อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร?

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 7 มิ.ย. 60 00:00
  • 38,723 อ่าน

กระแสของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก กำลังอยู่ในการผลิต,วิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานสะอาดกันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอากาศ ที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งตัวการหลักที่ปล่อยอากาศเสียก็คือรถยนต์นี่เอง ดังนั้นหลายภาคส่วนจึงพยายามร่วมมือร่วมใจ พยายามลดการปล่อยไอเสียให้น้อยลง อย่างน้อยก็น่าจะยืดเวลาที่โลกเราจะถึงจุดแตกหักออกไปได้อีกหน่อย

Electric Vehicle

ยิ่งเกิดข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างเช่น การโกงค่าไอเสียของ Volkswagen ก็ยิ่งทำให้ค่ายรถยนต์ยิ่งต้องรีบตื่นตัวในการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อยหรือไม่มีมลพิษให้มากขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตัวเองก็ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมเช่นกัน หลายค่ายจึงเริ่มประกาศแผนมาเรื่อยๆว่า กำลังผลิตหรือมีแผนที่จะวางจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นแบบ Plug-in Hybrid หรือรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (Electric Vehicle) เตรียมออกจำหน่ายเร็วๆนี้ เป็นข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น Mercedes-Benz ที่ปั้นแบรนด์ใหม่อย่าง EQ ที่เป็นตระกูลรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดเลย จึงคาดว่าภายใน 5 ปีนี้ เราน่าจะได้เห็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้ากันมากกว่าเดิม

 

แล้วรถยนต์ไฟฟ้า มีแบบไหนบ้าง?
คำว่ารถยนต์ไฟฟ้าสำหรับเมืองไทย อาจจะยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ แต่เอาจริงๆแล้ว เราก็คุ้นเคยกับรถยนต์ไฟฟ้ามานานแล้วในรูปแบบของรถยนต์ Hybrid อย่างเช่น Toyota Prius, Honda Accord Hybrid, Nissan X-Trail Hybrid เป็นต้น ถึงแม้มันจะใช้ไฟฟ้าเล็กน้อยในการขับเคลื่อน แต่มันก็ถือว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเช่นกัน ทีนี้เรามาทำความรู้จักรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ดีกว่าครับ

Toyota Prius

- Hybrid
อย่างที่บอกไปว่าเรารู้จักรถยนต์ไฟฟ้ากันดีอยู่แล้วผ่านรถยนต์ระบบ Hybrid โดยที่คุ้นเคยมากที่สุดน่าจะเป็น Toyota Prius ที่เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2009 โดยเครื่องยนต์ไฮบริดนั้น จะใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันทำงานเป็นหลัก ระหว่างเครื่องยนต์ทำงานก็จะมีการปั่นไฟฟ้าเก็บที่แบตเตอรี่ แล้วจะนำไฟฟ้านี้ไปใช้งานหมุนมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อไปหมุนล้อในช่วงความเร็วต่ำ, ตอนออกตัว และส่งไฟไปให้เครื่องใช้ไฟฟ้าและแอร์ทำงานช่วงรถจอดสนิท เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ ทำให้มีการเผาน้ำมันน้อยลงตามไปด้วย ปัจจุบันมีใช้งานอยู่หลายรุ่น อาทิ Toyota Camry Hybrid, Honda Jazz Hybrid เป็นต้น

EQ

- Plug-in Hybrid (PHEV)
ระบบนี้ทำงานคล้ายกับระบบ Hybrid แต่รถยนต์เสียบปลั๊กแบบ Plug-in Hybrid (PHEV) นั้น จะมีการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่าเดิม คือสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ตามระยะทางที่รถยนต์รุ่นนั้นเคลมไว้ ซึ่งปัจจัยหลักจะอยู่ที่ขนาดของแบตเตอรี่ ถ้าเก็บไฟได้มาก ก็พาวิ่งไปได้ไกลมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งเท่าที่เห็น ก็จะวิ่งด้วยไฟฟ้าโดยไม่ต้องติดเครื่องยนต์ 30 กิโลเมตรขึ้นไป และรองรับความเร็วได้เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อไฟหมด เครื่องยนต์ก็สามารถติดเพื่อเข้ามาทำงานแทนที่มอเตอร์ไฟฟ้าได้ทันที แต่ด้วยเครื่องยนต์ไม่สามารถที่จะปั่นไฟเพื่อเก็บให้เต็มความจุของแบตเตอรี่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีการจอดเพื่อเสียบปลั๊กไฟบ้าน ผ่านสายอะแดปเตอร์หรือ Wall Charge Station เพื่ออัดไฟกลับเข้าไปใหม่เหมือนการชาร์จโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้งานต่อไป เมื่อใช้ไฟฟ้ามากขึ้น จึงมีการเผาผลาญน้ำมันน้อยลง ยิ่งถ้าเราเดินทางไม่ไกล เครื่องยนต์ก็ไม่ต้องสตาร์ทเลยก็ได้  ปัจจุบันที่มีบนถนนก็จะเป็นพวก BMW 330e, Mercedes-Benz E350e, Volvo XC90 T8 เป็นต้น

