BMW Fleet Review 2018 ปรากฎการณ์ที่สุดยนตรกรรมพรีเมียมหรูจากค่ายเยอรมัน
- โดย : Autodeft
- 4 ก.ย. 61 00:00
- 6,199 อ่าน
นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พาสื่อมวลชนสัมผัสยนตกรรมหรูแบบยกทัพขนมาทั้งหมด ให้สัมผัสกันเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อกิจกรรมทดสอบรถยนต์ BMW Fleet Review 2018
นอกจากจะขนยนตกรรมหรูมาให้ทดสอบแล้ว ทาง บีเอ็มดับเบิลยู ก็ได้แนะนำนวัตกรรมด้านการบริการมาให้เจ้าของรถยนต์ที่ซื้อไปนั่นคือ BMW ConnectedDriveโดยบริการดังกล่าวเปิดประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการบริการสู่โลกแห่งอนาคตจะเปิดให้ผู้ใช้งานควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้จากระยะไกลอีกทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับรถได้อย่างง่ายดาย ผ่านแอพพลิเคชั่น BMW Connected บน iPhone โดยฟีเจอร์พิเศษสำหรับรถยนต์ Plug-In Hybrid ของ BMW ได้แก่
- การแสดงสถานะรถยนต์สามารถตรวจสอบสถานะและระดับของแบตเตอรี่ระยะทางที่คาดว่าจะแล่นได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลืออยู่
-การควบคุมการชาร์จพลังงานไฟฟ้าและระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารจากระยะไกล ผู้ใช้งานสามารถเปิด/ปิดเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน หรือตั้งเวลาเปิด/ปิดล่วงหน้าให้ตรงกับเวลาที่ต้องการออกเดินทาง
- ระบบการนำทางที่สามารถค้นหาและนำทางไปยังสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดได้อีกด้วย
- การประมวลและแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ของแต่ละบุคคล โดยวิเคราะห์รูปแบบการขับขี่และควบคุมรถยนต์บนท้องถนน นอกจาก BMW ConnectedDrive ยังมาพร้อมฟีเจอร์อีกมากมาย โดยมีบริการพื้นฐานได้แก่ BMW Teleservices บริการที่ช่วยจัดการนัดหมายอัตโนมัติ โดยจะสามารถรับรู้กำหนดของการบริการตามสภาพ (CBS) และทำการแชร์ข้อมูลของรถยนต์กับศูนย์บริการ BMWที่คุณต้องการโดยอัตโนมัติหรือผู้ขับขี่สามารถทำการติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการด้วยตนเองผ่าน BMW Teleservice Call
ในเมนู iDrive เพื่อนัดหมายการรับบริการล่วงหน้า อีกหนึ่งบริการพื้นฐานของ BMW ConnectedDrive คือ Intelligent Emergency Call ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ติดต่อกับศูนย์บริการฉุกเฉินทางโทรศัพท์เพียงแค่กดปุ่ม SOS ซึ่งสามารถรองรับการบริการได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษและยังสามารถเลือกเพิ่มบริการและแอพพลิเคชั่นตามความต้องการของตนได้ ผ่าน BMW ConnectedDrive Store โดยมีบริการและแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ดังนี้
- Concierge Services: ที่สุดของการบริการกับผู้ช่วยส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลทุกที่ ทุกเวลา
- Apple CarPlay Support : เข้าถึงฟีเจอร์และแอพพลิเคชั่นโปรดใน iPhone ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านการเชื่อมต่อทาง Bluetooth ไม่ว่าจะฟังเพลง รับสายโทรศัพท์ หรือการใช้งานแผนที่ Apple Map, iMessage และแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ จาก iPhone ผ่านการสัมผัสหน้าจอ Control Display ระบบควบคุม iDrive หรือระบบสั่งการด้วยเสียง Siri
- ระบบนำทางพร้อมข้อมูลการจราจรจาก Real-Time Traffic Information (RTTI) รวมถึง Web Radio: ฟังเพลงโปรดผ่านวิทยุออนไลน์กว่าหมื่นสถานีจากทั่วโลก และเพื่อการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดมากยิ่งขึ้นในทุกที่และทุกเวลา
ผู้ใช้งานยังสามารถเชื่อมต่อบริการ BMW ConnectedDrive เข้ากับแอพพลิเคชั่น BMW Connected เพื่อใช้งานเทคโนโลยีล้ำสมัยโดย มาพร้อมบริการที่สามารถอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งาน ได้แก่
- BMW Connected Send To Car: ส่งข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของจุดหมายปลายทางที่ค้นหาไว้ทางอินเตอร์เน็ตหรือ
สมาร์ทโฟน
- Time-To-Leave Notification: แอพพลิเคชั่น BMW Connected จะแจ้งเตือนเวลาที่ควรออกเดินทางผ่านทางสมาร์ทโฟน
เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานจะเดินทางถึงที่หมายได้ทันเวลา โดยระบบจะคำนวณเวลาในการเดินทางจากตำแหน่งของรถและสภาพการจราจรใน ช่วงเวลานั้น
- BMW Connected Remote 3D View : แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถที่จอดอยู่ด้วยภาพสามมิติ โดยสามารถเลือกมุมมองต่าง ๆ ได้ผ่านทาง iPhone
