ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2024 ตอนที่ 1

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 20 ก.พ. 67 10:29
  • 18,879 อ่าน

ใกล้เริ่มการแข่งขันรถแข่งสูตร 1 หรือ F1 ประจำปี 2024 แล้ว ปีนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนักแข่ง แต่เรื่องของทีมและผู้บริหาร มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายทีม เรามาดูกันดีกว่าว่าปีนี้ การแข่งขันทั้งหมด 10 ทีม 20 นักแข่ง จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง มาติดตามกันได้เลย

อ่านตอนที่ 2 ได้ที่นี่

F1

Oracle Red Bull Racing

ทีมที่เกิดจากยี่ห้อเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ไม่ได้เกิดจากค่ายรถยนต์อย่าง Red Bull Racing มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ (แต่ Red Bull มีสำนักงานใหญ่อยู่ออสเตรีย และเรียกที่นั่นว่า Home Race) เริ่มเข้าทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 2005 โดยการซื้อทีมต่อมาจาก Ford Motor Company ชื่อทีมว่า Jaguar Racing โดยปีแรกนั้น มีการใช้งานเครื่องยนต์ของ Cosworth ก่อนที่ปีต่อมาจะหันไปใช้บริการของ Ferrari แต่ก็ได้เพียงปีเดียว เพราะปี 2007 ทีมหันไปใช้เครื่องยนต์ของ Renault ยาวนานถึง 12 ปี แต่แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อทีมคิดว่า Renault มีเครื่องยนต์ที่ไม่ดีพอจะพาทีมไปคว้าแชมป์ได้ จึงได้ตัดสินใจเลือกใช้เครื่องยนต์ของทาง Honda แทนในฤดูกาล 2019 โดยทีม Red Bull Racing เริ่มต้นได้ไม่ดีนัก เมื่อ 4 ปีแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน จมอยู่เป็นทีมท้ายแถวเป็นส่วนใหญ่ แต่พอถึงปี 2009 เมื่อได้นักแข่งอย่าง Sebastian Vettel มาร่วมทีม จับคู่กับเบอร์ 1 อย่าง Mark Webber ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะทีมสามารถทำคะแนนทีมผู้สร้างไปได้เป็นอันดับที่ 2 ทันที ก่อนที่ 4 ปีต่อมา ทีมคว้าแชมป์ไปได้ เคียงข้างกับรางวัลแชมป์ประเภทนักขับอย่าง Vettel ก่อนที่จะเริ่มเสียรังวัดไปให้กับทีมมาแรงอย่าง Mercedes-AMG Petronas F1 Team ทำให้ Vettel ตัดสินใจย้ายทีมออกไปในที่สุดเมื่อปี 2015 แต่ก็ยังมีดาวเด่นอย่าง Daniel Ricciardo มาช่วยประคองทีมเอาไว้ได้ แต่ยังไม่ที่สุด แต่เมื่อปี 2016 ทีมได้ตัว "Mad Max" Max Verstappen มาร่วมทีม ทำให้การแข่งขันในทีมดุเดือดอีกครั้ง จนทำให้ Red Bull Racing เป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง ถึงแม้ว่าปี 2020 จะมีแชมป์เพียง 2 สนาม แต่ฟอร์มโดยรวมก็ยังคว้าอันดับที่ 2 ไปได้อยู่ดีแต่ในปี 2021 ก็ถึงเวลาของทีมนี้อีกครั้ง เมื่อนักขับพลังบ้าดีเดือดของทีมอย่าง Verstappen ที่ได้รถลงตัวกับตัวเองมากที่สุด ไล่เบียดชิงแชมป์จนถึงสนามสุดท้าย จนถึงรอบสุดท้ายเลยทีเดียว จนสามารถแย่งแชมป์ที่คู่แข่ง Mercedes สามารถครองมาได้ตลอดในยุค Turbo Hybrid มาจนได้ แต่คะแนนสะสมในฐานะทีมผู้สร้าง ก็ยังไม่สามารถแย่งแชมป์ไปจาก Mercedes ได้ จนมาถึงปี 2022 ที่ฟอร์มของนักขับทั้ง 2 คนนั้น ทำได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนในที่สุดก็ทำให้ Red Bull Racing กลับมาครองแชมป์ในฐานะทีมผู้สร้างได้อีกครั้ง และในปีล่าสุด ก็สร้างสถิติที่หาใครมาทำลายได้ยาก เมื่อสามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด 21 จาก 22 สนาม โดยแบ่งแชมป์ให้ Ferrari ไปได้เพียงสนามเดียวเท่านั้น

F1

Red Bull Racing ดูแลทีมโดย Christian Horner ผู้อำนวยการทีม ชาวอังกฤษอายุ 50 ปี เข้ามาคุมทีมตั้งแต่เริ่มทำทีมเมื่อปี 2005 เลย ซึ่งตอนนั้นถือเป็นนายใหญ่ของทีม F1 ที่มีอายุน้อยที่สุด และเขาคือสามีของอดีตนักร้องอังกฤษชื่อดัง Geri Halliwell หรือ Ginger Spice จากวง Spice Girl วง Girl Group ชื่อดังจากอังกฤษนั่นเอง แต่จากข่าวอื้อฉาวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เก้าอี้ของเจ้าตัวนั้นสั่นคลอนอย่างหนัก และเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมใหม่ก่อนการแข่งขันในฤดูกาลนี้เริ่มต้นขึ้นก็ได้

