รถมือสองยอดนิยม!! ISUZU MU-7 อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง สบายสุด ประหยัดสุด นุ่มสุด
- โดย : Autodeft
- 6 ส.ค. 63 00:00
- 29,534 อ่าน
ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ที่ดัดแปลงมาจากรถปิกอัพ หรือที่เรียกกันว่า PPV (Pickup Passenger Vehicle) ได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถชาวไทยมาหลายปีจากจุดเริ่มต้นที่ผู้ดัดแปลงรถยนต์รายใหญ่ของไทยในชื่อ ไทยรุ่งฯ นำรถปิกอัพ ISUZU Faster Z มาดัดแปลงให้เป็นรถสเตชั่นแวก้อน ขนาดยาวตั้งแต่ 5-11 ที่นั่ง และรถปิกอัพ 4 ประตู จนได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ใช้รถชาวไทยมายาวนาน
แถมเป็นจุดเริ่มต้นให้ ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ สนใจตลาดรถยนต์ประเภทนี้ด้วยการแนะนำ ISUZU CAMEO ในปี 2536-2538 จนกระทั่ง 3 ปี ต่อมา ISUZU VEGA 4WD มารับช่วงต่อ จนทำตลาดถึงปี 2547 เนื่องจากหมดอายุการทำตลาด และในปีเดียวกันคู่แข่งรายสำคัญเปิดตัว ทำให้ อีซูซุตัดสินใจ นำ ISUZU D-MAX เจนแรก มาพัฒนาขยายตัวถัง ขยายความสุข ขยายความสบายเพื่อครอบครัวในชื่อ ISUZU MU-7 อเนกประสงค์ 7 ที่นั่งรูปแบบใหม่ประกอบจากโรงงานอีซูซุโดยตรง
หน้าตาความหล่อคุ้นเคยแบบเดียวกับ ISUZU D-MAX ตั้งแต่ ไฟหน้า HID ปรับระดับความสูงต่ำได้ถึง 4 ระดับพร้อมไฟตัดหมอกหน้า กระจังหน้าสไตล์ อีซูซุ พร้อมหลังคาทรงสูงติดตั้งราวหลังคาดีไซน์ Built-In ล้ออัลลอย 6 ก้าน สีเงิน พร้อมยางขนาด 245/70 R16 พร้อมบันได้ข้างดีไซน์ขึ้นรูปรับกับคิ้วขอบล้อหน้า-หลัง ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายและไฟตัดหมอกหลังแนวตั้งทรงยาวรับกับดีไซน์ฝาท้ายอย่างลงตัว และเป็นเจ้าแรกในกลุ่มรถพีพีวี ด้วยกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัวติดตั้งเป็นออพชั่นมาตรฐานจากโรงงานและมียางอะไหล่ห้อยใต้ท้องรถแทนการห้อยท้ายจึงทำให้การเปิดฝาท้ายรวดเร็วกว่าเดิม
ตัวรถมีขนาดเทียบเท่ากับ ISUZU D-MAX เนื่องจากใช้แชสซีส์เดียวกันและฐานล้อเท่ากัน โดยมีความยาว 4,950 มม. ความกว้าง 1,800 มม. ความสูง 1,805 มม. ฐานล้อ 3,050 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 210 มม. น้ำหนักรถ 1,775-1,835 กก. และความจุถังน้ำมัน 76 ลิตร
ภายในใช้พื้นฐานเดียวกับ ISUZU D-MAX แต่ปรับดีไซน์ให้เป็นรถอเนกประสงค์ 3 ตอน 7 ที่นั่งสมบูรณ์แบบสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 48 แบบ โดยเฉพาะเบาะตอน 2 มาในแบบ 40:20:40 โดยในส่วนอัตรา 20 สามารถพับเพื่อเข้าไปในตอน 3 ได้จากเดิมตอน 2 ในส่วนอัตรา 40 สามารถเลื่อนเข้าในตอน 3 ได้ ส่วนเบาะนั่งตอน 3 ทรงโซฟาไม่มีหมอนรองศรีษะสามารถพับได้ตลบเดียวเท่านั้น มีให้เลือกทั้งแบบเบาะกำมะหยี่และเบาะนั่งกึ่งหนังแท้สั่งพิเศษได้ เด่นที่เบาะนั่งตอน 2 กับ ตอน 3 ที่นั่งสบายสุด สบายกกว่าคู่แข่งรายสำคัญ พร้อมออพชั่นยกชุดจาก D-MAX ทั้ง พวงมาลัย 4 ก้านหุ้มหนัง เครื่องเล่นวิทยุ-เทป CD 2DIN พร้อมลำโพง 6 จุด ที่วางแก้วน้ำ 10 จุด ไฟส่องแผนที่ขนาดใหญ่ และเครื่องปรับอากาศแยกส่วนหน้า-หลังบนหลังคาพร้อมสวิตช์ เปิด-ปิด