หลังเสร็จจากการให้ข้อมูลของระบบ BMW ConnectedDrive รวมถึงการอบรมการขับขี่แบบคร่าวๆ ทั้งปรับท่านั่งให้ถูกวิธี จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 9 กับ 3 นาฬิกา ฯลฯ แล้วมาถึงไฮไลต์สำคัญนั่นคือการทดสอบขับรถยนต์ BMW ที่งานนี้ขนมาทั้งหมด 10 รุ่นด้วยกัน ดังนี้ BMW 320d M Sport, BMW 330e M Sport, BMW 430i Convertible M Sport , BMW 520d Sport, BMW 530e M Sport, BMW 630d GT M Sport, BMW X2 sDrive20i M Sport X, BMW X3 xDrive20d M Sport, BMW M2 Coupe และ BMW M4 Coupe โดยแบ่งเป็น 2 สถานี คือสถานที่แรก ขับรถยนต์รุ่นไหนก็ได้ตามที่ตนเองชื่นชอบและขับวนไปเรื่อยๆจนครบ 10 รุ่น และสถานีต่อมา ขับแบบสลาลมซึ่งสถานี้นี้เลือกขับสุดยอดยนตกรรมแรง BMW M2 Coupe แต่สำหรับผมเองเลือกขับเพียงบางรุ่นในสถานีแรก เริ่มจาก
ซาลูนน้องเล็กที่เผ็ดแซ่ปอย่าบอกใครกับพลังแรงดีเซลเทอร์โบ TwinPower Turbo 2.0 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัวเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronicและด้วยความแรงเกือบ 200 แรงม้า สามารถพาร่างเล็กๆกระโจนอย่างรวดเร็วด้วยอัตาเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 7.2 วินาที ปราดเปรียวขึ้นด้วยชุดแต่ง M Sport รอบคันและช่วงล่าง M Sport พร้อมล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้ว ลาย Star-spoke พร้อมยาง 225/45 R18
ภายในเข้มด้วยหลังคาภายในสีดำ Anthracite ตัดกับอะลูมิเนียมลาย Hexagon พร้อมแถบสีดำเงา และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังแท้ดีไซน์ M พร้อมระบบบันเทิงล้ำสมัย จอภาพขนาด 6.5 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive และการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และช่อง USB ในราคาเพียง 2,459,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คแกจบำรุงรักษา BSI Standard)
- BMW 5 Series ทั้ง 530e M Sport และ 520d Sport
อีกหนึ่งซีดานขนาดกลางขวัญใจนักธุรกิจยุคใหม่ที่แสวงหา ความรุ่งเรือง ความก้าวหน้าทั้งการงานและเรื่องส่วนตัว โดยในงาน BMW Fleet Review 2018 ขนมาถึงสองรุ่นทั้งเวอร์ชั่น Plug-in Hybrid ในรุ่น 530e M Sport ที่ต้องบอกเลยว่าแรงกระชากใจคล้ายเครื่อง 6 สูบ 3.0 ลิตร ด้วยพลัง เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ TwinPower Turbo 4 สูบ 2.0 ลิตร 184 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 290นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 133 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังรวมสูงสุดถึง 252 แรงม้า และแรงบิด 420 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic นอกจากโหมด SPORT, COMFORT และ ECO PRO
ผู้ขับขี่สามารถใช้ eDrive เพื่อเปิดการใช้งานระบบนี้ ซึ่งช่วยให้ทุกการเดินทางแม่นยำมากขึ้นด้วยอีก 3 โหมดเพิ่มเติม คือ AUTO eDRIVE, MAX eDRIVE และ BATTERY CONTROLและด้วยความกระชากใจของพลังรวม 252 แรงม้า สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม.ทำได้ 6.2 วินาที อวดความปราดเปรียวด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้วลาย Double-Spoke พร้อมยางหน้าขนาด 245/40 R19 และยางหลังขนาด 275/35 R19 ขอบหน้าต่างภายนอกตกแต่งแบบ BMW Individual high-gloss พร้อมชุดตกแต่งภายนอก M Aerodynamics ภายในมอบความสบายด้วย ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) หน้าจอความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งนอกจากจะควบคุมโดยปุ่ม iDrive Controller ยังสามารถสั่งการด้วยการกดปุ่มบนหน้าจอ หรือด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) อีกด้วย และระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW Gesture Control)
มากันที่เวอร์ชั่นดีเซลอย่างรุ่น 520 d Sport พลกำลังอาจไม่ได้แรงกว่าเวอร์ชั่น Plug-In Hybtid อย่าง 530e M Sport แต่ก็ยังเป็นซาลูนหัวใจประหยัดกับขุมพลังเดียวกับรุ่น 320d M Sport พลังแรงดีเซลเทอร์โบ TwinPower Turbo 2.0 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัวเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic 7.5 วินาที จากอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.นับเป็นเครื่องยืนยันถึงความสะใจในการขับขี่ พร้อมภายนอกที่ผสมระหว่างความหรูกับความสปอร์ตในคันเดียวกัน กับ ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้วแบบ double-spoke พร้อมยาง 245/45 R18 กัภายในที่เอื้อต่อผู้ขับขี่และการตกแต่งด้วย fine-wood trim ในสี poplar grain grey พร้อมด้วย highlight trim finisher สีโครเมียมมุก ที่เข้าคู่อย่างสมมบูรณ์แบบกับพวงมาลัยและเบาะหนัง พร้อมระบบ BMW Gesture Control และหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ที่ช่วยให้การควบคุมระบบความบันเทิงและฟังกชั่นโทรศัพท์เป็นไปอย่างง่ายดายและชาญฉลาด