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Oracle Red Bull Racing

Max Verstappen

"Mad Max" Max Verstappen นักแข่งดาวรุ่งวัน 26 ปีชาวเนเธอร์แลนด์ เริ่มต้นกับทีม Red Bull ด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชน Red Bull Junior Team เมื่อปี 2014 แล้วสามารถขยับขึ้นไปขับระดับ F1 ได้ เมื่อทีม Scuderia Toro Rosso ทีมน้องของ Red Bull ทำการประกาศว่าเขาจะเป็นนักขับของทีมในฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Carlos Sainz Jr. โดยไปขับแทนที่ Daniil Kvyat ที่ได้โปรโมทขึ้นไปขับทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing แทน ทำให้เขากลายเป็นนักแข่งระดับ F1 ที่มีอายุน้อยที่สุดไปในทันที ด้วยอายุ 17 ปี 166 วัน เปิดสนามแรกด้วยการวิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ทำคะแนนได้ แต่เสียดายที่เครื่องยนต์พังเสียก่อน ไม่จบการแข่งขัน ก่อนที่จะเก็บคะแนนแรกของตัวเองได้ที่มาเลเซีย ด้วยการจบอันดับที่ 7 เป็นนักแข่งอายุน้อยที่ทุดที่ทำคะแนนได้ในการแข่งขัน Formula 1 (17 ปี 180 วัน) จบปีแรกด้วยการทำไปได้ 49 คะแนน เป็นอันดับที่ 12 และปี 2016 ก็คือปีที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทันที เมื่อผ่านไปเพียง 5 สนาม ทางทีม Red Bull Racing ได้ทำการสลับที่กันระหว่างเขากับ Daniil Kvyat ทำให้ Verstappen ได้ไปขับเคียงข้างกับเบอร์ 1 อย่าง Daniel Ricciardo ทันที และเขาก็ตอบแทนทีมทันที ด้วยการคว้าแชมป์ในสนาม Spanish Grand Prix ทันทีที่ลงแข่งครั้งแรก ทำให้เขากลายเป็นนักแข่ง F1 อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ไปได้ (18 ปี 228 วัน) ก่อนที่ปีนั้นเขาจะขึ้นไปโพเดียมอีก 6 ครั้ง เก็บคะแนนได้เป็นอันดับที่ 5 กลายเป็นดาวรุ่งดวงเด่นของวงการ F1 ไปในทันที แต่เมื่อถึงปี 2017 เขากลับประสบปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ ใน 14 สนามแรก เครื่องยนต์มีปัญหาจนขับไม่จบการแข่งขันถึง 4 สนาม และระห่ำจนชนในรอบแรกไปอีก 3 สนาม ออกจากการแข่งขันโดยไม่มีแต้ม แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์ไปได้ 2 สนาม จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 168 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ของประเภทนักแข่ง จนมาถึงปี 2018 ก็เป็นปีที่เขาเริ่มเจิดจรัสมากขึ้น และเป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่อยากเป็นมือ 2 รองจาก Daniel Ricciardo อีกต่อไป เห็นได้จากความเกรี้ยวกราดในยามที่ขับในสนาม ไม่ยอมทำตามแผนของทีมที่ให้ Ricciardo เป็นเบอร์ 1 ซึ่งทางทีมก็ออกจะเอียงไปเข้าข้าง Verstappen เสียด้วย เพราะมองว่าเขาเป็นอนาคตของทีมที่น่าจะพาทีมไปคว้าแชมป์ได้ จบฤดูกาล 2018 ไปด้วยการคว้าแชมป์ไป 2 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 11 ครั้ง ทำคะแนนไป 249 แต้ม จบอันดับที่ 4 มากกว่าเบอร์ 1 ของทีมอย่าง Ricciardo ที่เก็บไป 170 คะแนน เป็นอันดับ 6 และนี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Ricciardo ต้องย้ายทีมไปซบอก Renault แทน และฤดูกาลล่าสุด ปี 2019 คือปีที่เขางัดฟอร์มเก่งขึ้นมาได้เต็มที่ ด้วยการเก็บแชมป์ไป 3 สนาม 9 โพเดียม จบเป็นอันดับที่ 3 รองจาก 2 นักแข่งจาก Mercedes เท่านั้น และปี 2020 สามารถคว้าแชมป์ไปได้ 2 สนาม ขึ้นโพเดียมไปได้เกือบทุกสนาม ยกเว้นที่ขับไม่จบ 5 สนาม กับที่ตุรกีที่จบอันดับ 6 มากพอที่จะเก็บคะแนนรวมอันดับที่ 3 ไปได้ เขาเก็บความพุ่งพล่านเอาไว้จนถึงปี 2021 ที่เขาสามารถระเบิดฟอร์มอันสุดยอดเอาไว้ได้ จนสามารถทำคะแนนสะสมขึ้นนำแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton จนได้ ถึงแม้ครึ่งหลังของฤดูกาลเหมือนว่าความได้เปรียบจะย้ายไปอยู่กับคู่แข่ง จนสนามสุดท้ายที่เกือบจะพลาดแชมป์โลกไปอยู่แล้ว แต่ด้วยโอกาสในการขับรอบสุดท้ายหลังธงเหลือง สุดท้ายเขาก็สามารถพาแชมป์โลกมาอยู่กับตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตจนได้ จนผ่านมาถึงปี 2022 นี่คือปีที่ดีที่สุดในการแข่งขันในชีวิตของเขา เมื่อเก็บแชมป์สนามไปได้มากถึง 15 จาก 22 สนาม คว้าแชมป์โลกไปแบบไม่ต้องลุ้นอะไรมาก และปี 2023 ก็เป็นปีที่เขาทำได้ท็อปฟอร์มมากที่สุด โดยคว้าแชมป์ไปได้ 19 จาก 22 สนาม และการชนะแต่ละครั้งคือแทบไม่มีลุ้นจากคู่แข่งเลย คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ไปแบบชิว ๆ

