบบจาก 2 ล้อ เป็น 4 ล้อโดยไม่ต้องหยุดรถ (Shift-On-The-Fly = Fly In Four) พร้อมช่วงล่างแบบ Aussie Suspension เพิ่มความหรูหรากับออพชั่นความสะดวกสบาย ในรุ่น LS
บอดี้นี้ยังคงจำหน่ายต่อไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อช่วงเดือนกันยายน พ.ศ.2543 คอนเซ็ปต์ “เพิ่มแรงม้าประหยัดน้ำมัน” ถือกำเนิดขึ้นด้วยการแนะนำเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JH1-T 3.0 ลิตร ฉีดจ่ายน้ำมันด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมด้วยกล่องสมองกล ECM 16 บิต ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,999 ซีซี ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชัก 95.4/104.9 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 18.7 ต่อ 1 แรงม้าเพิ่มขึ้น 25 แรงม้า ประหยัดมากขึ้น 17 % โดยให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาทีแทนเครื่องเดิมดีเซลเทอร์โบ 2.8 ลิตร ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร รหัส 4JA1-T จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ในชื่อ ISUZU Dragon Power พร้อมการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยทั้งล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 15 นิ้วพร้อมยาง 215/65R15 ในรุ่น Spacecab SLX 3.0 กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าสีเดียวกับตัวรถและคิ้วกันกระแทก มาตรวัดบอกความเร็วรอบเครื่องพื้นสีเงินตัวอักษรสีฟ้า ในรุ่น Rodeo LS เพิ่มที่เปิดประตูกับกระจกมองข้างไฟฟ้าแบบโครเมี่ยม พร้อมล้ออัลลอย 6 ก้านขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 245/70R16 และเพิ่มน้ำหนักเป็น 1,600 กก. และในรุ่น Spark EX เพิ่มรุ่นพวงมาลัยพาวเวอร์เป็นทางเลือกแห่งความสบาย
ในปีเดียวกันความต้องการที่หลากหลายขึ้นที่ครอบครัวอยากได้รถอเนกประสงค์แบบรถเก๋งและรถปิกอัพเข้าไว้ด้วยกันและทางสรรพสามิตมีการคิดอัตราภาษีรถปิกอัพ 4 ประตู ที่เอื้อให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถทำตลาดออกมาได้ อีซูซุ จึงเล็งเห็นโอกาสเปิดตัวรุ่น 4 ประตู Double Cab ในชื่อรุ่น Cab4 โดย ISUZU เคลมว่าเป็นรุ่นที่ผลิตจากโรงงานโดยตรงทำให้
และในปี พ.ศ. 2544 แนะนำรุ่นปรับปรุงหรือ Model Year เน้นความสปอร์ตขึ้นด้วยชุดแต่งสเกริ์ตข้างในรุ่น SLX ทั้ง Spacecab และ Cab4 กับเพิ่มสีทูโทนในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ LS ในรุ่น Rodeo และ Cab4 รวมถึงชุดแต่งคอนโซลหน้าสีเงิน และถือเป็นรุ่นปิดตำนาน ISUZU Pickups โมเดล Dragon Eyes อย่างสมบูรณ์แบบ และให้ ISUZU D-MAX รับช่วงต่อเป็นยอดรถปิกอัพสมบูรณ์แบบระดับโลกเปิดตัวในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2545 จวบจนมาถึง พลานุภาพพลิกโลกกับ All New ISUZU D-MAX ในปัจจุบัน
แฟนๆเหล่าประชาคมอีซูซุ หรือ คนที่สนใจจะซื้อเก็บไว้ใช้งานหรือสะสม มีจำนวนรถมือสองอยู่พอสมควร โดยสภาพรถมีแบบเดิมๆที่ยังรักษาหรือตกแต่งตามอารมณ์ของเจ้าของรถ โดยปัญหาของรุ่นนี้จะอยู่ที่เครื่องยนต์ เรื่องของกล่องควบคุม ECM ในรุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสนั่นลั่นบ้าน และเรื่องเครื่องไม่แรงเร้าใจของเครื่อง 2.5 แต่ก็แลกมาด้วยกับความนุ่มนวของช่วงล่างและประหยัดน้ำมัน
ด้านอะไหล่สบายหายห่วงด้วยชื่อ ISUZU มีทุกชิ้นทั้งอะไหล่แท้และเทียบคุณภาพสูง และด้วยราคารถมือสองสำหรับทุกรุ่นทุกแบบตั้งแต่ตอนเดียว Spark ไปจนถึง Cab 4 ปี 1997-2002 จะเริ่มต้นที่ 80,000-250,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพรถเป็นหลัก ทำให้คนเล่นรถสนใจที่จะซื้อมาครอบครองกันกับปิกอัพยอดนิยมที่ชื่อ ISUZU Pickups Dragon Eyes
บทความ โดย นายเต้ย
ที่มาข้อมูล บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
ที่มาภาพ grandprixphotolike
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com