AMG Driving Experiences หลักสูตรเข้มข้นขับรถตัวแรงจาก Mercedes-AMG
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 6 พ.ย. 61 00:00
- 5,282 อ่าน
การสอนขับรถเพื่อทำใบขับขี่ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้คนนั้นสามารถขับเคลื่อนรถไปตามกฏจราจรได้ ซึ่งถือเป็นเลเวลระดับพื้นฐานสุด ๆ สำหรับคนที่ต้องการใช้งานรถยนต์บนท้องถนน แต่ถ้าต้องการขับรถได้ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากอาศัยประสบการณ์ในการขับขี่รถยนต์บนถนนจริงแล้ว การเข้าอบรมหลักสูตรการขับขี่ต่าง ๆ ที่หลายค่ายรถยนต์จัดขึ้นมา ก็สามารถช่วยเพิ่มทักษะในการขับขี่รถยนต์ในยามต้องเจอภัยได้มากขึ้น
แต่การควบรถยนต์แบบความแรงสูง ระดับ 300 แรงม้าขึ้นไป การควบคุมมันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะรถยนต์พวกนี้จะมีกำลังเครื่องยนต์ที่สามารถตอบสนองเท้าของเราได้อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่า แตะลงไปที่คันเร่งเมื่อไหร่ รถก็พร้อมจะพุ่งทยานออกไปข้างหน้าได้ทันที และใครก็ตามที่ได้ขับรถแรงแบบนี้ ก็ย่อมมีปีศาจเริ่มสิงสู่อยู่ในเท้า พร้อมจะกดคันเร่งให้จมได้ทุกเมื่อ เพื่อความมันสะใจคุ้มค่ากับการได้ขับรถแรง การควบคุมรถให้อยู่ในความปลอดภัยกับตัวเองและผู้อื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่หลักสูตรทั่วไปอาจจะไม่ได้มีสอนเอาไว้
เรารู้กันอยู่แล้วว่า รถนยนต์ในตระกูล Mercedes-AMG แต่ละคันนั้น ความแรงระดับเกิน 300 แรงม้าทั้งนั้น ซึ่งการควบคุมมันก็ต้องเพิ่มทักษะเข้าไปมากกว่ารถยนต์ทั่วไป ถึงแม้ตัวรถจะมีระบบความปลอดภัยมากแค่ไหนก็ตาม ด้วยเหตุนี้ทาง Mercedes-AMG จึงได้มีหลักสูตรที่เรียกว่า AMG Driving Experiences เอาไว้เพิ่มทักษะในการควบคุมรถที่มีความแรงสูง ให้อยู่ในมือของคนขับได้อย่างดี พิเศษสำหรับลูกค้า Mercedes-AMG เท่านั้น
แต่เราในฐานะผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ โชคดีที่ได้รับโอกาสจากทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เชิญเข้ามาร่วมอบรมการขับขี่ AMG Driving Experiences ด้วยเช่นกัน (ขอบคุณคร้าบ) หลังจากที่เคยได้เข้าอบรมในหลักสูตร Mercedes-Benz Driving Events 2018 หลักสูตรขับขี่ปลอดภัยจากมืออาชีพ มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า เพื่อน ๆ ผู้สื่อข่าวที่มาร่วมในหลักสูตรเดียวกันนี้ ก็ล้วนแต่เคยผ่านหลักสูตรนี้มาแล้วทั้งนั้น เนื่องจากคนที่จะเข้าอบรมหลักสูตรระดับ Advance นี้ได้ ก็ควรจะต้องผ่านระดับพื้นฐานกันมาก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการยากที่จะเข้าใจการขับขี่แบบความแรงสูงได้