BMW i3

- Series Hybrid
ระบบ Series Hybrid ยังคงเป็นระบบใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคย และบนโลกนี้ก็ยังมีเพียงไม่กี่รุ่นที่ใช้งานระบบนี้ วิธีการทำงานของระบบนี้ก็คือ การขับเคลื่อนรถยนต์ จะเป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด แต่จะมีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อป้อนไฟให้มอเตอร์ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เครื่องยนต์จะไม่มีหน้าที่ไปช่วยหมุนล้อเหมือนระบบ Hybrid ปกติแต่อย่างใด ดังนั้นการใช้น้ำมันก็จะน้อยกว่าระบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid (แต่ก็ยังใช้อยู่) โดยรุ่นที่ใช้งานระบบนี้อยู่คือ BMW i3

Tesla Model S

- Electric Vehicle (EV)
ต้องขอบคุณ Elon Musk ที่กล้าเปลี่ยนอุตสาหกรรมรถยนต์ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ออกมาวางจำหน่าย จนทำให้คนทั้งโลกรู้จักรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำลายกำแพงที่ยี่ห้อใหญ่ๆทั้งหลายกลัวกันว่า ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนออกมาแล้วจะขายไม่ดี รถยนต์แบบ Electric Vehicle หรือ EV นั้น จะไม่มีเครื่องยนต์เลย มีเพียงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่เท่านั้น ใช้เวลาในการชาร์จตั้งแต่ 2 - 8 ชั่วโมง จะสามารถวิ่งได้ไกลตามขนาดของแบตเตอรี่ อย่างเช่น Tesla Model S รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม เคลมเอาไว้ว่าในรุ่นแบตเตอรี่ 75 ใช้ความเร็วเฉลี่ย 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะสามารถวิ่งได้ไกลสุดประมาณ 426 กิโลเมตร (กรุงเทพฯ-พิษณุโลก) ปัจจุบันนอกจาก Tesla แล้ว ยังมีรถยนต์ในประเทศจีนอีกหลายยี่ห้อ ที่จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนอยู่

BMW

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้ามีไหม?
ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้งานทั่วไป รถยนต์ใช้ไฟฟ้าแบบ Hybrid จะไม่มีผลกระทบมากเท่าไหร่ เพราะยังคงมีระบบเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันมาคอยผลิตพลังงานให้ขับเคลื่อนได้อยู่ แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนนั้น จะต้องใช้ระยะเวลาในการชาร์จนานกว่าการเติมน้ำมันเป็นอย่างมาก อย่าง Tesla Model S ถ้าต้องการวิ่งได้ 483 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาในการชาร์จเร็วสุดคือ 1 ชั่วโมง 15 นาทีผ่านเครื่อง Supercharger ตามสถานีชาร์จของ Tesla แต่ถ้าใช้สายชาร์จที่บ้านปกติ ต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง 42 นาทีเลยทีเดียว ดังนั้นมันจึงอาจจะไม่เหมาะกับการเดินทางไกลมากๆ เพราะถ้าไฟหมดกลางทางเมื่อไหร่ ก็ต้องกินข้าวลิงรอรถยกอย่างเดียว

