ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2024 ตอนที่ 2

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 21 ก.พ. 67 12:10
  • 6,809 อ่าน

มาต่อกันตอนที่ 2 กับข้อมูล 10 ทีมแข่ง และ 20 นักแข่งในการแข่งขันรถสูตร 1 หรือ F1 ถึงแม้ว่าในกลุ่มแรกแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่กับกลุ่ม 5 ทีมหลัง มีเปลี่ยนแปลงทั้งชื่อทีมและหัวหน้าทีม รายละเอียดของทีมที่เหลือจะเป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามกันได้เลย

อ่านตอนที่ 1 ได้ที่นี่

F1

BWT Alpine F1 Team

Alpine F1 Team หรือเดิมคือ Renault ค่ายรถยนต์จากแดนน้ำหอมนั่นเอง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Formula 1 ตั้งแต่ปี 1977 ในนาม Renault โดยในปีแรกนั้น ได้ทำการส่งเครื่องยนต์ระบบ Turbo ลงสนามแข่งขันเป็นคันแรก และเมื่อถึงปี 1983 ก็เริ่มผลิตเครื่องยนต์รถแข่งส่งให้ทีมอื่นได้ใช้งานด้วย ก่อนที่จะเลิกทีมไปตอนปี 1986 ก่อนที่จะกลับมาลงทำการแข่งขันอีกครั้งในปี 2002 โดยซื้อทีมต่อมาจาก Benetton Formula Limited เริ่มต้นด้วยการใช้นักขับ Jarno Trulli และ Jenson Button ลงแข่งในฤดูกาลนั้น ทำคะแนนปีแรกไปได้ 23 คะแนนเท่านั้น จนถึงปี 2003 ทางทีมตัดสินใจปล่อยตัว Jenson Button แล้วนำนักแข่งสเปนอย่าง Fernando Alonso เข้ามาร่วมทีมแทน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อ Alonso ได้คว้าแชมป์แรกในยุคใหม่ของ Renault ได้ในรายการ 2003 Hungarian Grand Prix และปิดฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 4 ก่อนที่จะเริ่มกวาดแชมป์ในนามทีมผู้สร้างไปได้อีก 2 ครั้ง (2005, 2006) และในนามนักแข่งอีก 6 ครั้งเช่นกัน (2005, 2006) แน่นอนว่าทั้ง 2 ปีคือฝีมือของ Fernando Alonso นั่นเอง ส่วนในปี 2010-2013 นั้น Renault ก็มีส่วนคว้าแชมป์ไปด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่ทีม Red Bull Racing ใช้งานนั่นเอง ส่วนผลงานปี 2020 ทีม Renault ปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ด้วยคะแนนสะสม 181 คะแนน ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อทีมใหม่ให้เป็น Alpine F1 Team ในปี 2021 แล้วโชว์ฟอร์มดีจนสามารถจบเป็นอันดับที่ 5 ได้ และปี 2022 คือที่สุดของทีมแล้ว เมื่อสามารถไต่อันดับมาจนจบเป็นลำดับที่ 4 จนได้ แต่จนถึงปี 2023 ฟอร์มของนักแข่งกลับไม่ค่อยสม่ำเสมอสักเท่าไหร่ เลยทำให้จบอันดับเพียงที่ 6 เท่านั้น

F1

Alpine F1 Team มีฐานหลักอยู่ 2 แห่งคือ ส่วนที่ดูแลเรื่องโครงสร้างของตัวรถอยู่ในอังกฤษ ส่วนเครื่องยนต์นั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าทีม ที่ Bruno Famin วิศวกรชาวฝรั่งเศสในวัย 62 ปี เข้ามาดูแลทีมแทน Otmar Szafnauer ในปีนี้

 

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Alpine F1 Team

Pierre Gasly

นักขับวัยรุ่นดวงใหม่วัย 28 ปี Pierre Gasly เป็นชาวฝรั่งเศส ที่เติบโตมาจาก Red Bull Junior Team เช่นกัน เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการรถสูตร 1 ได้ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Red Bull Racing ก่อนที่ในปี 2017 ช่วงปลายฤดูกาล เขาได้โปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักให้กับทีมเล็ก Toro Rosso แทนที่ Daniil Kvyat ลงแข่งรวม 5 สนาม แต่ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย ปีต่อมา ฤดูกาล 2018 ได้การันตีอยู่ในทีมเดิมต่อไป โดยเปลี่ยนคู่หูใหม่เป็น Brendon Hartley โดยเปิดตัวได้อย่างดี สามารถคว้าอันดับ 4 ได้ใน Bahrain Grand Prix ก่อนที่จะจบฤดูกาลไปด้วย 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 ปีต่อมาจึงได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ด้วยการถูกดึงขึ้นไปขับให้กับทีมใหญ่ Red Bull Racing เคียงคู่กับ Max Verstappen แต่ด้วยฟอร์มที่ไม่ดี และรับแรงกดดันไม่ไหว ไม่สามารถขึ้นไปกดดันกลุ่มทีมนำได้เลย จนถึงช่วงเบรกพักครึ่งฤดูกาล Christian Horner ผู้อำนวยการทีมจึงตัดสินในลดชั้น Pierre Gasly ลงไปอยู่ทีม Toro Rosso เช่นเดิม แล้วให้ Alex Albon ขึ้นมาขับทีมใหญ่แทน ซึ่งหลังจากนั้นก็ถือว่าเขาสามารถงัดฟอร์มที่ดีกลับมาได้อีกครั้ง โดยสามารถทำผลงานได้ดีที่สุดในบราซิล ด้วยการขึ้นโพเดียมด้วยการเป็นอันดับที่ 2 เป็นครั้งแรกในชีวิตในการแข่งขัน F1 เลย จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 95 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 และได้ที่นั่งในทีมเดิมต่อไป และปี 2020 คือปีที่ดีที่สุดของเขาเลย เพราะสามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างเต็มที่ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คว้าแชมป์ไปได้ 1 รายการที่ Monza และเก็บแต้มได้สม่ำเสมอ สุดท้ายจบฤดูกาลไปที่อันดับที่ 10 สุดท้ายแล้วความหวังในการกลับไปนั่งในทีม Red Bull Racnig ก็ยังไม่เป็นจริง เมื่อทีมใหญ่ยังมองว่าเขาเหมาะกับทีมเล็กมากกว่า ส่วนผลงานในฤดูกาล 2021 สามารถเก็บไปได้ 110 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 9 ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 3 ที่รายการ Azerbaijan Grand Prix ส่วนปี 2022 เขาจบเพียงอันดับที่ 14 เท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะได้รับการทาบทางจากทีม Alpine เพื่อเข้ามาขับแทน Fernando Alonso ที่ย้ายกลับไปอยู่ที่ McLaren ซึ่งถือเป็นโอกาสครั้งใหม่ เพราะเจ้าตัวคงไม่ได้รับโอกาสกลับขึ้นไปอยู่ทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing ได้อย่างแน่นอน แต่พอมองภาพรวมแล้ว ฟอร์มของเจ้าตัวในปี 2023 ก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต้องลุ้นกันทุกสนาม บางสนามก็ฟอร์มดี จบบนโพเดียมได้ 1 ครั้ง บางสนามก็ร่วงไปกลุ่มท้าย แต่สุดท้ายก็ยังประคองจนจบอันดับที่ 11 ไปจนได้