F1

ภาพจาก Facebook Oracle Red Bull Racing Facebook

Sergio Pérez

นักแข่งชาวเม็กซิโกอายุ 34 ปี Sergio Pérez ผลผลิตจาก Ferrari Driver Academy เริ่มต้นเข้าสู่วงการ Formula 1 เมื่อปี 2011 กับทีม Sauber แทนที่ของ Nick Heidfeld ท่ามกลางเสียงนินทาว่า เข้ามาอยู่ในทีมได้เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา Telita ค่ายโทรคมนาคมใหญ่ของเม็กซิโก เพราะหลังการประกาศไม่นาน ก็ได้มีการประกาศเพิ่มเติมเรื่องการสนับสนุนทีมของ Telita ตามมา แต่ฝีมือเขาก็มีเยอะจริง เพราะแค่สนามแรกที่ลงแข่ง เขาสามารถคว้าอันดับที่ 7 ไปได้ โดยใช้การเปลี่ยนยางแค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็ถูกจับ Disqualified จากการทำผิดกฎเรื่องทางเทคนิค สุดท้ายปีแรกจบด้วยอันดับ 16 ด้วยการเก็บไป 14 คะแนน ปีต่อมา Sergio Pérez ก็ยังขับให้กับทีมเดิมอยู่ แต่ปี 2013 เขาได้เซ็นสัญญาเพื่อไปขับให้กับ Mclaren แทนที่ของ Lewis Hamilton ที่ย้ายไปขับให้กับ Mercedes ซึ่งผลงานของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย กับการเก็บได้ 49 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 11 แต่ก็อยู่ได้เพียงปีเดียว ก็ตัดสินใจย้ายไปขับให้กับ Force India ในปี 2014 ซึ่งเริ่มเปิดตัวได้ดี เมื่อสามารถขึ้นโพเดียมในตำแหน่งที่ 3 ในสนาม Bahrain Grand Prix แล้วก็ประคองฟอร์มอยู่กลางตารางได้ จนจบที่ 10 ด้วย 59 คะแนน และยังขับในทีมเดิมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผลงานล่าสุดฤดูกาล 2019 Sergio Pérez จบด้วยอันดับที่ 10 มี 52 คะแนน และปีที่แล้วก็สามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างเต็มที่ คว้าแชมป์ไปได้ 1 รายการ และเก็บแต้มสะสมรวมจบอันดับที่ 4 ทั้งที่อยู่ในทีมระดับกลาง แต่ก็ไม่สามารถยึดตำแหน่งเดิมในทีม Racing Point ไส้ได้ เพราะการมาของอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel ด้วยความที่ยังดวงแข็งของ “เช็กโก้” ที่ทีม Red Bull Racing ดันยังไม่พอใจฟอร์มของนักแข่งลูกครึ่งชาวไทย Alexander Albon เลยตัดสินใจดึงเขาเข้ามาร่วมทีมในสัญญาระยะสั้น 1 ปี แล้วดัน “น้องเล็ก” ไปเป็นนักขับสำรองแทน ซึ่งต้องบอกว่า การตัดสินใจครั้งนี้ เขาตอบแทนทีมได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะเช็กโก้ถือเป็นนักขับที่ช่วยผลักดันให้ Verstappen สามารถทำฟอร์มดีจนถึงคว้าแชมป์โลกได้ และได้ต่อสัญญาไปอีก จนปี 2022 เจ้าตัวเก็บชัยชนะสนามไปได้ 2 ครั้ง ทำคะแนนสะสมรวมได้เป็นอันดับที่ 3 ดีที่สุดในชีวิตการแข่งขันของเขาเลย แต่ในปี 2023 กลับเป็นปีที่ฟอร์มตกลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าจะเก็บชัยชนะได้ 2 สนาม และทำคะแนนรวมจบอันดับที่ 2 ของโลก แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง Max Verstappen แล้ว เขายังทำได้ไม่ใกล้มากพอทั้งเรื่องของเวลาในการแข่งขันและคะแนนที่สามารถทำได้ ทำให้เป็นไปได้สูงว่า ปีนี้ทาง Red Bul Racing คงไม่ต่อสัญญาที่กำลังจะหมดลง และอาจจะไม่มีทีมไหนเซ็นสัญญาเอาเขาไปร่วมทีมอีก เพราะด้วยอายุที่มากแล้วนั่นเอง