BMW

ทำไมรถยนต์ใช้ไฟฟ้าถึงแพงกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน?
สิ่งหนึ่งที่ทำให้รถยนต์ใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่บูมมาก มีหลักใหญ่มาจากราคาเป็นสำคัญ คนที่ซื้อก็มักจะเปรียบเทียบว่า รถระบบนี้จะช่วยประหยัดได้เท่าไหร่? คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเงินเพิ่มมั้ย? พอเคาะเครื่องคิดเลขจบ ก็หันไปซื้อรถยนต์แบบเครื่องยนต์ปกติแทน หลักใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาต้องสูง มาจากราคาของแบตเตอรี่เป็นสำคัญ ยิ่งความจุมาก ค่าตัวก็ยิ่งแพงขึ้นไปเป็นเงาตามตัว ต้องเข้าใจก่อนว่าขนาดของรถยนต์มีจำกัด ดังนั้นการที่จะทำให้แบตเตอรี่เก็บไฟได้มากขึ้นในขนาดที่เท่าเดิม ย่อมต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ทำให้ราคาของมันจึงแพงมากขึ้นไปด้วย ยิ่งเจอข่าวไม่นานมานี้เกี่ยวกับราคาแบตเตอรี่ของ Mercedes-Benz ที่ระบุในใบเคลมว่าเกือบ 8 แสนบาท ยิ่งทำให้คนอ่านข่าวถอยกรูด ไม่กล้าเมียงมองไปที่รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าอีกเลย แต่จากการสอบถามราคาแบตเตอรี่จากทีมงาน Autodeft มันก็ไม่ได้ราคาโหดขนาดนั้น อย่างของ Mercedes-Benz ที่เป็นข่าวนั้น จากการสอบถามราคาขายจริง จะอยู่ที่ก้อนละประมาณ 180,000 - 210,000 บาท หรือของ Toyota อยู่ที่ประมาณ 109,800 บาท ถึงมันจะถูกกว่าตามข่าวเยอะ แต่มันก็ยังถือว่าแพงอยู่ดี อายุการใช้งานโดยทั่วไปก็ประมาณ 10 ปี แต่ล่าสุดมีผลวิจัยออกมาว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้นและปริมาณความต้องการใช้แบตเตอรี่มากขึ้น จะทำให้ราคาของแบตเตอรี่ถูกลง และราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มถูกกว่ารถยนต์เครื่องยนต์ปกติได้ในปี 2025 (รายละเอียดที่นี่)

Vera V1

แล้วอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราจะเป็นอย่างไร?
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีกระแสฮือฮาเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์คนไทยอย่าง VERA V1 ขึ้นมา จนมีการถกเถียงมากมายว่าตกลงเป็นรถยนต์ของคนไทย หรือแค่สั่งให้จีนผลิตแล้วยกเข้ามาแปะเป็นยี่ห้อคนไทย แถมเจอราคาเกือบล้านเข้าไปในรถที่แทบไม่มีออพชั่นอะไร ยิ่งทำให้หลายคนบอกว่า กลับไปขับ Eco Car ราคาครึ่งล้านเหมือนเดิมดีกว่า ดังนั้นทัศนคติของคนไทยเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ยังติดขัดเรื่องราคาอยู่เป็นสำคัญ หลักใหญ่มาจากยังไม่มีค่ายรถยนต์ค่ายไหนที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในประเทศไทย ถ้านำเข้ามาก็จะโดนภาษีระดับ 100-200% จึงทำให้ราคารถสูงกว่าเดิมไปหลายเท่าตัว อย่างเช่น Tesla Model S 75D ราคาขายที่สหรัฐฯอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท แต่เมื่อนำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยผ่านผู้นำเข้าอิสระ ราคาจำหน่ายพุ่งไปที่ 6.68 ล้านในทันที ดังนั้นเรื่องราคาจะเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน แต่ถ้าเป็นแบบ Plug-in Hybrid อาจจะดูมีความเป็นไปได้ไวกว่าในเมืองไทย เพราะรถยนต์ระบบนี้ก็เริ่มนำเข้ามาประกอบในเมืองไทยหลายรุ่นแล้ว อย่างเช่น BMW X5 xDrive40e M Sport ซึ่งเป็นรถยนต์ PHEV ราคาอยู่ที่ 4,699,000 บาท แพงกว่าพี่น้องร่วมซีรี่ย์อย่าง BMW X5 sDrive25d Pure Experience เพียง 100,000 บาทเท่านั้นเอง ถ้าค่ายหลักยอดนิยมหันมาเล่นตลาดนี้บ้าง ก็เชื่อว่าน่าจะมีคนหันกลับมาใช้รถยนต์ PHEV ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

EV

การสนับสนุนจากภาครัฐ?
หลายประเทศมีการสนับสนุนให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ไม่ว่าจะรูปแบบของการลดภาษี, สนับสนุนทางการเงิน, ให้สิทธิพิเศษต่างๆมากมาย (อ่านตัวอย่างได้ที่นี่) จนทำให้ความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นหลายประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ล่าสุดมีมาตรการลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจาก 10% เหลือ 2% ส่วนรถยนต์แบบ Hybrid และ PHEV แบ่งเป็น
1. ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร อัตราลดลงจาก 10% เหลือ 5%
2. ปล่อยไอเสีย 100-150 กรัม/กิโลเมตร อัตราลดลงจาก 20% เหลือ 10%
3. ปล่อยไอเสีย 100-150 กรัม/กิโลเมตร อัตราลดลงจาก 25% เหลือ 12.5%
4. ปล่อยไอเสีย 200 กรัม/กิโลเมตร อัตราลดลงจาก 30% เหลือ 15%