F1

ภาพจาก Facebook Alpine F1 Team

Esteban Ocon

นักแข่งหนุ่มอนาคตไกล แต่ไร้ซึ่งเส้นทางที่สวยงามอย่าง Esteban Ocon หนุ่มอายุ 27 ปีชาวฝรั่งเศส ผลงานการสร้างโดยทีมเยาวชนของ Mercedes F1 team เริ่มต้นอยู่ในแวดวงรถแข่ง F1 เมื่อปี 2014 ในนามนักแข่งทดสอบของ Lotus F1 ก่อนที่ปี 2015 จะถูกทีม Force India เรียกตัวไปช่วยขับทดสอบแทน Pascal Wehrlein ที่เกิดอาการป่วย และในปีถัดมา ทีม Renault Sport F1 ได้ประกาศให้ Ocon ได้เป็นนักแข่งสำรองให้กับทีมในฤดูกาล 2016 จนถึงเดือนพฤษภาคม เขาได้ถูกทีม Manor Racing ไปขับแทน Rio Haryanto เนื่องจากการตกลงข้อตกลงกับผู้สนับสนุนไม่ได้ เริ่มสนามแรกในการแข่งขันรายการ Belgian Grand Prix จบอันดับที่ 16 ในปีนั้นทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับที่ 12 เท่านั้น ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย แต่ในปี 2017 Ocon ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแข่งหลักในทีม Force India คู่กับ Sergio Pérez สร้างผลงานได้ดีขึ้น เก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ดีที่สุดคืออันดับที่ 5 เก็บไปได้ 87 คะแนน ถือว่าดีมากสำหรับการขับให้ทีมกลางตาราง แต่ปีต่อมาผลงานตกลงไป ด้วยการจบอันดับที่ 12 ด้วย 49 คะแนน ผลงานดีที่สุดคือการจบที่ 6 ในสนาม และมันคือปีล่มสลายของทีม เพราะทีมถูกสั่งให้ขายจากปัญหาเรื่องการเงินของเจ้าของทีม Vijay Mallya เพราะเจอกับข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเงินในอินเดีย สุดท้ายก็เป็น Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดา พ่อของ Lance Stroll นักแข่งของทีม Williams เข้ามาซื้อทีมๆไปแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Racing Point แน่นอนว่าเมื่อพ่อเป็นเจ้าของทีม ก็ต้องดึงตัวลูกชายมาช่วยขับให้ทีมของตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้น 1 ใน 2 คนที่ขับอยู่ก็ต้องหลุดออกจากทีมไป สุดท้าย Ocon คือชื่อนั้น ท่ามกลางเสียงนินทาว่าที่ Pérez ยังได้อยู่ต่อ เพราะมีสปอนเซอร์ทุนหนาหนุนหลังอยู่นั่นเอง ดังนั้นในปี 2019 เขาจึงไม่ได้ทำการลงแข่งขันรถสูตร 1 แต่ทำหน้าที่เป็นนักขับสำรองให้กับทีม Mercedes ไปก่อนชั่วคราว (Ocon มี Toto Wolff เป็นผู้จัดการส่วนตัว) ก่อนที่สุดท้าย Renault Sport F1 จะเซ็นสัญญามาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในปี 2020 เป็นต้นไป และสามารถทำฟอร์มดีด้วยการจบอันดับที่ 2 ไปได้ 1 สนาม และทำคะแนนรวมไปได้ 62 คะแนน เป็นอันดับที่ 12 แต่ปี 2021 ต้องถือเป็นปีที่น่าจดจำสำหรับเขา ถึงแม้ว่าจะทำคะแนนสะสมรวมของนักแข่งได้เป็นอันดับที่ 11 เท่านั้น แต่ในรายการ Qatar Grand Prix เขาสามารถคว้าแชมป์สนามไปครองได้ ทั้งที่สนามอื่นเขาไม่เคยได้ตำแหน่งบนโพเดียมด้วยซ้ำ ส่วนผลงานในปี 2022 เขาจบในฐานะนักแข่งในอันดับที่ 8 ส่วนปี 2023 ฟอร์มก็ยังร่วงหล่นต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะขึ้นโพเดียมได้ 1 สนาม แต่สุดท้ายก็ทำคะแนนรวมจบได้เพียงอันดับที่ 12 เท่านั้น

F1

Williams Racing

ทีมนี้เริ่มต้นก่อตั้งทีมแล้วเข้าร่วมแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1977 โดย Sir Frank Williams เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford-Cosworth แต่ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลยในช่วงปีแรก แต่มาเริ่มสะสมความยิ่งใหญ่ในปี 1980 เมื่อได้นักขับอย่าง Alan Jones กับ Carlos Reutemann มาช่วยเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ จนคว้าแชมป์ไปได้ทั้งฐานะทีมผู้สร้างและนักขับ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้แล้ว และมีการเก็บแชมป์โลกในรางวัลทีมผู้สร้างไปรวม 9 ครั้ง (1980, 1981, 1986, 1987, 1992, 1993, 1994, 1996, 1997) และในรางวัลนักขับอีก 7 ครั้ง (1980, 1982, 1987, 1992, 1993, 1996, 1997) ทั้ง Alan Jones, Keke Rosberg, Nelson Piquet, Nigel Mansell, Alain Prost, Damon Hill และคนสุดท้ายที่สร้างความสำเร็จได้คือ Jacques Villeneuve ซึ่งขับรถสูตร 1 เป็นปีที่ 2 เท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้เลย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลงานของทีม Williams ก็ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้อีกเลย โดยมีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์หลายหลายยี่ห้อ โดยปี 1998 ใช้ของ Mecachrome, ปี 1999 ใช้ของ Supertec, ปี 2000-2005 ใช้ของ BMW, ปี 2006 กลับมาใช้ของ Cosworth อีกครั้ง ปีต่อมาเปลี่ยนเป็นของ Toyota ใช้ต่อเนื่องจนถึงปี 2010-2011 กลับมาใช้ของ Cosworth อีก ปี 2012–2013 หันไปใช้ของ Renault ก่อนที่จะถึงปี 2014 จะหันมาใช้ของ Mercedes-Benz ซึ่งยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ฤดูกาลล่าสุดคือความตกต่ำสุดขีดของทีม Williams Racing เพราะจากการแข่งขันไป 21 สนาม ทีมสามารถเก็บได้เพียงคะแนนเดียว จากการแข่งขันในเยอรมนี ที่ Robert Kubica สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับที่ 10 ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก วิ่งเข้าเส้นชัยได้เพียงแค่ 13 คันจาก 20 คันเท่านั้นเอง แถมนักแข่งจากทีม Alfa Romeo ยังถูกปรับเพิ่มอีก 30 วินาที จากการทำผิดกฎเรื่องระบบช่วยเหลือตอนออกสตาร์ทอีกด้วย และผลงานของฤดูกาล 2020 ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ ไม่สามารถเก็บได้แม้แต่คะแนนเดียว สุดท้ายเมื่อช่วงกลางฤดูกาล จึงได้มีการเปลี่ยนมือจากกลุ่มตระกูล Williams ไปสู่มือของกลุ่มทุนในสหรัฐฯ Dorilton Capital ที่เข้ามาดูแลทีมต่อไปด้วยจำนวนเงิน 152 ล้านยูโร หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท ฤดูกาล 2021 ถือเป็นปีที่ดีขึ้นเลย เพราะสามารถเก็บคะแนนได้รวมทั้งปี 23 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 8 แต่ก็มีข่าวร้ายเมื่อผู้ก่อตั้งทีมอย่าง Sir Frank Williams ต้องจากไปอย่างสงบด้วยวัย 79 ปีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2021 แต่เมื่อมาถึงปี 2022 ฟอร์มของทีมก็ร่วงหล่นตามกำลังเครื่องยนต์ของ Mercedes เลย เมื่อจบได้เป็นลำดับสุดท้าย เก็บไปได้เพียง 8 คะแนนเท่านั้น แต่ปี 2023 กลับกลายเป็นปีที่ทีม Williams พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการที่รถถูกปรับจูนจนมีจุดเด่นในทางตรง และฟอร์มการขับอย่างยอดเยี่ยมของ Alexander Albon ทำให้เก็บคะแนนได้มากถึง 28 คะแนน จนจบได้อันดับที่ 7 เลยทีเดียว