F1

Mercedes-AMG PETRONAS F1 Team

Mercedes-AMG Petronas F1 Team เป็นทีมที่อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ Mercedes-Benz ถึงแม้ว่าบริษัทแม่จะอยู่ที่เยอรมนี แต่ฐานของค่ายนี้อยู่ที่อังกฤษ เริ่มการแข่งขัน F1 ครั้งแรกจริง ๆ ตั้งแต่ปี 1954 โดยใช้ชื่อว่าทีม Daimler-Benz AG แต่ก็เลิกทีมไปในปี 1955 และเมื่อถึงปี 2010 ก็ได้กลับมาทำการแข่งขันอีกครั้งภายใต้ชื่อ Mercedes GP ด้วยการซื้อทีมต่อจาก Brawn GP (ก่อนหน้านี้คือทีม Honda) ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes เองเป็นขุมพลัง โดยนับเฉพาะยุคใหม่ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ทีมนี้สามารถคว้าแชมป์โลกภายใต้ทีมผู้ผลิตไปรวม 8 สมัย (2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019, 2020, 2021) และนักแข่งคว้าแชมป์ไปได้ 7 ครั้ง (2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019, 2020) ภายใต้นักขับคนเดียวที่ชื่อว่า Lewis Hamilton แต่ปี 2022 คือปีแห่งความฝันร้ายของทีมนี้ เพราะนอกจากจะไม่สามารถระเบิดฟอร์ได้เหมือน 8 ปีที่ผ่านมาแล้ว เก็บชัยชนะได้เพียงครั้งเดียวจากนักขับน้องใหม่ในทีมอย่าง George Russell แถมยังเสียตำแหน่งทีมผู้สร้างจากแชมป์โลกกลายมาเป็นที่ 3 ในปี 2022 อีกด้วย และในปี 2023 ในช่วงเริ่มต้นนั้น เหมือนทีมจะยังจูนรถไม่เจอจุดที่ดีที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป รถของ Mercedes ก็เริ่มที่จะลงตัวมากขึ้น ทำให้ทีมสามารถขยับเร่งทำคะแนนจนสามารถแซงทีมคู่แข่งอย่าง Ferrari ขึ้นมาครองอันดับที่ 2 ในฐานะทีมผู้สร้างได้ในช่วงท้ายฤดูกาลจนได้

F1

Mercedes-AMG Petronas F1 Team มีผู้อำนวยการทีมเป็น Torger Christian Wolff หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า Toto Wolff ชายชาวออสเตรียอายุ 52 ปี อดีตนักแข่งที่เข้ามาดูแลทีมตั้งแต่ปี 2013 หลังจากก่อนหน้านี้เป็นผู้อำนวยการบอร์ดของทีม Williams Formula One Team ตอนปี 2009 และขึ้นเป็นผู้อำนวยการใหญ่ปี 2012 และปัจจุบันเขาก็มีหุ้นอยู่ในทีมด้วย

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Mercedes-AMG Petronas F1 Team