ช่วงแรกจะจำหน่ายด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ Super Commond Rail 3.0 ลิตร รุ่น 4JJ1-TC 146 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 294 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,400 รอบ/นาทีจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่เลือกโหมดการขับขี่ทั้ง Power Mode สำหรับเร่งแซง และ 3RD Start Mode สำหรับออกตัวบนถนนลื่นไถลและในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาแบบกดปุ่มควบคุมเปลี่ยนการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าในชื่อ Touch-On-The-Fly พร้อมช่วงล่างหน้าแบบปีกนก 2 ชั้น พร้อมทอชั่นบาร์และเหล็กกันโคลงมีขนาดใหญ่ ปรับช่วงล่างหลังแหนบใหม่ และยังใช้โช้กอัพแก็สทั้ง 4 ล้อ เน้นไปในทางนุ่มนวลยามวิ่งถนนเรียบนุ่มนวลไม่แพ้คอยล์สปริง พร้อมความปลออดภัยถุงลมนิรภัยคู่หน้า กับ ระบบเบรก ABS พร้อม EBD
ในปี 2548 มีการแนะนำ ISUZU MU-7 รุ่นปรับปรุงโดยปรับในส่วนกระจังหน้าสีเงินใหม่ เสาอากาศย้ายตำแหน่งไปอยู่ด้านหลัง ภายในเปลี่ยนสีลายไม้ รวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนังแท้สีดำ และเบานั่งตอน 3 เพิ่มหมองรองศรีษะ สามารถพับได้ 2 ตลบและยังถอดออกได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกของมากขึ้น
จนมาถึงปี 2549 เปิดตัวรุ่นปรับหน้ตาใหม่ที่ถอดไฟหน้า HID Xenon ออก มาใช้แบบ Projector ทรงข้าวหลามตัด เด่นที่ไฟเลี้ยว ไฟหลัก และไฟสูงอยู่ในโคมเดียวกัน รวมถึงดีไซน์ใหม่โดยเฉพาะหน้าตาตั้งแต่ กระจังหน้าโครเมี่ยม กันชนหน้าพร้อมไฟตัดหมอกทรงกลม ล้ออัลลอย 6 ก้านสีเงินใหม่แต่ยางขนาดเดิม 245/70 R16 พร้อมสีทูโทนและสคู๊ฟบนฝากระโปรงดีไซน์ Built-In และสเกิร์ตท้ายใต้กันชนหลัง ส่วนภายในมีการปรับเปลี่ยนแบบเดียวกับ ISUZU D-MAX ทั้ง มาตรวัดเรืองแสง Super Vision พร้อมเครื่องเล่น CD MP3 ที่ ISUZU เป็นเจ้าแรกติดตั้ง ดีไซน์ทรงกลมทั้งช่องแอร์ ปุ่มควบคุมต่างๆรวมถึงโลโก้พวงมาลัย และห้องโดยสารสีเบจที่เบาะตอน 2 ปรับดีไซน์ใหม่ให้เป็นแบบ 60:40 และที่วางแขน
เท่านั้นยังไม่พอมีการเปิดเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร พัฒนาแรงม้าแรงบิดสูงขึ้น รุ่น 4JJ1-TCX พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน VGS Turbo 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 360 นิวตันเมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด MUX และ 333 นิวตันเมตรที่ 1,600-3,2000 รอบ/นาที ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด MAXMATIC III เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ Primo และ Actvio ขับเคลื่อน 4 ล้อ และทำตลาดควบคู่กับ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร รุ่น 4JJ1-TC 146 แรงม้าจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด เท่านั้นจำหน่ายในรุ่น Primo และ S ขับเคลื่อน 2 ล้อ
ปี 2550 ซึ่งเป็นปีครบรอบการดำเนินธุรกิจ 50 ปี สามารถทำยอดผลิตครบ 2 ล้านคัน พร้อมกับนำออพชั่นใหม่ๆมาใช้เช่นเดียวกับ ISUZU D-MAX ทั้งเครื่องเล่น DVD 7 นิ้ว จาก Kenwood พร้อมจอเพดาน 8 นิ้ว และกล้องมองหลัง เพื่อความปลอดภัยในการจอดรถเป็นครั้งแรก กระจกมองข้างดีไซน์ใหม่พร้อมไฟดเลี้ยวและเลนส์กระจกมองข้างฝั่งคนขับเพิ่มองศาการมองมากขึ้น ที่เปิดประตู โครเมี่ยม จุดสังเกตจะมีกรอบป้ายทะเบียนท้ายโครเมี่ยม และตัดกระจกส่องท้ายรถทิ้ง และตราสัญลักษณ์ ISUZU สีทองทั้งด้านหน้า ด้านท้าย และพวงมาลัย ในชื่อ ISUZU MU-7 Gold Series