F1

แน่นอนว่า ทีม Williams Racing ถูกดูแลโดยคนในตระกูล Williams มายาวนาน 43 ปี ทั้ง Sir Frank Williams ผู้ก่อตั้งทีมและ Claire Williams ที่มาดูแลในภายหลัง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของแล้ว ทีมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลทีมใหม่ ซึ่งปีแรกได้ Simon Roberts ชาวอังกฤษวัย 62 ปี มาเป็นผู้อำนวยการทีม แต่ในช่วงกลางฤดูกาลก็ถูกเปลี่ยนเป็น Jost Capito ชาวเยอรมันวัย 65 ปี ที่คร่ำหวอดในวงการ Motorsport มากว่า 30 ปี ทั้ง BMW Motorsport, Porsche, Sauber, Ford Performance, Volkswagen Motorsport, McLaren ก่อนที่จะมาเป็น CEO และผู้อำนวยการทีมในปีก่อน แต่สุดท้ายแล้วทีมก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยปีนี้จะได้ James Vowles วิศวกรชาวอังกฤษวัย 44 ปี ที่มีประสบการณ์ในวงการ F1 มานานกว่า 20 ปีมาช่วยดูแล

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Williams Racing

Alexander Albon

นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ “น้องเล็ก” Alexander Albon นักแข่ง F1 ที่ลงทำการแข่งขันภายใต้ธงชาติไทย อายุ 27 ปี เริ่มต้นเหมือนกับนักแข่งทั่วไปด้วยการขับรถแข่งโกคาร์ทมาก่อนตั้งแต่เด็ก แล้วเริ่มเข้ามาสู่วงการ F2 ช่วงปี 2017 กับการขับให้ทีม ART Grand Prix ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 10 ของคะแนนนักขับ ทำคะแนนไปได้ 86 คะแนน โดยสนามสุดท้ายเกือบที่จะคว้าแชมป์ไปได้ที่สนาม Abu Dhabi แต่กลับโดน Charles Leclerc เฉือนเข้าเส้นชัยไปได้อย่างหวุดหวิด ปีต่อมาก็ได้ย้ายไปขับให้ทีม DAMS แล้วจบฤดูกาลไปด้วยอันดับที่ 3 แต่ก็เหมือนเป็นทางตัน Albon ได้ตัดสินใจยอมเซ็นสัญญาย้ายไปแข่งขันรายการใหม่อย่าง Formula E ซึ่งเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าทางเรียบ โดยจะร่วมแข่งกับทีม Nissan e.dams ในฤดูกาล แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่ออยู่ดี ๆ ทีม Toro Rosso ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา ดึงเอา Albon เข้าไปร่วมทีมในปีนั้นทันที โดยมาแทนที่ของ Pierre Gasly ที่ถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหญ่ Red Bull Racing แทน ถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ได้ร่วมลงทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1954 และใช้เวลาเพียงสนามที่ 2 ในรายการ Bahrain Grand Prix น้องเล็กก็สามารถคว้าแต้มแรกมาให้กับตัวเองได้ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 9 และเริ่มมาส่องประกายให้โลกเห็นในรายการที่ประเทศจีน เขาต้องเริ่มการแข่งจาก Pit Lane จากอุบัติเหตุหนักในการทดสอบรอบ 3 จนไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือก แต่เขาก็สามารถพาตัวเองเข้าเส้นชัยจบเป็นอันดับที่ 10 ได้ จนได้รางวัล Driver Of The Day จากการโหวตของผู้ชมไปได้ และสามารถทำอันดับดีที่สุดให้ Toro Rosso ได้ด้วยตำแหน่งอันดับที่ 6 ในการแข่งขัน German Grand Prix

F1

ภาพจาก Facebook Williams Racing

และแล้วก็มาถึงจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อผู้อำนวยการทีม Red Bull Racing อย่าง Christian Horner นั้นมองว่า Pierre Gasly ยังไม่ดีพอสำหรับทีมใหญ่ ทาง Dr. Helmut Marko เลยแนะนำให้ลองดึง Alex Albon มาขับให้แทน จนในที่สุดหลังจากพักครึ่งฤดูกาล ทีมเลยตัดสินใจประกาศการสลับที่กันของทั้ง 2 คนนี้ โดย Albon จะเริ่มเป็นนักขับของทีมใหญ่ Red Bull Racing ตั้งแต่สนาม Belgian Grand Prix เป็นต้นไปจนจบฤดูกาล แล้วมาประเมินกันอีกครั้งว่าปี 2020 ใครจะได้มาขับคู่กับ Max Verstappen ซึ่งโอกาสอันดีนี้ Albon ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ เพราะแค่สนามแรกที่เขาต้องเริ่มแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 17 จากการที่ถูกปรับเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ แต่เขาก็สามารถขับไล่แซงไปจนจบในอันดับที่ 5 ได้ ภาพจำสนามนี้คือการวิ่งแซง Sergio Pérez ไปได้ในรอบสุดท้าย แบบเบียดลงข้างทางฝุ่นฟุ้งกระจาย และอีกครั้งที่สนามในรัสเซีย ที่ Albon เกิดอุบัติเหตุในรอบคัดเลือก จนต้องเริ่มต้นใน Pit Lane อีกครั้ง แต่ก็สามารถไต่อันดับแซงมาจนจบอันดับที่ 5 ได้ และสนามรองสุดท้ายที่บราซิล ในขณะที่เหลือไม่กี่รอบ Albon ครองอันดับที่ 2 อยู่ และน่าจะเป็นครั้งแรกที่น้องเล็กจะจบการแข่งขันด้วยตำแหน่งบนโพเดียม แต่แล้วแชมป์โลก Lewis Hamilton ก็มาชนจนหลุดออกนอกแทรค จนต้องมาจบอันดับที่ 14 ไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จบฤดูกาลไปได้ด้วยอันดับที่ 8 มี 92 คะแนน พร้อมตำแหน่งนักขับในที่เดิมต่อไปในปี 2020

F1

ภาพจาก Facebook Williams Racing

แต่ในปี 2020 กลับเป็นปีที่แย่สุด ๆ ของน้องเล็ก เมื่อเปิดสนามแรกที่กำลังจะฉายฟอร์มเยี่ยม และกำลังไล่แซงเพื่อคว้าตำแหน่งบนโพเดียมให้ได้เป็นครั้งแรก แต่กลับโดนเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่าง Hamilton ชนในมุมแบบเดิมจนหลุดแทรคไปในช่วงท้ายการแข่งขัน จนต้องออกจากการแข่งขันไป และหลังจากนั้น Albon เองก็ไม่สามารถประคองฟอร์มของตัวเองเอาไว้ได้สม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าจะสามารถขึ้นโพเดียมได้อีก 2 ครั้งที่อิตาลีและบาห์เรน แต่ทีมก็มองว่าเขายังไม่ดีพอที่จะช่วยส่งให้ Max Verstappen ขึ้นไปครองแชมป์โลกได้ ในปี 2021 “น้องเล็ก” เลยถูกเปลี่ยนหน้าที่ให้กลายไปเป็นนักขับสำรองแทน แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา Albon เองก็ถือเป็นทีมงานสำคัญที่ช่วยให้การพัฒนารถของทีม Red Bull Racing ดีขึ้นได้อย่างมาก ด้วยการเป็นนักขับหลักในการขับ Simulator ให้กับทีมเพื่อพัฒนารถในทุกสนาม นอกจากนี้ยังถูกส่งไปพัฒนาฟอร์มการขับของตัวเองในรายการ DTM ภายใต้สังกัดทีม AlphaTauri AF Corse จับคู่กับ Liam Lawson โดยขับไปทั้งหมด 14 จาก 16 สนาม เก็บคะแนนรวมได้อันดับที่ 6 รวม 130 คะแนน เนื่องจากใน 2 สนามสุดท้ายนั้น ได้รับสัญญาจากทีม Williams Racing ให้ไปเป็นนักขับหลักให้กับทีมอย่างเป็นทางการของฤดูกาล 2022 แล้ว แต่ก็ยังเริ่มต้นได้ไม่ดี เมื่อเขาเก็บคะแนนได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Nicholas Latifi ที่เก็บได้เพียง 2 คะแนน และแทบไม่เคยทำอันดับที่ดีกว่า “น้องเล็ก” ทั้งในรอบคัดเลือกและการแข่งขันจริงได้เลย ส่วนในปี 2023 Albon แปลงร่างเป็น “เดอะแบก” ตัวจริง เพราะเก็บคะแนนได้เพิ่ม ทั้งที่ศักยภาพรถสู้คู่แข่งแทบไม่ได้เลย แต่เขาก็สามารถเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง ได้คะแนน 27 คะแนนจาก 28 คะแนนที่ทีมทำได้ จบปีด้วยการเป็นนักแข่งอันดับที่ 13 เลยทีเดียว