Lewis Hamilton

Lewis Hamilton เป็นนักแข่ง F1 ชาวอังกฤษ อายุ 39 ปี เริ่มต้นการขับรถสูตร 1 ตั้งแต่ปี 2007 กับทีม McLaren ด้วยการเปิดปีแรกอย่างสวยงาม เขาสามารถขึ้นโพเดียมได้ในการแข่งขันรายการแรก และคว้าแชมป์ได้ในสนามที่ 6 เท่านั้น ก่อนที่จะคว้าแชมป์ไปรวม 4 สนาม และจบปีแรกด้วยการคว้าอันดับ 2 ของนักขับไปได้ โดยแพ้แชมป์โลกอย่าง Kimi Räikkönen ไปเพียง 1 คะแนนเท่านั้น และยังทำได้ดีในปีต่อมาด้วยการชนะไป 5 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 10 ครั้ง และคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จกลายเป็นแชมป์โลกที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นแชมป์โลกชาวอังกฤษต่อจาก Damon Hill ที่ได้แชมป์ไปตั้งแต่ปี 1996 แต่ต่อมาช่วงปี 2009-2012 เขากลับไม่สามารถทำความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องได้ เพราะช่วงนั้นเป็นเวลาของ Sebastian Vettel ที่ไล่คว้าแชมป์ไปได้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด Hamilton ก็ตัดสินใจย้ายทีมไปร่วมกับ Mercedes ในปี 2013 โดยได้ร่วมทีมกับ Nico Rosberg ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะ Mercedes เป็นทีมที่เพิ่งเริ่มกลับมาใหม่ และยังไม่มีความสำเร็จอย่างใดทั้งสิ้น และเริ่มต้นปีแรกไม่ค่อยดีนัก กับการคว้าเพียงแค่อันดับที่ 4 ไป ก่อนที่ยุคของเขาจะมาถึง เมื่อมีการเปลี่ยนกฎใหม่ให้ใช้งานเครื่องยนต์ Hybrid Turbo ได้ในปี 2014 ทำให้ทีม Mercedes คว้าแชมป์ไปในปีนั้นได้ 16 สนามจาก 19 สนาม และ Hamilton เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกได้ 11 สนาม คว้าแชมป์ไปได้ทั้งนักขับและทีมผู้สร้าง ก่อนที่ปี 2015 ก็คว้าแชมป์โลกไปได้อีก ก่อนที่ปี 2016 จะกลายเป็นเพื่อร่วมทีมอย่าง Nico Rosberg เป็นคนที่คว้าแชมป์ไปแทน แต่กลับมาในปี 2017-2020 เขาก็กวาดแชมป์รวดได้ทุกปี รวมทั้งทีมก็ได้แชมป์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน สร้างสถิติไว้ให้วงการแข่งรถ F1 มากมาย โดยปี 2021 ได้ทำสถิติคว้าแชมป์ไปแล้ว 95 ครั้ง แซงหน้า Michael Schumacher ที่ทำไปได้ 91 ครั้ง เหลือสถิติเดียวที่เขาต้องการทำในปีนี้ คือการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 8 ที่จะแซงหน้า Michael Schumacher เช่นกันที่ทำไปได้ 7 ครั้งแล้ว ซึ่งปี 2022 ก็ “เกือบ” จะทำได้อยู่แล้ว ถ้าเพียงแต่ไม่มีอุบัติเหตุจนมีธงเหลืองในช่วงท้ายของการแข่งขันสนามสุดท้ายเสียก่อน ส่วนผลงานในปี 2022 เป็นปีที่ท่านเซอร์อยากจะลืมไปจากความทรงจำ เพราะเป็นปีที่พบกับปัญหาในเรื่องของ Setting ตัวรถอย่างมากมาย สุดท้ายก็เป็นปีที่เขาไม่สามารถเก็บแชมป์สนามเพิ่มได้อีกเลย ทำคะแนนสะสมรวมได้เป็นที่ 6 เท่านั้น น้อยกว่านักแข่งรุ่นน้องในทีมเดียวกันอย่าง George Russell ด้วยซ้ำ แต่ปี 2023 เข้าก็เริ่มกลับมาคืนฟอร์มได้อีกครั้ง โดยขึ้นโพเดียมได้ถึง 5 สนาม และในสนามที่ Austin เจ้าตัวก็จบอันดับที่ 2 ได้ แต่โดน Disqualified ไป แต่สุดท้ายแล้วก็ยังทำคะแนนได้มากเพียงพอที่จะเก็บอันดับที่ 3 ในแบบนักขับไปได้ และปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ท่านเซอร์จะเป้นนักขับให้กับทีม Mercedes เพราะเจ้าตัวได้เซ็นสัญญาล่วงหน้าเพื่อไปขับให้กับทีมม้าลำพอง Ferrari ในปีหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

F1

ภาพจาก  Facebook Mercedes-AMG Petronas F1 Team

George Russell

นักแข่งดาวรุ่งวัย 26 ปีชาวอังกฤษ George Russell ผลผลิตจากทีมเยาวชนของ Mercedes-AMG Petronas Motorsport อดีตแชมป์โลก Formula 2 เมื่อปี 2018 หลายคนมองว่า หลังจากคว้าแชมป์ไปได้แล้ว เขาน่าจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าไปสู่ทีมใหญ่ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะเซ็นสัญญากับทีมระดับล่างอย่าง Williams Racing จับคู่กับ Robert Kubica นักขับวัยเก๋าในฤดูกาล 2019 แต่ก็เป็นปีที่เริ่มต้นได้อย่างแย่สุด เมื่อเขาต้องจบที่อันดับ 20 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย ทำได้ดีที่สุดคือที่สนาม German Grand Prix ในอันดับที่ 11 เท่านั้น แต่ก็ยังคงขับต่อใปในฤดูกาล 2020 กับทีมเดิม แต่โชว์ฟอร์มได้ดีมากขึ้น ทั้งการทำอันดับได้ดีมากขึ้นจากฤดูกาลแรก ไม่จบแค่อันดับบ๊วยกับรองบ๊วยต่อไป ดีที่สุดคือการเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 11 และในสนามรองสุดท้าย George Russell ก็ได้โอกาสแสดงฝีมือ กับการได้ไปขับแทน Lewis Hamilton ของ Mercedes ที่ติด Covid-19 และเป็นสนามที่เขาสามารถเก็บได้มา 3 แต้มจากการจบอันดับที่ 9 และคะแนนพิเศษ Fastest Lap ที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาควรได้อันดับที่ดีกว่านี้มาก เพราะเกือบตลอดการแข่งขัน Russell วิ่งนำได้ดีมาตลอด จนประมาณรอบที่ 63 ที่มีการเข้ามาเปลี่ยนยาง ทีมงานใน Pit กลับพลาดยางสลับกับ Bottas จึงต้องกลับเข้ามาเปลี่ยนยางใหม่ ต้องกลับมาไล่อันดับใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่พลาดก็เป็นได้ว่า Russell จะคว้าแชมป์แรกการแข่งขัน F1 ในชีวิตไปแล้ว ก่อนที่ปีที่แล้วที่ถือว่าเป็นปีทองของเขาจริง ๆ เมื่อสามารถโกยคะแนนให้กับตัวเองและทีมได้มากถึง 16 คะแนน ทั้งที่ปีก่อนไม่มีคะแนนเลย โดยตำแหน่งที่ดีที่สุดคือการได้อันดับที่ 2 ในการแข่งขันรายการ Belgian Grand Prix แต่ได้คะแนนไปเพียงครึ่งเดียวเพราะฝนตกจนไม่สามารถแข่งได้ ด้วยฟอร์มยอดเยี่ยมขนาดนี้ ทำให้ทีม Mercedes ดึงขึ้นไปขับคู่กับ Lewis Hamilton จนได้ และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ทีมผิดหวัง ทั้งที่รถนั้นสู้คู่แข่งอย่าง Red Bull Racing หรือ Ferrari ได้ แต่เจ้าตัวก็ยังพารถเข้าเส้นชัยไปเป็นคันแรกได้ 1 ครั้งในรายการ Brazilian Grand Prix และเป็นรายการเดียวที่รถของทีม Merccedes ได้แชมป์ ส่วนเจ้าตัวก็ปิดฤดูกาล 2022 ด้วยการเป็นนักขับในอันดับที่ 4 ส่วนผลงานในปี 2023 นั้น Russell ผลงานไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่ ขึ้นโพเดียมไปได้เพียงแค่ 2 สนาม ทำคะแนนรวมได้ 175 คะแนน จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 เท่านั้น