สองซาลูนหรูขนาดกลางจาก BMW 5 Series มีราคาดังนี้
- รุ่น 530e M Sport ราคาจำหน่าย: 3,939,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คแกจบำรุงรักษา BSI Standard)
- รุ่น 520d Sport ราคาจำหน่าย: 3,439,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คแกจบำรุงรักษา BSI Standard)
มากันที่อเนกประสงค์ตัวเด่นที่ยังคงเป็นที่น่าสนใจนั่นคือ BMW X3 xDrive20d เวอร์ชั่นสปอร์ตแบบ M Sport โดดเด่นด้วยชุดแต่งรอบคัน ดีไซน์ M Aerodynamics และขอบหน้าต่างสีดำเงา ล้ออัลลอย M ลาย Double-spoke ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 245/50 R19กับความสูงจากพื้นดืน มากถึง 204 มม. ยังมาพร้อมช่วงล่าง M Sport ที่ขับสนุกบนถนเรียบ ภายในหรูด้วยการตกแต่ง Aluminium Rhombicle trim finishers ตัดกับ Pearl Chrome พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ M Sport พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ และยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ และกล้องมองหลัง เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและแม่นยำในทุกเส้นทาง พร้อมปุ่มควบคุม iDrive และสั่งงานด้วยระบบสัมผัส จอแสดงผลภาพความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานอัจฉริยะ BMW Gesture Control ที่สามารถควบคุมระบบนำทางและระบบบันเทิงสื่อสาร ผ่านการเคลื่อนไหวของมือ แถมเพลิดเพลินกับระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบTwinPower Turbo 2.0 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัวเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic 8 วินาที จากอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ยังจัดเป็นรถยนต์ที่จัดจ้านไม่แพ้เวอร์ชั่นซาลูนที่ใช้ขุมพลังนี้ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ในราคา 3,799,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คแกจบำรุงรักษา BSI Standard)
ปิดท้ายด้วยสปอร์ตคู้เป้ 2 ประตู ตัวเล็ก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ มาพร้อม ขุมกำลัง BMW M TwinPower Turbo 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 370 แรงม้แรงบิดสูงสุด 465 นิวตัวเมตร มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 4.3 วินาที ควบคุมด้วยเกียร์อัตโนมัติ M แบบคลัตช์คู่ 7 จังหวะ ตอบสนองการขับขี่แบบรถแข่งได้ในทุกจังหวะและย่านความเร็ว มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ด้วยกันชนหน้า ที่ใหญ่และดุดัน พร้อมกระจังหน้าในแบบเอกลักษณ์ของรถยนต์ตระกูล M และล้อขนาดใหญ่ 19 นิ้ว M Double Spoke และโดดเด่นด้วยท่อไอเสียคู่แยกออก 2 ทาง มาพร้อม Adaptive LED หรือระบบ ไฟหน้า LED อัจฉริยะปรับตามทิศทางหมุนของพวงมาลัย กระจกซันรูฟ กล้องและเซ็นเซอร์ด้านหลัง
ภายในห้องโดยสารหรูหราปราดเปรียวด้วยโทนสีดำ พร้อมการดีไซน์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งหลังคาภายในสี Anthracite พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มด้วยหนังแบบ M และเบาะหนังประทับตราสัญลักษณ์อักษร M มอบความรู้สึกแบบรถสปอร์ตพันธุ์แท้ที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังมีระบบ BMW Apps ที่รองรับการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ พร้อมทั้งแชร์ข้อมูลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้ และเพลิดเพลินไปกับระบบเสียงไฮไฟ Harman Kardon ราคาจำหน่าย: 8,909,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คแกจบำรุงรักษา BSI Standard)
ยนตกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด นี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสร้างประสบการณ์สร้างความสนุกในการขับขี่ปลุกจิตวิญญาณแห่งความเร้าใจให้ลุกโชนอีกครั้งกับกิจกรรม BMW Fleet Review 2018 และพบกันรีวิวทดสอบจากค่าย BMW เร็วๆนี้แต่จะเป็นรุ่นรายนั้นติดตามได้เร็วๆนี้ที่ Autodeft
เรื่องและเรียบเรียงโดย นายเต้ย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com