F1

ภาพจาก Facebook Williams Racing

Logan Sargeant

นักแข่งอเมริกันวัย 23 ปี เริ่มต้นการแข่งขันโกคาร์ทอย่างเป็นทางการในปี 2008 แต่มาสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองจริง ๆ ในปี 2015 กับการคว้าแชมป์โลกรายการ CIK-FIA World KFJ Championshi ได้ เป็นนักแข่งอเมริกันคนแรกที่คว้าแชมป์โลกโกคาร์ทรายการที่ FIA จัดขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1978 จากนั้น Sargeant ได้เข้าสู่วงการ F1 ครั้งแรกในปี 2019 โดยเข้าแข่งขันในระดับ F3 กับทีม Carlin แต่เก็บคะแนนได้เพียง 5 คะแนนเท่านั้น จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 19 แต่ปีต่อมา เขาย้ายไปขับให้กับทีม Prema Racing แล้วก็ระเบิดฟอร์มได้ดี จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ตามหลังแชมป์โลกเพียง 4 คะแนนเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นเคสทั่วไปแล้ว เขาน่าจะได้ขึ้นไปขับในระดับ F2 ได้แล้ว แต่ก็เหมือนโชคร้ายที่ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้ เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงิน เขาเลยต้องมาอยู่ในระดับเดิมกับทีม Charouz Racing System แล้วจบฤดูกาลด้วยการเก็บได้ 102 คะแนน พร้อมตำแหน่งที่ 7 และในปี 2022 เขาก้ได้ขยับขึ้นมาขับในระดับ F2 จนได้ เมื่อได้เข้าร่วมทีม Carlin และกลายเป็นนักขับอเมริกันคนแรก ที่ได้แชมป์สนามในระดับ F2 ที่รายการ British Grand Prix และเป็นแชมป์ได้อีกครั้งในสนามต่อมาที่ออสเตรีย ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ก่อนที่จะได้รับสัญญาเป็นนักขับหลักให้กับทีม Williams แทนที่ Nicholas Latifi ที่ไม่ได้รับการต่อสัญญานั่นเอง แต่ปี 2023 นั้น เขากลับไม่ฉายแสงแห่งความหวังให้เห็นได้เลย โดยมักจะจบที่กลุ่มท้ายตลอด มีเพียงสนามเดียวที่เขาทำได้ดีที่สุดคืออันดับที่ 10 ในสนามบ้านเกิด และเป็นคะแนนเดียวที่เขาสามารถเก็บได้ในฤดูกาลที่ผ่านมา น้อยกว่า Liam Lawson นักขับสำรองที่มาทำหน้าที่แทน Daniel Ricciardo ในทีม AlphaTauri รวม 5 สนามด้วยซ้ำ

F1

Visa Cash App RB Formula One Team

ชื่อทีมนี้ไม่เป็นที่คุ้นหูอย่างแน่นอน เพราะเป็นชื่อทีมใหม่ของ Scuderia AlphaTauri นั่นเอง ทีมนี้คือทีมน้องร่วมสายเลือดกับ Red Bull Racing เลย เพราะนักแข่ง 4 คนจาก 2 ทีมนี้ สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้อยู่ตลอดเวลา สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อิตาลี เริ่มก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 ด้วยการซื้อทีม Minardi ต่อมาจาก Paul Stoddart ทาง Dietrich Mateschitz ผู้เป็นเจ้าของ Red Bull เลยต้องการใช้ทีมนี้เป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชนเพื่อให้พร้อมกับการขึ้นไปสู่ทีมใหญ่ใน Red Bull Racing อีกทีหนึ่ง โดยปีแรกใช้งานนักขับอย่าง Vitantonio Liuzzi และ Scott Speed แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ไม่เป็นใจ เลยไม่สามารถขับให้จบการแข่งขันไปหลายสนาม และทำอันดับได้ไม่ดี เลยจบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บไปได้เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ปี 2007 เลยตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปใช้ของ Ferrari แต่ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เก็บไปได้เพียง 8 คะแนน แต่ปีนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะช่วง 7 สนามสุดท้าย ก็ได้มีการเอา Sebastian Vettel เข้ามาเป็นนักขับแทน Scott Speed และทำผลงานได้ดีที่สุดถึงอันดับที่ 4 ปี 2008 Vettel เลยได้ตำแหน่งนักขับในทีมไปครอง เป็นปีที่เริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะสามารถเก็บแต้มได้ถึง 39 แต้ม แถมยังคว้าแชมป์ได้อีก 1 สนาม ผลงานของ Vettel ที่รายการ Italian Grand Prix อีกด้วย ก่อนที่ภายหลังจะได้ขึ้นไปขับในทีมใหญ่ จากนั้น Toro Rosso ก็กลายเป็นทีมแรกรับของนักแแข่งเยาวชน เพื่อป้อนนักแข่งส่งให้ทีมใหญ่อีกหลากหลายคน ทั้ง Daniel Ricciardo, Daniil Kvyat, Max Verstappen, Pierre Gasly, Alexander Albon หรือแม้กระทั่ง Carlos Sainz Jr. ที่ไม่เคยขึ้นไปขับทีมใหญ่ แต่ย้ายไปขับให้ Renualt และ Mclaren และ Ferrari ก็เคยอยู่ในทีมนี้มาก่อนเช่นกัน ปี 2021 สามารถเก็บคะแนนรวมไปได้ 142 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 แต่ปี 2022 กลับเป็นปีที่ฟอร์มย่ำแย่อย่างมาก โดยจบฤดูกาลเป็นลำดับที่ 9 เก็บคะแนนได้เพียง 35 คะแนนเท่านั้น ต่อมาในปี 2023 ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะคู่หู Yuki Tsunoda กับ Nyck de Vries แทบทำคะแนนกันไม่ได้เลย ทีมเลยต้องตัดสินใจตัดตัว Nyck ออก แล้วจับเอานักขับลูกหม้ออย่าง Daniel Ricciardo เข้ามาแทนที่ แต่ผลงานก็ยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี สุดท้ายจบฤดูกาลด้วย 25 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 8 เท่านั้น ปัจจุบันใช้เครื่องยนต์ของ Red Bull Powertrains เป็นขุมกำลังเช่นเดียวกับทีมใหญ่

F1

นอกจากการเปลี่ยนชื่อทีมแล้ว Visa Cash App RB Formula One Team ยังมีการเปลี่ยนหัวหน้าทีมเป็นคนใหม่อีกด้วย โดยจากเดิมเป็น Franz Tost ให้กลายมาเป็น Laurent Mekies วิศวกรชาวฝรั่งเศสวัย 46 ปี ที่ร่วมทำงานกับทีมนี้ตั้งแต่ปี 2005 ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปทำกับ FIA ในปี 2014 ก่อนที่จะย้ายตัวเองกลับมาทีมแข่งอย่าง Ferrari ในปี 2018 ก่อนที่จะถูกเทียบเชิญให้มาคุมทีม RB ในปี 2024

