วิธีการขับรถฝ่าสายหมอกให้ปลอดภัย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 14 ม.ค. 62 00:00
- 5,984 อ่าน
ช่วงใกล้เปลี่ยนฤดูกาล ทั้งจากหน้าฝนเป็นหน้าหนาว หรือจากหน้าหนาวก้าวเข้าสู่หน้าร้อน สิ่งที่เราจะเจอได้บ่อยก็คือ หมอกที่ลงปกคลุมเมืองด้วยความหนายามเช้า จนทำให้ทัศนวิสัยแย่ลง จนทำให้การเดินทางด้วยถนนอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ ยิ่งสภาวะคนกรุงเทพตอนนี้แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าที่เห็นปกคลุมอยู่เป็นหมอกหรือควัน วันนี้เรามารับรู้วิธีการขับรถฝ่าสายหมอกให้ปลอดภัยแก่ตนเองและผู้ร่วมทางกันดีกว่าครับ
เปิดไฟหน้า-ไฟตัดหมอก
ยามเมื่อหมอกลงเมื่อไหร่ ทัศนวิสัยนั้นแย่มาก แทบไม่แตกต่างกับเจอฝนตกหนักเลย สิ่งแรกที่ควรจะต้องทำเมื่อขึ้นหลังพวงมาลัยเลยก็คือ ต้องเปิดไฟหน้า และถ้าคันไหนมีไฟตัดหมอกมาด้วย นี่คือเวลาที่ต้องใช้งานมันแล้วครับ (ไม่ได้เอาไว้เปิดยามค่ำคืน) เพื่อเพิ่มระยะการมองเห็นให้กับรถคันอื่นให้มากขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ขับรถให้ช้าลง
เมื่อขับรถออกสู่ท้องถนนที่หมอกลงจัด สิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็คือ ขับรถด้วยความเร็วที่ต่ำลงกว่าปกติ แต่จะต่ำมากขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับความหนาของหมอก โดยให้ระยะห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 3 วินาที เพื่อให้มีระยะเวลาในการแตะเบรกได้
ห้ามเปิดไฟฉุกเฉิน
ชื่อบอกอยู่แล้วว่าไฟฉุกเฉิน เอาไว้ใช้เฉพาะยามฉุกเฉินเท่านั้น ระหว่างขับรถท่ามกลางหมอก ห้ามเปิดไฟฉุกเฉินโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผู้ร่วมใช้เส้นทางไม่สามารถรู้ได้ว่า คุณต้องการเลี้ยวเมื่อไหร่, เปลี่ยนเลนตอนไหน ยิ่งทัศนวิสัยไม่ดีช่วงหมอกลงจัดแล้ว ยิ่งต้องการเวลาในการเตรียมตัวเบรกหรือหลบที่มากกว่าเดิม
แตะเบรกให้เร็วขึ้น
ปกติถ้าเราอยู่ในสภาวะอากาศปกติ เราเห็นคันหน้าเบรก เราอาจจะยังไม่เบรกก็ได้ ถ้าเราประเมินแล้วว่าความเร็วของรถเรายังอยู่ในการควบคุมไม่ให้ชนคันหน้าได้ แต่สำหรับช่วงหมอกลงจัด วัตถุด้านหน้า อาจจะมาถึงตัวเราเร็วกว่าปกติ ดังนั้นการที่เราแตะเบรกเร็วกว่าปกติ เพื่อให้รถชะลอลงก่อน จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ก็ต้องเบรกแบบไม่กะทันหันมากเกินไปจนทำให้รถคันหลังมาชนหลังเราได้
มีสมาธิอยู่กับถนนมากขึ้น
ถ้าเรามองเห็นถนนได้ไกลชัดเจน เราอาจจะพอละสายตาไปมองอย่างอื่นแบบชั่วครั้งชั่วคราวได้บ้าง (ถึงจะไม่อยากให้ทำก็ตาม) แต่สำหรับการขับรถในสายหมอกนั้น ต้องมีสมาธิอยู่กับถนนให้ได้มากที่สุด เพราะวัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป้นรถ หรือสิ่งของที่อยู่บนถนน อาจจะมาให้เราเห็นได้เมื่อถึงระยะเพียง 10-20 เมตรเลยก็ได้ ดังนั้นควรจะต้องมองไปข้างหน้าและรอบตัวรถให้ละเอียดรอบคอบกว่าปกติ
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com