ครั้งนี้ทาง Mercedes-Benz เลือกที่จะใช้สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ. บุรีรัมย์ เป็นสนามในการอบรมครั้งนี้ (เพิ่งจบ MotoGP ได้ไม่นานเลย) เนื่องจากสนามนั้นได้มาตรฐานระดับโลก และตัว Track นั้นกว้างมากพอที่จะรองรับการขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูงได้ และถึงแม้จะพลาด ก็ยังพอมีเหลือพื้นที่ให้พอแก้ไขกันได้ (แก้ไม่ทันก็ยังมีกรวดข้างทางรอรับอีกที) โดยการอบรมครั้งนี้ ได้มีการเชิญทีมผู้ฝึกสอน หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า Instructor มาดูแลพวกเรา สั่งตรงมาจากออสเตรเลียโดยตรง ซึ่งทุกคนก็มีดีกรีกันทั้งนั้น ผสมเพิ่มมาด้วยทีมงานคุณภาพคนไทย นำมาโดยพี่อั๋น สิรคุปต์ เมทะนีนั่นเอง
AMG Driving Experiences 2018 ที่พวกเรามาร่วมอบรมในครั้งนี้ ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ขนเอา AMG มาทั้งตระกูลที่มีอยู่ในเมืองไทย ทั้ง A45, CLA 45, C43 เป็นต้น ทรงซีดาน แฮทซ์แบค, SUV แม้กระทั่ง Cabriolet เอามาให้ผู้เข้าอบรมจัดกระทืบคันเร่งกันได้อย่างเต็มที่ โดยมีการแบ่งสถานีการฝึกเอาไว้ทั้งหมด 4 สถานี แบ่งผู้ทดสอบไปเป็น 4 กลุ่ม โดยผมได้อยู่กลุ่มสี…. (สีอะไรวะ) เอาเป็นว่า เรามาดูไปตามสถานีเรียงตามที่ผมได้ไปจริงเลยครับ
เริ่มต้นสถานีแรกก็มันเลย กับ Motorkhana ที่เป็นสถานีจำลองมาจากกีฬามอเตอร์สปอร์ตชนิดหนึ่ง โดยสถานีนี้จะให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบอย่างเราได้ฝึกบังคับรถยนต์ในสนามจำลองเล็ก ๆ ที่มีอุปสรรคมากมายภายในเวลาที่รวดเร็วที่สุด และปลอดภัยที่สุด โดยไม่ชนสิ่งกีดขวางใด ๆ เลย เริ่มต้นด้วยการขับเข้าประตู (จริง ๆ มันก็คือกรวยที่วางไว้เป็นเหมือนประตูโกลหนูแหล่ะ เข้าใจตรงกันนะ) ทั้งหมด 5 ประตู สลับซ้าย-ขวา จากนั้นก็เข้าช่องที่เป็นทางโค้งแคบ ๆ วิ่งไปทางขวา จากนั้นก็กลับมาเข้าเส้นทาง Slalom ก่อนจบด้วยการเข้าไปเบรกให้สนิทภายในช่องที่กำหนดไว้ ห้ามตัวรถเกินออกจากช่องนั้น แต่ละคนที่ขับ ก็จะได้จับเวลาเพื่อแข่งขันเล็กน้อย (เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น) ให้โอกาสคนละ 2 รอบ เอาเวลามารวมกัน ใครชนะได้รับรางวัลจากเบนซ์ไป เทคนิคของการขับสถานีนี้ที่ทาง Instructor บอกไว้ก็คือ ให้มองที่ทางออก หรือทางที่เราจะไป อย่ามองไปที่กรวย เพราะถ้าเรามองไปที่กรวย เราจะขับชนกรวย แต่ถ้าเรามองที่ทางออกหรือทางที่จะไป สัญชาตญาณในการขับรถของเรามันจะหมุนพวงมาลัยหันไปหาทางออกแล้วหลบพ้นกรวยไปได้เอง ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอยู่อย่างนอกจากทักษะในการขับขี่ของแต่ละคนแล้ว สมรรถนะของตัวรถก็สำคัญ เพราะจากที่ผมได้ซัดเจ้าตัว C 43 เข้าแต่ละโค้งไป ตัวรถมันนิ่ง หนึบ ไม่โคลง ถึงแม้เราจะเหวี่ยงเข้าแต่ละประตูด้วยความเร็วระดับเกินกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ตาม ซัดจบไป 2 รอบ เอาเป็นว่าได้เวลาเท่าไหร่ ขอเก็บเป็นความลับละกันครับ