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Visa Cash App RB

Yuki Tsunoda

หนุ่มน้อยชาวญี่ปุ่นวัย 22 ปี ที่เริ่มไต่เต้าความสำเร็จมาตั้งแต่วัย 16 กับการเข้ามาแข่งขันในรายการ Formula 4 ในญี่ปุ่น จากการเป็นนักเรียนในสังกัด Honda's Suzuka Circuit Racing School แล้วได้มาอยู่ในโครงการ Honda Formula Dream Project จบการแข่งขันสนามแรกด้วยอันดับที่ 2 และจบอันดับ 4 ในสนามที่ 2 ด้วยความมีฝีมือ จึงมีโอกาสได้เข้าร่วมทีม Red Bull junior team จนจบปี 2018 แล้วขยับตำแหน่งขึ้นมาขับ F3 ในปี 2019 กับทีม Jenzer Motorsport ซึ่งก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีด้วยการเก็บคะแนนได้ทุกสนาม ได้แชมป์ 1 สนาม และขึ้นโพเดียมอีก 3 ครั้ง จากนั้นในปี 2020 ก็ได้ขยับขึ้นมาขับรายการ FIA Formula 2 Championship กับทีม Carlin คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม, 4 Pole-Position, 7 โพเดียม จบฤดูกาลในอันดับที่ 3 จนได้รับโอกาสในการเป็นนักขับหลักของทีม Scuderia AlphaTauri ในปี 2021 แทนที่ของ Daniil Kvyat ซึ่งก็ถือว่าเป็นนักแข่ง Rookie ที่สามารถทำผลงานได้ดีมากที่สุดในฤดูกาลแรกกับการเก็บได้ 32 คะแนนจบอันดับ14 ในคะแนนนักขับรวม ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 4 ในการแข่งสนามสุดท้ายที่ Abu Dhabi ส่วนปี 2022 กลับเก็บได้เพียง 12 คะแนนเท่านั้น เป็นอันดับที่ 17 ในคะแนนนักขับ แต่ปี 2023 เขาก็เริ่มขยับฟอร์มขึ้นมาได้ดีขึ้น เก็บได้คะแนนเป็น 17 คะแนน และฟอร์มการขับก็ดุดัน เร็วมากขึ้นด้วย

F1

ภาพจาก Facebook Visa Cash App RB

Daniel Ricciardo

นักแข่งหนุ่มอารมณ์ดี Daniel Ricciardo ชาวออสเตรเลีย อายุ 34 ปี เริ่มงานในการแข่งขัน F1 เมื่อปี 2009 ในฐานะนักขับรถทดสอบให้กับทีม Red Bull Racing จนถึงปี 2012 Ricciardo ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักขับให้กับทีม Scuderia Toro Rosso เสียที โดยโชว์ฟอร์มได้ดีในบ้านเกิดของเขารายการ Australian Grand Prix จนทำให้จบอันดับที่ 9 คว้าแต้มแรกให้กับตัวเองได้ในการแข่งขัน F1 แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร จบฤดูกาลแรกของเขาไปด้วยอันดับที่ 18 จาก 25 นักแข่ง เก็บได้ 10 คะแนน ปีต่อมาก็จบที่ 12 เก็บได้ 20 คะแนน ก่อนที่ปี 2014 จะถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหม่อย่าง Red Bull Racing แทน Mark Webber ซึ่งสนามแรกในการแข่งขันรายการ Australian Grand Prix ก็โชว์ฟอร์มสด ด้วยการทำอันดับรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 2 และจบการแข่งขันไปได้ในตำแหน่งนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายเขาถูกปรับแพ้ไปเพราะทำผิดกฎในส่วนการจ่ายน้ำมันเกินกำหนด แต่หลังจากนั้น ก็โชว์ฟอร์มได้ดี ด้วยการคว้าแชมป์ไป 3 สนาม 78 โพเดียม จบฤดูกาลด้วย 238 แต้ม เป็นอันดับที่ 3, ปี 2015 ทำได้ 92 คะแนน จบอันดับที่ 8 ไม่ได้แชมป์เลย ก่อนที่ปี 2016 จะคืนฟอร์มได้เล็กน้อยกับการคว้าไป 1 แชมป์ 8 โพเดียม แต่เป็นปีที่ก้าวขึ้นมาของ คว้าอันดับที่ 3 ไป แต่เป็นปีที่ก้าวขึ้นมาของ Max Verstappen ที่กำลังมากลายเป็นขวากหนามสำคัญของเขาในอนาคต แต่ปีต่อมา Ricciardo ก็ยังคงฟอร์มเดิมเอาไว้ได้ กับการคว้า 1 แชมป์ 9 โพเดียม เป็นอันดับที่ 5 แต่ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้เสียที และปี 2018 คือปีสุดท้ายของเขากับทีม Red Bull Racing ความขัดแย้งกับเบอร์ 2 ไฟแรงอย่าง Verstappen เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ได้ประกาศย้ายทีมไปอยู่กับ Renault ในฤดูกาลถัดไปก่อนจบฤดูกาล ที่สื่อมวลชนมองว่า Ricciardo ไม่อยากเป็นมือ 2 รองใคร และต้องการหนีความกดดันที่เกิดขึ้นภายในทีมนั่นเอง ก่อนที่ปีนั้นจะทำไปได้ 170 แต้มพร้อมแชมป์ 2 สนาม และกับปีแรกภายใต้สีเสื้อของ Renault เขาไม่สามารถขึ้นตำแหน่งโพเดียมได้เลย ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 เท่านั้น จบฤดูกาลด้วย 54 คะแนน เป็นอันดับที่ 9 เท่านั้น แต่ปี 2020 เขากลับทำได้ดีขึ้น ด้วยการขึ้นโพเดียมได้ 2 สนาม พร้อมเก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ ถึงแม้ว่าจะมีข่าวมาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลแล้วว่าเขาจะย้ายทีมไปร่วมกับ Mclaren สะสมคะแนนได้เป็นอันดับที่ 5 ปีนี้เมื่อได้รถที่ดีขึ้น ก็น่าจะทำให้ฟอร์มนั้นอาจจะดีตามไปด้วย แต่เมื่อลงสนามจริงกลับไม่ใช่แบบที่คิดเอาไว้ เพราะจะเห็นได้ว่าเขาพบปัญหาในการขับรถคันใหม่ในช่วงแรก ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มที่รายการ Italian Gran Prix จนสามารถคว้าแชมป์ไปได้เป็นครั้งแรกหลังจากย้ายออกมาจากทีม Red Bull Racing แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถยึดฟอร์มที่ดีได้ตลอด สุดท้ายแล้วก็จบลงไปด้วยคะแนนสะสมนักขับเป็นอันดับที่ 8 ต่อมาในปี 2022 ฟอร์มของเขาก็ร่วงลงอย่างเห็นได้ชัด เก็บคะแนนได้รวมเพียง 37 คะแนนเท่านั้น ทำให้ทางทีมไม่ทำการต่อสัญญากับเจ้าตัว ทำให้เขาต้องกลับมาร่วมทีม Red Bull Racing ในฐานะนักขับสำรองในปี 2023 แต่แล้วเมื่อถึงกลางปี Daniel Ric ก็ได้รับโอกาสใหม่อีกครั้ง โดยเข้าไปรับตำแหน่งนักแข่งหลักให้กับทีม AlphaTauri แทน Nyck de Vries ที่ไม่สามารถทำคะแนนให้ทีมได้เลย โดยเขาลงแข่งสนามแรกที่ Hungarian Grand Prix แต่แข่งไปได้ไม่กี่สนามก็ต้องหยุดแข่งไปจากการที่เกิดอุบัติเหตุจนบาดเจ็บ แล้วกลับมาแข่งใหม่ใน 5 สนามสุดท้าย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้โชว์ฟอร์มอะไรดีมากมาย เก็บ 6 คะแนนได้สนามเดียวจากการจบอันดับที่ 7 ในเม็กซิโก แต่ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากทีมให้ลงแข่งต่อไปในปี 2024