*ข้อมูลจาก Thansettakij


เงื่อนไขทั้งหมดนี้คือต้องเป็นรถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทยเท่านั้น ถ้ามองในภาพรวมของรถยนต์แบบ Hybrid และ PHEV ก็คงพอช่วยลดราคาของรถยนต์ไปได้นิดหน่อย แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วคงเป็นไปได้ยากอยู่ เพราะค่ายรถที่มีโรงงานในประเทศไทย ยังไม่มีค่ายไหนที่ผลิตรถยนต์ EV เพื่อจำหน่ายเป็นทางการเลย ส่วนค่ายอื่นๆที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเช่น Tesla ก็คงไม่สนใจที่จะมาลงทุนทำโรงงานที่เมืองไทยเร็วๆนี้แน่นอน ดังนั้นในระยะเวลา 5 ปีนี้ การเติบโตของรถยนต์ EV คงจะเป็นไปได้ยากแน่นอน

Tesla Supercharger

สถานีชาร์จไฟ ปัจจัยสำคัญตัวต่อมา
สิ่งที่ทำให้ตลาดรถยนต์ของสหรัฐฯโตเป็นอย่างมาก เพราะผู้ผลิตอย่าง Tesla กล้าที่จะลงทุนสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าแบบไม่กลัวเจ๊ง แถมช่วงแรกของการขาย ยังมีโปรแกรมชาร์จไฟฟรีสำหรับลูกค้า Tesla ทุกคันอีกด้วย ถึงแม้ผู้ที่ซื้อหลังจากนี้ จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้อีกต่อไป แต่ Elon Musk ก็เคยให้ความเห็นไว้ว่า สถานีชาร์จไฟฟ้าของ Tesla ทุกแห่ง จะเป็นบริการที่ไม่สร้างกำไร เพราะไม่อย่างนั้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่โต หันกลับมาที่ประเทศไทย ยังหาสถานที่ชาร์จอย่างเป็นทางการแทบไม่ได้ ที่เห็นชัดๆก็จะมีที่ของ ปตท. ที่ทำสถานีต้นแบบมา 4 แห่งคือสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. อ.วังน้อย จ.อยุธยา, บริเวณแหลมฉบัง, ปตท. สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาดี และ The Crystal PTT ถนนชัยพฤกษ์ แต่เท่าที่ทราบ ทั้งหมดยังไม่เปิดใช้บริการเป็นการทั่วไป ดังนั้นถ้าจะใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องเอาสายชาร์จติดรถไปเอง แล้วค่อยหาปลั๊กไฟเพื่อเสียบชาร์จเอง

EV

แล้วต้องทำอย่างไร ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยถึงจะโต?
เป็นคำถามที่ตอบยากมากจริงๆ แต่ถ้าทำได้ มันจะกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากมหาศาล การร่วมมือต้องออกมาจากทุกฝ่าย อาจจะเริ่มจากภาครัฐ ที่ต้องมีมาตรการส่งเสรมมากกว่านี้ อาทิยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์แบบ EV, ติดตั้งหัวชาร์จไฟตามสถานที่ราชการทั่วประเทศ, ยกเว้นค่าภาษีรายปี เป็นต้น ภาคเอกชนก็เช่นกัน อาจจะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้มากขึ้น, ลงทุนเพิ่มการติดตั้งหัวชาร์จไฟ, สต็อกอะไหล่ให้พร้อม เป็นต้น และที่สำคัญคือตัวผู้บริโภคเอง ที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ อย่ามองแค่ความคุ้มค่าแค่การลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานต้องคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายค่าตัวรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม แต่อยากให้มองว่า รถยนต์ไฟฟ้าพวกนี้จะช่วยลดการปล่อยมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้สภาพอากาศที่แย่อยู่แล้วจะได้ทรุดโทรมช้าลง หรือในอนาคตที่เราช่วยกันปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงจนถึงขั้นที่ป่าไม้ประเทศเราช่วยฟอกได้หมด อากาศก็อาจจะดีขึ้นได้ ถ้าทำได้มันจะเป็นสิ่งที่ตีราคาเป็นจำนวนเงินไม่ได้ ลูกหลานของเราก็จะได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี เชื่อว่าถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือในเป้าหมายเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าก็โตขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็นครับ

เรียบเรียงโดย Earthpark02

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

5 เรื่องน่าสนใจ