F1

Scuderia Ferrari

ทีมเก่าแก่ที่ลงสนามแข่งทางเรียบเกือบทุกรายการอย่าง Ferrari อยู่ในการแข่งขันรถสูตร 1 F1 มาเป็นระยะเวลานานแล้ว เริ่มร่วมทำการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1950 ถือเป็นฤดูกาลแรกที่ใช้ชื่อการแข่งขันรถยนต์ที่นั่งเดียวว่า Formula 1 เลย มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอิตาลีเช่นเดียวกับรถของ Ferrari ถือเป็นทีมที่คว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาได้มากที่สุด ทั้งในส่วนของทีมผู้สร้างและนักขับ โดยคว้าแชม์ทีมผู้สร้างไป 16 ครั้ง (1961, 1964, 1975, 1976, 1977, 1979, 1982, 1983, 1999, 2000, 2001, 2002, 2003, 2004, 2007, 2008) และนักขับไป 15 ครั้ง (1952, 1953, 1956, 1958, 1961, 1964, 1975, 1977, 1979, 2000, 2001, 2002, 2003, 2004, 2007) โดยใช้เครื่องยนต์เฟอร์รารี่ทำการแข่งขันมาโดยตลอด ส่วนฤดูกาลล่าสุด คือปีที่ทีมตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย มีแต่เรื่องไม่บันเทิงใจ ทั้งการไม่ต่อสัญญากับนักแข่งอดีตแชมป์โลก Sebastian Vettel, รถวิ่งช้ากว่าปีก่อนอย่างชัดเจน การไม่ลงรอยกันระหว่างทีมต่อ Sebastian Vettel และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้จากทีมระดับหัวแถว กลายเป็นทีมกลางตารงเฉยเลย จบฤดูกาล 2020 เพียงอันดับที่ 6 เท่านั้น และไม่มีสนามไหนเป็นแชมป์ได้เลย แต่กับปี 2021 นั้น เฟอร์รารี่ก็พอจะเรียกฟอร์มอันยอดเยี่ยมของตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง พร้อมทั้งการระเบิดฟอร์มที่ดีของนักแข่งทั้ง 2 คน ทั้ง Charles Leclerc และ Carlos Sainz โดยเฉพาะคนหลังที่สามารถทำคะแนนสะสมได้มากกว่านักแข่งหลักของทีมด้วยซ้ำ เลยทำให้ปี 2021 ทีมม้าลำพองได้อยู่ในที่ในทางกับอันดับที่ 3 ได้อีกครั้ง และปี 2022 ก็ฟอร์มดีมากในช่วงแรก จนขึ้นเป็นผู้นำทั้งฐานนะทีมผู้สร้างและนักแข่ง แต่ก็มาแผ่วในช่วงกลางและปลาย สุดท้ายได้รางวัลเป็นรองแชมป์ทั้งทีมผู้สร้างและตัวนักแข่งอย่าง Charles Leclerc เท่านั้น ส่วนปี 2023 นั้น รถของ Ferrari ก็กลับมาแรงเท่า ๆ กับทีมอื่นเหมือนเคย และความเร็วก็ยังไม่เท่ากับ Red Bull Racing ในช่วงแข่งขันได้ ถึงแม้ว่าจะทำผลงานได้ดีในช่วงรอบคัดเลือกก็ตาม ซึ่งผลงานในช่วงแรกก็ดีพอที่จะนำคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่าง Mercedes หรือ Aston Martin ได้ และเป็นทีมเดียวที่แย่งแชมป์สนามมาจาก Red Bull Racing มาได้ 1 ครั้งที่สิงคโปร์ แต่ช่วงท้ายกลับต้านทานความแรงของทีม Mercedes ไม่ไหว เสียตำแหน่งอันดับที่ 2 ในตำแหน่งทีมผู้สร้าง และนักแข่งอันดับที่ 3 ให้กับ Mercedes ไป

F1

Frédéric Vasseur ชายวัย 54 ปีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้อำนวยการทีม แทนที่ของ Mattia Binotto ที่ประกาศลาออกไปในช่วงจบฤดูกาล2022 โดยเจ้าตัวเคยรับงานเป็นหัวหน้าทีม Alfa Romeo ตั้งแต่ปี 2017 ดังนั้นประสบการณ์ในการดูแลทีม F1 จึงไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Scuderia Ferrari