F1

Stake F1 Team Kick Sauber

เป็นอีกทีมที่มีการเปลี่ยนชื่อ จากเดิมก็คือทีม Alfa Romeo F1 Team Stake ปีนี้มาเปลี่ยนเป็น Stake F1 Team Kick Sauber ซึ่งเป็นการกลับมาใช้ชื่อทีมดั้งเดิมนั่นเอง ถูกดูแลโดยทีมงานของ Sauber Motorsport AG จากสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นฐานสำนักงานใหญ่จึงอยู่ที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เริ่มต้นการเข้าร่วมการแข่งขัน Formula 1 ตั้งแต่ปี 1950 - 1951 นักแข่งสามารถคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 2 ปี (Giuseppe Farina ปี 1950, Juan Manuel Fangio ปี 1951) ก่อนที่จะหยุดไปเพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน หลังจากนั้นหลายปี ก็เริ่มกลับมาแข่งขันใหม่อีกครั้งในปี 1979 ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo 177 เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford/Cosworth เป็นขุมกำลัง ซึ่งทีมก็ลงทำการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ก่อนที่จะจบฤดูกาลสุดท้ายเมื่อปี 1985 จนถึงฤดูกาล 2018 ทาง Alfa Romeo ก็ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber เป็นการกลับมาในวงการ F1 ใหม่อีกครั้ง แล้วใช้ชื่อทีมเป็น Alfa Romeo Sauber F1 Team และเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Honda ให้มาเป็น Ferrari ใช้นักขับเป็น Charles Leclerc กับ Marcus Ericsson จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 มี 48 คะแนน และเมื่อปี 2019 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ มีนักขับอย่าง Kimi Räikkönen และ Antonio Giovinazzi เป็นกำลังหลัก และยังคงใช้เครื่องยนต์ของ Ferrari ต่อไป ปิดฤดูกาล 2022 ด้วยการมีเพียง 8 คะแนน ได้อันดับ 8 ไป ก่อนที่ปี 2022 จะเก็บคะแนนได้เพิ่มเป็น 13 คะแนน แต่กลับจบได้เป็นอันดับที่ 9 แทน พร้อมกับการประกาศเลิกขับของ “The Iceman” Kimi Räikkönen แต่ในปี 2022 ฟอร์มของทีมกลับมาดีพร้อมกับเครื่องยนต์ Ferrari ทำให้สามารถเก็บคะแนนสะสมกลับไปอยู่อันดับที่ 6 ได้ แต่ในปี 2023 ฟอร์มกับรูดมหาราช ทั้งที่ยังใช้นักแข่งคู่หูคู่เดิม แต่รถกลับเร็วสู้คู่แข่งแทบไม่ได้ จบปีทำได้เพียง 16 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 9 เท่านั้นเอง

F1

หลังการย้ายออกไปของ Frédéric Vasseur ที่ไปดูแลทีม Ferrari แทนในปี 2023 ทำให้ทีมได้ทำการดันเอา Alessandro Alunni Bravi ชายชาวอิตาลีวัย 49 ปีที่เข้ามาร่วมทีมตั้งแต่ปี 2017 เพื่อรับหน้าที่ Managing Director ที่ดูแลแทบทุกอย่างทั้งการตลาด, การสื่อสารองค์กร, ฝ่ายขาย, กฎหมาย, และการเงิน และสุดท้ายก็ต้องมาคุมทีมนี้ในฐานะหัวหน้าทีม ตั้งแต่ปี 2023 ต่อไป

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Stake F1 Team

Valtteri Bottas

นักแข่งชาวฟินแลนด์ชื่อว่า Valtteri Bottas อายุ 34 ปี เริ่มต้นอาชีพนักขับ F1 ในปี 2013 กับทีม Williams เปิดฤดูกาลแรกได้ดีที่สุดคือการทำเวลารอบคัดเลือกในสนาม Canadian Grand Prix เป็นอันดับที่ 3 คว้าคะแนนแรกในสนาม United States Grand Prix ด้วยการจบอันดับที่ 8 และจบปีแรกด้วยการเก็บได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ก่อนที่ปีต่อมาจะเริ่มฉายแวว ด้วยการระเบิดฟอร์มจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 มากกว่าอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel และ Fernando Alonso ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะจบอันดับที่ 5 และ 8 ใน 2 ปีต่อมา และในที่สุดเขาก้ได้เข้าร่วมกับทีมแชมป์โลกอย่าง Mercedes-AMG Petronas F1 Team ในปี 2017 ขับร่วมกับแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton แชมป์โลกคนปัจจุบัน เข้ามาแทนที่ Nico Rosberg ที่คว้าแชมป์และประกาศเลิกแข่งไปทันที แต่แน่นอนว่าการเข้ามาอยู่เป็นนักแข่งเบอร์ 2 ของทีม แถมเบอร์ 1 ยังเป็นแชมป์โลกอีกต่างหาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะสามารถคว้าอันดับที่ 3 ไปได้ เป็นรองเพียง Hamilton และ Vettel เท่านั้น โดยสามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 สนาม ก่อนที่ปี 2018 จะฟอร์มตก กลายเป็นนักแข่งคนแรกของ Mecedes ที่จบฤดูกาลแล้วไม่สามารถคว้าแชมป์สนามได้เลย ตั้งแต่ Michael Schumacher ในปี 2012 จบที่ 2 ไปถึง 7 สนาม ก่อนที่ปีล่าสุด 2020 ที่สามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 2 สนาม ขึ้นโพเดียม 11 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ประเภทนักแข่งไป ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทีมคว้าแชมป์ประเภททีมผู้สร้างไปด้วย แต่ปี 2021 ฟอร์มของ Bottas ก็เริ่มไม่คงที่ ถึงแม้ว่าจะสามารถเก็บคะแนนได้มากถึง 226 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 3 ก็ตาม แต่ทีมต้องการความสดใหม่ของ George Russell ที่ฟอร์มดีในปีก่อนมาช่วยเอาแชมป์โลกนักขับกลับมาสู่ทีมมากกว่า เขาเลยไม่ได้รับการต่อสัญญาจากทีม แต่ด้วยฝีมือและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของ “ผู้กอง” ทำให้ทีม Alfa Romeo มอบสัญญาใหม่ให้กับเขา เพื่อมาแทนที่นักขับที่เลิกไปอย่าง Kimi Räikkönen นั่นเอง และเขาก็ตอบแทนทีมด้วยการทำคะแนนจบเป็นอันดับที่ 10  แต่ในปี 2023 กลับไม่ใช่ปีที่ดีของเขาเลย เพราะแทบจะเกาะกลุ่มท้ายแถวอยู่เกือบทุกสนาม ทำคะแนนได้เพียง 10 คะแนนเท่านั้น จบปีด้วยอันดับ 15 ของนักแข่งเท่านั้น