สถานีต่อมาที่เราซัดกันต่อก็คือ Cornering Theory เป็นสถานีฝึกการเข้าโค้งแบบที่เรียกว่า Racing Line (แบบเดียวกับที่นักแข่งใช้งเลย) ที่จะใช้พื้นที่โค้งภายในสนามทั้งหมด 4 โค้งด้วยกัน ซึ่งแต่ละโค้งจะมีความกว้างแตกต่างกันไป ทำให้ผู้ขับขี่ได้ทดสอบการควบคุมความเร็วของรถยนต์ได้อย่างเต็มที่ โดยในแต่จะโค้งจะมีกรวยที่วางไว้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ให้กับผู้เข้าร่วมการทดสอบได้ ทราบถึงสิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าโค้งนั้น ๆ เช่น จุดที่ต้องเบรก ก็จะมีกรวยตั้งเอาไว้ 3 อัน และจุดที่เราจะต้องชิดโค้ง ก็จะมีกรวยตั้งเอาไว้อันเดียว เป็นอย่างนี้ไปทั้ง 4 โค้ง หลักการจาก Instructor ก็คือ เข้าช้า ออกเร็ว หมายถึงว่า ก่อนที่เราจะเข้าโค้ง ต้องชะลอความเร็วให้เหมาะสมกํบโค้งนั้น และให้กดคันเร่งหนีโค้ง เมื่อรถมาถึงจุดที่เลยครึ่งโค้งมาแล้ว (อาจจะก่อนได้ ตามทักษะของแต่ละคน) และเราควรลากเส้นในสมองของเรา ให้ตัวรถวิ่งไปเป็นทางตรงให้ได้มากที่สุด เพื่อให้รถของเรานั้นใช้ความเร็วได้มากที่สุด แต่ก็สามารถผ่านโค้งได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง ส่วนความเร็วก็ลองประเมินกันเอาเอง ซึ่งความเร็วที่ลองเข้ากันก็น่าจะอยู่ราว 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงกันได้ สถานีนี้ซัดเอาไป 2 รอบ อิ่มกันไป
สถานีต่อมาก็คือ Brake and Swerve เป็นการทดสอบระบบเบรก ระบบความปลอดภัยภายในรถยนต์ อันได้แก่ระบบ ESP® และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) และเป็นการทดสอบความเร็วใน การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของตัวผู้ขับขี่เอง โดยผู้เข้าร่วมทดสอบจะได้ขับรถออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. และเมื่อเห็นสัญญาณไฟกระพริบจากทางซ้ายหรือขวา ผู้เข้าร่วมทดสอบจะต้องเหยียบเบรก และหักเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางตามทิศทางของสัญญาณไฟนั้น ซึ่งถ้าใครเคยได้ติดตาม Mercedes-Benz Driving Events 2018 มาก่อน ก็จะรู้ว่า สถานีนี้ก็มีในครั้งก่อนด้วยเช่นกัน แต่เหมือนว่าครั้งนี้ตัวเซ็นเซอร์มันถูกขยับเข้าไปใกล้ทางแยกมากกว่าเดิม ทำให้การตัดสินใจมันต้องวเร็วมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ ครั้งนี้ผมลองเข้าไปที่ 90 กม./ชม. ก็ยังสามารถเข้าช่องไปได้อย่างดี ซึ่งการฝึกครั้งนี้ จะเป็นการฝึกปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งกีดขวางข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เคล็ดลับก็คือ ให้มองหาทางออก แล้วออกไปทางนั้น จากนั้นค่อยกดเบรก เพราะถ้าเรากดเบรกก่อน โอกาสที่จะหลบพ้นอาจจะน้อยลง อย่างเช่นว่า ถ้าเราขับรถไปตามถนน แล้วเจอคันหน้าเบรกกะทันหัน ถ้าเราแตะเบรกก่อน โอกาสในการถูกชนจากข้างหลังก็มีมากขึ้น ดังนั้นให้เราหักหลบหนีจนพ้นก่อนแล้วค่อยแตะเบรกได้ ในกรณีที่ด้านหลังไม่มีรถแล้วครับ (ปฏิกิริยาในการขับรถต้องไวมาก)