Charles Leclerc

นักขับดาวรุ่งชาวโมนาโกอายุ 26 ปี Charles Leclerc เริ่มไต่เต้ามาตั้งแต่โกคาร์ท, F3 จนมาถึงปี 2016 ก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันรถสูตร 1 โดยเริ่มจากการได้เป็นนักขับใน Ferrari Driver Academy ที่เป็นสถาบันในการปั้นนักแข่งเยาวชนป้อนสู่ทีมใหญ่ทั้ง Haas F1 Team และ Scuderia Ferrari และเริ่มขับทดสอบให้กับ Haas ในรายการ 2016 British Grand Prix ซึ่งหลายคนก็คาดการณ์ว่า เขาคงได้เข้าสู่ทีมนี้แน่ แต่ในที่สุด Guenther Steiner ผู้อำนวยการทีมช่วงนั้นบอกว่า Charles Leclerc ควรกลับไปเริ่มใหม่กับการแข่งขัน F2 อีกครั้งก่อน เขาก็เลยเริ่มฤดูกาล 2017 ด้วยการไปแข่งใน F2 ก่อน และปีนั้นเขาก็คว้าแชมป์ไปได้จริง ๆ จนในที่สุดทีม Alfa Romeo Sauber ก็ตัดสินในประกาศดึงเขาเข้าร่วมทีมในฤดูกาล 2018 ถึงแม้ว่าปีนั้น เขาจะไม่ได้ขึ้นโพเดียมเลย และทำคะแนนได้เพียง 39 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 13 จาก 20 คน แต่ฟอร์มการขับขี่ดันไปถูกใจทางทีม Ferrari เข้า จึงได้ประกาศช่วงก่อนจบฤดูกาลว่า จะดึงทาง Leclerc มาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในฤดูกาลปี 2019 เคียงคู่กับอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel แทนที่อดีตแชมป์โลกอย่าง Kimi Räikkönen ที่ถูกสลับที่ไปอยู่ทีม Alfa Romeo แทน และก็เป็นปีที่เขาระเบิดฟอร์มแบบไม่เกรงใจเบอร์ 1 อย่าง Vettel เลย เพราะสามารถขึ้นโพเดียมได้ถึง 10 สนาม และคว้าแชมป์ไป 2 สนาม เก็บแต้มได้เป็นอันดับที่ 4 ด้วยคะแนน 264 คะแนน มากกว่าเบอร์ 1 ของทีมที่เก็บไป 240 คะแนน จบที่ 5 ซึ่งจากการขับหลายสนาม เราจะเห็นได้เลยว่า Charles Leclerc ไม่ค่อยพอใจที่จะเป็นเบอร์ 2 รองจาก Vettel ทำให้มีบางครั้งได้แสดงออกมาในการขับว่าเขาไม่เห็นด้วยจากคำสั่งของทีม (Team Order) และ Vettel เองก็เช่นกัน ทำให้มีหลายสนามที่ทั้งคู่ต่างมาขับแบบเบียดกันประดุจเป็นคู่แข่งกัน ชัดเจนที่สุดคือสนามรองสุดท้ายในบราซิลที่ทั้งคู่เกี่ยวกันเองจนยางระเบิด ต้องออกจากการแข่งขันไปพร้อมกัน สร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในทีมอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน ทีมมีความชัดเจนด้วยการไม่ต่อสัญญากับ Vettel ทำให้ Leclerc มาเป็นมือ 1 ให้กับทีมทันที แต่ถือเป็นปีที่ย่ำแย่อย่างมาก ด้วยความที่รถมีสมรรถนะตกลงอย่างชัดเจน ทำให้เขาทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 2 ในสนามแรก เก็บไปได้เพียง 98 คะแนน จบฤดูกาลที่แสนแย่ที่อันดับ 8 ก่อนที่จะเริ่มฟื้นฟอร์มของตัวเองกลับมาในปี 2021 ด้วยการเก็บคะแนนสะสมรวมได้มาเป็นอันดับที่ 7 และปี 2022 ก็คือปีที่ดีที่สุดในการแข่งขันรถ F1 ของเขา เพราะเริ่มต้นฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ และเริ่มเก็บอันดับที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จนทำคะแนนสะสมรวมนำอยู่ประมาณหนึ่งเลย ก่อนที่จะเริ่มพลาดถูกตีตื้นขึ้นมา ทั้งเริ่มผิดพลาดเรื่องของตัวรถ และการเริ่มระเบิดฟอร์มของคู่แข่ง แต่สุดท้ายเขาก็ยังจบฤดูกาลได้ในตำแหน่งรองแชมป์โลก ทั้งในส่วนนักขับและทีมผู้ผลิตเลย ส่วนปี 2023 กลายเป็นปีที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอของเจ้าตัว โดยเฉพาะกับตัวรถที่สร้างปัญหาให้ตลอดทั้งปี แค่ 3 สนามแรก ก็แข่งไม่จบไป 2 สนามแล้ว แต่หลังจากนั้นก็เริ่มประคองตัวได้ดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ทำคะแนนได้ดีที่สุดเพียงอันดับที่ 5 เท่านั้น