F1

ภาพจาก Facebook Stake F1 Team

Zhou Guanyu

นักขับสายเลือดมังกร Zhou Guanyu วัย 24 ปี เริ่มต้นการขับรถแข่งตั้งแต่วัย 8 ขวบบนรถโกคาร์ท ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปแข่งในอังกฤษในช่วงปี 2012 เพื่อให้มีรายการแข่งขันที่ใหญ่และมากขึ้น และก็โชว์ฟอร์มได้เยี่ยม เมื่อในปี 2013 เขาเก็บแชมป์ได้ 2 รายการด้วย จนเมื่อปี 2015 Guanyu ขยับขึ้นมาขับรถ F4 และคว้าแชมป์ได้ 3 สนามในรอบ 2 ที่สนาม Monza จบฤดูกาลนั้นด้วยการเป็นรองแชมป์ และรับตำแหน่ง “นักแข่งหน้าใหม่ยอดเยี่ยม” ไปครองได้ด้วย สำหรับในวงการ F1 นั้น Guanyu ได้เริ่มสัมผัสจริง ๆ ในปี 2014 ด้วยการเข้าร่วมเป็น 1 ในนักขับเยาวชนของ Ferrari Driver Academy จนไปจนถึงปี 2018 ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปทีม Renault Sport Academy แทน แล้วรับหน้าที่เป็นนักขับของทีมพัฒนารถด้วย ก่อนที่ปี 2020 จะถูกดันขึ้นไปเป็นนักขับทดสอบให้กับทีม Renault Formula One Team ที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นทีม Alpine นั่นเอง และแล้วฝันก็เริ่มใกล้เข้าความเป็นจริง เมื่อเขาได้โอกาสในการขับรถ Alpine ในช่วงทดสอบที่การแข่งขัน Austrian Grand Prix 2021 นับเป็นสัมผัสแรกที่ได้ขับรถสูตร 1 อย่างจริงจัง ก่อนที่จะได้รับสัญญานักขับหลักจากทีม Alfa Romeo เพื่อลงแข่งในปี 2022 ซึ่งถือเป็นนักแข่งจากเมืองจีนคนที่ 2 ต่อจาก Ma Qinghua ที่ได้รับสัญญาเพื่อลงแข่ง F1 และเป็นชาวจีนคนแรกที่ได้ลงแข่งรถสูตร 1 อย่างเป็นทางการ ส่วนผลงานปีแรกของเขานั้น ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เก็บไปได้เพียง 6 คะแนน จบในตำแหน่งนักขับอันดับที่ 18 และในปี 2023 ฟอร์มก็ยังไม่กระเตื้อง เก็บได้เพียง 6 คะแนนเท่าเดิม อยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนปีก่อนแบบไม่ขยับไปไหน

F1

MoneyGram Haas F1 Team

ทีมสายเลือดอเมริกัน Haas เริ่มต้นทีมด้วยการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาร่วมลงแข่งรถสูตร 1 ในปี 2016 มีฐานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ ก่อตั้งทีมโดย Gene Haas เจ้าของ Haas Automation ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลโรงงาน เริ่มต้นฤดูกาลแรกด้วยการใช้นักแข่งอย่าง Romain Grosjean และ Esteban Gutiérrez แค่สนามแรกในรายการ Australian Grand Prix นักขับอย่าง Grosjean สามารถเข้าเส้นชัยได้ในอันดับที่ 6 เก็บไป 8 แต้มให้กับทีม ถือเป็นทีมผู้สร้างจากอเมริกาทีมแรกที่สามารถคว้าแต้มใน F1 ได้ และเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก Toyota Racing ที่สามารถเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ลงสนามครั้งแรกเมื่อปี 2002 และยังจบอันดับที่ 5 ในสนามต่อมาอีกด้วย เปิดปีแรกไปอย่างสวยงาม กับ 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 8 จาก 11 ทีม และปี 2017 ได้สลับตำแหน่งนักขับด้วยการเอา Kevin Magnussen มาแทนที่ Gutiérrez แล้วก็เปิดหัวได้อย่างดี โดยเฉพาะที่โมนาโก เมื่อนักขับทั้ง 2 คนสามารถเก็บแต้มให้ทีมได้ทั้งคู่ (อันดับ 8 และ 10) จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมด้วยแต้มที่มากขึ้นเป็น 47 คะแนน แต่พอเข้ามาปี 2018 กลับเปิดหัวด้วยฝันร้ายในรายการที่ออสเตรเลีย โดยขณะที่แข่งอยู่นั้น Magnussen และ Grosjean กำลังอยู่ในอันดับที่ดี คือที่ 4 และที่ 5 แต่ความผิดพลาดใน Pit Stop ที่ทำการล๊อกยางไม่ดี ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นซ้ำ 2 ครั้งในรอบเดียวได้ แต่สุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนก็ค่อย ๆ ไล่เก็บคะแนนได้เรื่อย ๆ จนสุดท้ายปิดฤดูกาลไปด้วย 93 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 5 เป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างน่าประหลาดใจสำหรับทีมน้องใหม่ที่ลงแข่งเพียงไม่กี่ปี แต่ปีล่าสุด ฤดูกาล 2019 มันคือฝันร้ายของ Haas ถึงแม้จะใช้นักแข่งคู่เดิม แต่ผลงานกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด จบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 9 มี 28 คะแนนเท่านั้น อันดับที่ดีที่สุดคืออันดับ 7 ในสนามที่สเปนกับฮังการี ทำเอาเจ้าของทีมอย่าง Gene Haas หัวเสียไปเลย แต่เท่านั้นยังไม่แย่พอ เพราะทีมยังฟอร์มตกอย่างถึงที่สุด กับการเก็บได้เพียง 3 คะแนนเท่านั้น จบในอันดับรองบ๊วย แถมยังประสบปัญหาการเงินอีก ทำให้ปีนี้จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบยกทีม ด้วยการเสี่ยงเอานักแข่งหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการ์ในการแข่งรถ F1 มาก่อนเลยทั้ง Mick Schumacher และ Nikita Mazepin และก็พังจริง ๆ เพราะทีมไม่สามารถเก็บคะแนนจากทั้ง 2 คนได้เลย จบฤดูกาลปี 2021 ด้วยการไม่มีคะแนนเลย รับตำแหน่งบ๊วยไป แถมยังประสบปัญหาการเงินก่อนแข่งฤดูกาล 2022 อีก เพราะต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญากับผู้สนับสนุนหลักอย่าง Uralkali เนื่องจากเจ้าของอย่าง Dmitry Mazepin เป็นผู้ใกล้ชิดกับ Vladimir Putin ประธานาธิบดีของรัสเซีย ที่ออกคำสั่งรุกรานประเทศยูเครน จนทำให้ทั่วโลกกำลังกดดันในรูปแบบต่าง ๆ และแน่นอนว่าเมื่อผู้สนับสนุนหลักถูกยกเลิกสัญญาไป นักขับอย่าง Nikita Mazepin ที่เข้ามาอยู่ในทีมได้ด้วยกำลังเงินสนับสนุน ก็ต้องถูกยกเลิกสัญญาไปด้วยแบบอัตโนมัติ แต่ถึงจะเริ่มต้นไม่ดี แต่พอถึงการแข่งขันจริง ทีม Haas กลับทำผลงานดีไม่ใช่น้อย สามารถเก็บคะแนนได้ถึง 37 คะแนน หนีบ๊วยกลับมาอยู่อันดับที่ 8 จนได้ แต่ตอนจบฤดูกาล ทีมกลับเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับลูกนักขับอดีตแชมป์โลก 7 สมัยอย่าง Mick Schumacher เพราะทีมมองว่าเขายังฝีมือไม่ถึงนั่นเอง แต่ถึงจะเอามือเก๋ามาขับในปี 2023 ทั้ง Kevin Magnussen และ “The Hulk” Nico Hulkenberg ฟอร์มของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากรถนั้นเร็วสู้คู่แข่งแทบไม่ได้เลย เก็บคะแนนได้เพียง 12 คะแนนเท่านั้น กลับมาจมบ๊วยเหมือนเดิม

F1

ภาพจาก Facebook MoneyGram Haas F1 Team

Haas F1 Team ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Ferrari อยู่ เคยมี Günther Steiner ชาวอิตาลีวัย 58  ปี ขวัญใจชาวซีรี่ย์ Drive To Survive บน Netflix มาก่อน แต่ปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง เมื่อมีการดันเอา Ayao Komatsu วิศวกรชาวญี่ปุ่นวัย 48 ปี มือขวาของ Günther ที่เราคุ้นเคยใน Drive To Survive อยู่แล้ว มาคุมบังเหียนทีมในปี 2024 พร้อมกับภาระอันหนักอึ้งเลยทีเดียว