หนึ่งปีให้หลังเปิดตัว ISUZU MU-7 Platinum พร้อมความหรูหราทั้งด้วยชุดแต่งโครเมี่ยมที่ไฟตัดหมอก คอนโซลเกียร์ ช่องแอร์ และลำโพง ปรับไฟหน้า Projector ให้สปอร์ตขึ้น ล้ออัลลอยลาย 6 ก้านคู่ใหม่แต่ขนาดยางเท่าเดิม 16 นิ้ว เครื่องเล่น DVD 7 นิ้ว จาก Kenwood พร้อมจอเพดาน 8 นิ้ว กล้องมองหลัง ตกแต่งภายในให้หรูขึ้น มีสีขาวมุกให้เลือกและเป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังมีสีทูโทนให้เลือก และยังเพิ่มรุ่นโลว์ S เกียร์อัตโนมัติให้เลือก
จนมาถึง ISUZU MU-7 Super Platinum ในปี 2552 เพิ่มความเท่ด้วยสเกิร์ตใต้กันชนหน้า ล้ออัลลอยลาย 6 ก้านคู่สีโทนเงินเทา พร้อมเครื่องเล่น DVD 7 นิ้ว เพิ่มระบบนำทาง จาก Kenwood พร้อมจอเพดาน 8 นิ้ว และกล้องมองหลัง รวมถึงจำหน่ายแค่สีเดียวโมโนโทนเท่านั้น และแบ่งเกรดรุ่นเหลือ 2 รุ่น คือ ACTIVO ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ VGS Turbo 163 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ กับรุ่น Primo ขับเคลื่อน 2 ล้อ ทั้งเครื่องยนต์ VGS Turbo 163 แรงม้า และ 146 แรงม้า เลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ ต้นปี 2553 แนะนำรุ่นพิเศษ!! ISUZU MU-7 Super Platinum เพิ่มมาตรวัดเรืองแสงสีส้ม Super Vision คิ้วขอบประตูย้ายตำแหน่งมาอยู่ที่ชายประตูแบบโครเมี่ยมและกรอบประตูโครเมี่ยมจนปลายปี 2553 แนะนำ ISUZU MU-7 Super Titanium ที่เพิ่มกล้องหน้า เป็นออพชั่นมาตรฐาน
ต้นปี 2554 แนะนำ ISUZU MU-7 CHOIZ ตกแต่งสปอร์ตรอบคันทั้งสเกริ์ตหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต ภายในเป็นแบบโทนดำเข้มพร้อมเบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายแดงแต่ยังสบายในรูปแบบ 7 ที่นั่งโดยจำหน่ายในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และปลายปี 2554เพิ่มรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ 3.0 ลิตร 146 แรงม้าจำหน่ายควบคู่กัน และปี 2555 เปิดตัว MU-7 CHOIZ เวอร์ชั่น 2 (รุ่นสุดท้ายของ MU-7) ตกแต่งสเกริ์ตหน้า-หลังดีไซน์ต่างจาก CHOIZ เวอร์ชั่นแรกรวมถึงตัดกล้องหน้ารถออกไป และเปลี่ยนจอเพดานเป็นแบบ LCD ขนาดใหญ่ 10.2 นิ้ว สามารถหมุนได้
9 เวอร์ชั่นในบอดี้เดียวที่ขายกันมายาวนานถึง 9 ปี และเป็นต้นแบบให้กับเอกสิทธิ์แห่งผู้นำอย่าง ISUZU MU-X โดย ISUZU MU-7 ยังให้ความประหยัดอย่างเหลือล้นจากเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 3.0 ลิตร มากสุด 13-16 กม./ลิตร แถมยังให้ความสบายจากช่วงล่างที่นุ่มไม่แพ้คู่แข่ง การเก็บเสียงที่เงียบกว่ายุคมังกรทอง Dragon Eyes การซ่อมแซมยังเข้าศูนย์บริการอีซูซุทั่วประเทศกว่า 300 แห่ง สบายใจด้วยอะไหล่แท้และเทียมที่สามารถหาได้ง่ายและใช้ร่วมกับปิกอัพ ISUZU D-MAX เจนแรก ถึงหน้าตาที่ดูสวยประมาณหนึ่ง รูปร่างอาจใหญ่ไม่คล่องตัวแต่นั่งสบายกว้างขวางยืดขาได้เต็มที่และช่วงล่างนุ่ม
แฟนๆเหล่าประชาคมอีซูซุ หรือ คนที่สนใจจะซื้อเก็บไว้ใช้งานมีหลากหลายรุ่นให้เลือก โดยสภาพรถมีแบบเดิมๆที่ยังรักษาและบางคันเอาไปแต่งยกสูงลุยๆ ราคาขายต่อตั้งแต่ปี 2004-2013 จะอยู่ที่ 250,000 – 550,000 บาทแล้วแตรุ่นแล้วแต่ปีแล้วแต่ระบบขับเคลื่อน ถือเป็นตัวเลือกที่น่าใช้งานไม่ใช่น้อยแถมเชื่อได้ว่าราคาขายต่อยังดีเสมอสำหรับ ISUZU MU-7
บทความโดย นายเต้ย
ที่มาข้อมูล บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
ที่มาภาพและภาพหน้าปก grandprixphotolike
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com