สุดท้ายกับสถานี ESP® Exercise เป็นการทดสอบโดยอิงจากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยการเปรียบเทียบสิ่งกีดขวางเป็นคนเดินถนน ผู้ขับขี่จะได้ทดสอบทั้งการควบคุมการขับขี่ในสถานการณ์คับขันและทักษะการใช้สายตาเพื่อกะระยะทาง โดยผู้เข้าร่วมทดสอบจะได้ขับรถออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. แล้วหักเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ไปทางซ้ายโดยไม่เหยียบเบรก แล้วหักกลับทันทีอีกครั้งทางขวามือ และต้องควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทางที่ต้องการจะไป โดยมองไปในทิศทางที่ต้องการบังคับรถ ซึ่งการควบคุมรถในลักษณะนี้ จะทำให้ระบบ ESP® ทำงาน และ ลดความเร็วของรถยนต์ลง 30 กม./ชม. เองโดยที่ไม่ต้องแต่แป้นเบรกเลย ซึ่งด้วยความเร็วระดับนี้ รถเอาอยู่แน่นอนครับ แต่รอบนี้ ผมซนกันเล็กน้อย เขาบอก 80 เราก็ซัดเข้าไป 100 เลย หักแรกมันก็พ้นแหล่ะครับ แต่ตอนหักกลับนี่สิ รถออกอาการแถออกด้านข้างเล็กน้อย ซึ่ง Instructor บอกว่า ถ้าความเร็วระดับที่เราขับ ประกอบกับสิ่งกีดขวางในระยะนี้ รถเอาไม่อยู่แน่นอน สิ่งที่เราต้องทำก็คือการแตะเบรกเพื่อลดความเร็วช่วยไปได้ ไม่อย่างนั้นก็เกิดอาการนี้แน่นอน
จบไปทั้ง 4 สถานีแล้ว ชุดสุดท้ายก็คือการตะลุยขับสารพัดรุ่น วิ่งเต็มสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ไปรุ่นละ 3 รอบ โดยให้สลับคันกันไปเรื่อย ๆ ใครอยากขับคันไหนก็ขับไป แลกกันเอาเอง แต่มีเงื่อนไขแค่ว่า จะต้องออกไปเป็นขบวน และห้ามแซงกันเท่านั้นเอง โดยจะมี Instructor ขับนำเราให้ (ย้ำ ห้ามแซง) มันล่ะครับคราวนี้ ได้กดกันแบบหลากรุ่น หลายทรง ทั้ง Mercedes-AMG A45 รถยนต์เครื่อง 2.0 ลิตรที่มีแรงม้ามากที่สุดในโลก, GLA 45 รถ SUV สุดแรง, Mercedes-AMG SLC 43 Cabriolet เปิดหลังคาวิ่งตากแดดเล่นเอาอารมณ์มัน ๆ (แต่ร้อนชิบ) แต่ที่จะเล่าก็คือ เนื่องจากทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ อยากให้เราได้ลองในรุ่นปกติด้วย อย่างที่ผมได้ขับก็คือ Mercedes-Benz E350 e ที่เป็นรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid ที่ปกติก็แรงระดับเกิน 200 แรงม้าอยู่แล้ว แต่เมื่อเอามาเข้าฝูง AMG ปั๊บ ก็กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยไปเลย เพราะเวลาเร่งออกตัวไป เราที่อยู่คันสุดท้ายตามไม่ทันทุกที แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ ถ้ารถหรูรุ่นปกติมาวิ่งทัน AMG ที่ออกแบบมาสำหรับขาซิ่งโดยเฉพาะได้ ก็คงเป็นเรื่องแปลกสิ
จบลงไปเรียบร้อยกับการฝึกขับรถตัวแรงในโปรแกรม AMG Driving Experiences นอกจากได้รับทักษะใหม่ ๆ จากผู้ฝึกสอน ทำให้เราได้รู้จักเทคนิคในการควบคุมรถแบบนรี้แล้ว ยังสนุกไปกับการได้ควบ Mercedes-AMG ในอีกสารพัดรุ่นแบบเต็มอิ่ม ทำเอาเมื่อตกเย็นช่วงกำลังจะจบงาน เพลียกันไปตาม ๆ กัน (ร้อน) เอาเป็นว่า ถ้าใครเป็นเจ้าของตัวแรง Mercedes-AMG แล้ว อยากให้เข้าโปรแกรมนี้ทุกคนครับ เพราะทักษะในการขับรถเร็วและแรงแบบนี้ได้ มันต้องอาศัยการฝึกฝนที่ถูกต้องจริง ๆ จะได้ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นจากการขับที่ผิดพลาดของเราได้ครับ
Earthpark02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com