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook MoneyGram Haas F1 Team

Kevin Magnussen

หลังจากที่ทีมได้ยกเลิกสัญญากับ Nikita Mazepin ในช่วงลงสนามทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล 2022 ไม่กี่สัปดาห์ ทำให้ทีมต้องหันไปหาศิษย์เก่า นักขับชาวเดนมาร์กวัย 29 ปี (ในตอนนั้น) Kevin Magnussen ให้มาขับแทน โดยเขาเริ่มต้นในวงการ F1 ด้วยการเป็นนักขับทดสอบให้กับทีม McLaren เมื่อปี 2012 ก่อนที่จะได้ขยับมาเป็นนักแข่งหลักเคียงข้างกับ Jenson Button แทนที่ของ Sergio Pérez ที่ย้ายไป Force India ในปี 2014 เปิดหัวฤดูกาลด้วยความน่าตื่นเต้น เพราะสามารถจบเป็นอันดับที่ 2 ได้ แล้วค่อย ๆ ทยอยเก็บแต้มให้กับตัวเองและทีมได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 มี 55 คะแนน และปีถัดมาในฤดูกาล 2015 เขาก็ต้องหลีกทางให้กับอดีตแชมป์โลก Fernando Alonso ที่ย้อนกลับมาร่วมทีม McLaren ใหม่อีกครั้ง ทำให้ Magnussen ต้องกลายเป็นนักขับสำรองไป แต่แล้วในที่สุด เขาก็ได้กลับมาขับแทน Alonso จนได้ เพราะอดีตแชมป์โลกได้เกิดอุบัติเหตุในช่วงฝึกซ้อม ก่อนที่ฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้น ทำให้หมอสั่งห้ามลงทำการแข่งขันเด็ดขาด แต่ได้แสดงฝีมือเพียงแค่สนามเดียวคือที่ออสเตรเลีย แถมยังแข่งไม่จบอีกด้วยเพราะเครื่องยนต์มีปัญหา และ Alonso ก็กลับมาแข่งได้ในสนามต่อมา และสุดท้าย ผู้ช่วยส่วนตัวประธานของทีมอย่าง Ron Dennis ได้ส่งจดหมายถึงเขาเพื่อแจ้งว่า จะปล่อยตัวเขาออกจากทีมตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ทำให้ Magnussen ต้องรีบหาทีมใหม่ทันที โดยเริ่มแรกเขาได้คุยกับ Haas ก่อนที่จะมีการประกาศชื่อ Romain Grosjean กับ Esteban Gutiérrez มาเป็นนักแข่งประจำฤดูกาล รวมทั้งยังติดต่อพูดคุยกับทีม Manor Racing รวมทั้งยังมีการพูดคุยถึงการออกไปแข่งขัน Indy Car ด้วย แต่สุดท้ายแล้ว ก็ได้ลงเอยเซ็นสัญญากับทีม Renault และเป็นนักขับในปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่ไม่ดีเลย Magnussen เก็บได้เพียง 7 คะแนนเท่านั้น จบที่อันดับ 16 แต่สุดท้ายในปี 2017 ก็ได้ย้ายมาอยู่กับ Haas จนได้ โดยมาแทนที่ Esteban Gutiérrez และจบด้วยอันดับที่ 14 เก็บได้ 19 แต้ม แล้วมาระเบิดฟอร์มเอาตอนปี 2018 เมื่อเก็บได้มากถึง 56 คะแนน จบอันดับที่ 9 แต่กับฤดูกาลล่าสุด 2019 กลับทำได้เพียง 20 คะแนนเท่านั้น อยู่ในอันดับที่ 16 และฤดูกาลสุดท้ายของเขาในปี 2020 ก็ยังฟอร์มแย่ ด้วยการเก็บได้เพียงคะแนนเดียวเท่านั้นจากอันดับที่ 10 ในรายการ Hungarian Grand Prix ก่อนที่จะปล่อยให้หมดสัญญาไปในปีนั้น แล้วในที่สุดก็ได้รับโอกาสใหม่อีกครั้งในปี 2022 และเขาก็ตอบแทนทีมได้อย่างดี เมื่อสามารถทำคะแนนสะสมทั้งปีได้ 25 คะแนน ทั้งที่เป็นทีมที่มีทุนทำทีมไม่มากอะไร จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 13 แต่ปี 2023 ด้วยรถที่ไม่อำนวย ทำให้เขาเก็บไปได้เพียง 3 คะแนนเท่านั้น รั้งตำแหน่งเพียงอันดับที่ 19 เท่านั้นเอง

F1

ภาพจาก Facebook MoneyGram Haas F1 Team

Nico Hulkenberg

“The Hulk” Nico Hulkenberg นักแข่งชาวเยอรมนีวัย 36 ปี ห่างหายจากวงการรถแข่ง F1 ไปนานกว่า 3 ปี แต่ช่วงที่หายไป เขาก็ยังวนเวียนอยู่ใน Paddock ของทีมต่าง ๆ อยู่เรื่อย Hulkenberg เริ่มลงแข่งรถโกคาร์ทตั้งแต่ปี 1997 ด้วยวัยเพียง 10 ปี ก่อนจะมาคว้าแชมป์ระดับประเทศได้ในปี 2002 ก่อนที่จะเริ่มขยับขึ้นไปอยู่ในระดับ Formula BMW ในปี 2005 Hulkenberg เริ่มต้นเข้ามาในวงการ F1 จริง ๆ ก็คือในช่วงปี 2007 ด้วยการรับสิทธิพิเศษในการลงทดสอบกับทีม Williams แล้วก็โชว์ฟอร์มเข้าตาทันที เมื่อเขาสามารถทำเวลาได้เป็นรองนักขับอาชีพอย่าง Nico Rosberg นักขับหลักของทีมเพียงแค่ 0.4 วินาทีเท่านั้น ทำให้เขาได้รับการเซ็นสัญญาเพื่อเป็นนักขับทดสอบในทันที ก่อนที่จะเริ่มขึ้นเป็นนักขับหลักในปี 2010 ก่อนที่จะเริ่มเป็นนักขับพเนจร เพราะฟอร์มในการขับจริงไม่ค่อยน่าพอใจสักเท่าไหร่ โดยปี 2011-2012 ย้ายไปขับให้กับทีม Force India, 2013 ไปขับให้กับ Sauber, 2014-2016 กลับไปที่ Force India, ปี 2017–2019 ไปขับให้กับทีม Renault และนี่คือทีมสุดท้ายที่เขาเป็นนักขับหลักให้กับทีม แต่ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในการแข่งรถ F1 เมื่อเขากลายเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Racing point เพราะเริ่มต้นกับการไปขับแทน Sergio Pérez ของทีม Racing Point ที่ติดเชื้อ Covid-19 ในปี 2020 แต่ก็ไม่ได้ลงแข่งวันจริง เพราะเครื่องยนต์ดันพังเสียก่อนการเริ่มแข่งขัน แต่ได้ลงแข่งในสัปดาห์ต่อมาในสนาม Silverstone Circuit โดยรอบนี้ลงแข่งจนจบอันดับที่ 7 ได้ และไปขับแทน Lance Stroll ในการแข่งขัน French Grand Prix จากอาการไม่สบาย โดยสนามนี้คือการระเบิดฟอร์มด้วยการออกตัวจากตำแหน่งที่ 20 แต่สามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 8 พร้อมพ่วงด้วยตำแหน่ง Driver Of The Day จนเข้าสู่ปี 2021 เขาก็ได้ขับแทน Sebastian Vettel ตั้งแต่ 2 สนามแรก จากการที่ Seb ติดเชื้อ Covid-19 แต่ผลงานในรอบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจบเพียงอันดับที่ 17 และ 12 เท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกเลย จนล่าสุดในปี 2023 ที่ได้รับข้อเสนอจากทีม Haas ให้เข้ามาเป็นนักขับหลักให้กับทีมแทนที่ของ Mick Schumacher นั่นเอง และการกลับมารอบนี้ เขาก็สร้างความฮือฮาได้เป็นบางจังหวะ แต่ด้วยความที่รถนั้นไม่อำนวยเท่าไหร่ ถึงจะออกตัวดีแค่ไหนก็ตาม เขาก็จบฤดูกาลด้วยการเก็บได้เพียง 9 คะแนนเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ยังผลงานดีกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Kevin Magnussen

อ่านตอนที่ 1 ได้ที่นี่

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