F1

ภาพจาก Facebook Scuderia Ferrari

Carlos Sainz

นักขับชาวสเปนวัย 29 ปี Carlos Sainz Jr. เริ่มต้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน Formula 1 ในนามนักแข่งทดสอบของทีม Red Bull และ Toro Rosso ก่อนที่จะถูกโปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักในทีม Scuderia Toro Rosso ประจำฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Max Verstappen เริ่มสนามแรกด้วยการทำเวลาช่วงรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 8 แต่จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 9 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยอันดับที่ 15 ถัดมาในปี 2016 จบอันดับที่ 12 ตำแหน่งที่ดีที่สุดคืออันดับที่ 6 และปีสุดท้ายที่ Toro Rosso ปี 2017 เขาขับให้กับทีมเดิมได้จนถึงสนามที่ 16 ก่อนที่จะย้ายตัวเองมาอยู่กับทีม Renault ในสนามที่เหลือ จับคู่กับ Nico Hülkenberg เริ่มต้นสนามแรกด้วยการจบอันดับที่ 7 ถือเป็นการเปิดตัวที่ดีพอประมาณ ก่อนจบฤดูกาลนี้ด้วยการทำคะแนนรวม 2 ทีมได้อันดับที่ 9 ดีที่สุดตั้งแต่ขับมา ต่อมาในปี 2018 Sainz เริ่มต้นฤดูกาลได้ดี โดยเก็บคะแนนได้ 5 จาก 6 สนามแรก โดยดีที่สุดที่สนาม Azerbaijan จบอันดับที่ 5 สุดท้ายปิดฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 10 เก็บไปได้ 53 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Hülkenberg ที่จบอันดับที่ 7 ไป และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เขาต้องออกไปหาทีมใหม่อย่างกะทันหัน เพราะการมาของนักแข่งอย่าง Daniel Ricciardo ที่ได้ตำแหน่งในทีมไปครองอย่างแน่นอน แต่ยังโชคดีที่มีที่ว่างในทีม McLaren เพราะ Fernando Alonso เจ้าของเก้าอี้เดิมเลิกแข่งไปนั่นเอง ทำให้เขาเริ่มฤดูกาล 2019 กับทีมจากแดนอังกฤษ สร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แถมยังสามารถขึ้นโพเดียมได้ในบราซิล หลังจากที่ Lewis Hamilton ผู้ที่เข้าอันดับ 3 ถูกลงโทษจากการขับรถชน Alex Albon ถือเป็นครั้งแรกของ Sainz ที่ได้ตำแหน่งนี้ด้วย จบฤดูกาลด้วย 96 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองในการขับ F1 และเริ่มมีข่าวดีเมื่อเข้าสู่กลางปี 2020 เมื่อถูกประกาศว่าจะได้ย้ายไปอยู่กับทีมหัวแถวอย่าง Ferrari ในปี 2021 เพื่อแทนที่ Sebastian Vettel และเป็นปีที่ Sainz ขับได้ดีกว่าเก่าเสียอีก สามารถเข้าเส้นชัยใน 10 อันดับแรกเป็นประจำ แถมยังจบอันดับที่ 2 ในอิตาลีได้อีกด้วย ปิดฤดูกาลได้อันดับที่ 6 ส่วนปีที่แล้วในฤดูกาล 2021 เขางัดฟอร์มที่ดีออกมาได้อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับนักแข่งหลักอย่าง Charles Leclerc จนทำคะแนนสะสมรวมได้จบเป็นอันดับที่ 5 เลยทีเดียว ส่วนปี 2022 ก็ยังครองฟอร์มเดิมเอาไว้ได้ จบที่อันดับเดิมเลยคือที่อันดับ 5 แต่ในปี 2023 เขากลับไม่เฉิดฉายเหมือนเดิม ยังดีที่สามารถเก็บแชมป์สนามได้ 1 ครั้งในรายการ Singapore Grand Prix ซึ่งเป็นสนามเดียวที่ Red Bull Racing ไม่ได้เป็นแชมป์ สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7

F1

McLaren Formula 1 Team

แบรนด์รถยนต์จากแดนผู้ดีอังกฤษ McLaren เริ่มต้นเข้าสู่วงการแข่งขันรถยนต์ F1 ตั้งแต่ปี 1966 ก่อตั้งโดย Bruce McLaren ถือเป็นอีก 1 ทีมที่อยู่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน แต่ไม่เคยใช้เครื่องยนต์ของตัวเองเลย เริ่มต้นครั้งแรกในการลงแข่งขัน ใช้เครื่องยนต์ของฟอร์ด, Serenissima และ BRM ในช่วงปี 1966-1967 ช่วงปี 1968-1982 ใช้ของ Ford-Cosworth DFV ช่วงปี 1983-1992 ใช้เครื่องยนต์ของ TAG-Porsche และ Honda ช่วงปี 1993-1994 ใช้ของ Ford, Lamborghini และ Peugeot ปี 1995-2014 ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes ปี 2015-2017 กลับมาใช้ของ Honda และสุดท้ายตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปี 2020 ก็มาใช้ของ Renault ผลงานของทีม McLaren นั้น เคยได้แชมป์ในนามทีมผู้สร้างรวม 8 ครั้ง (1974, 1984, 1985, 1988, 1989, 1990, 1991, 1998) และในนามนักขับอีก 12 สมัย (1974, 1976, 1984, 1985, 1986, 1988, 1989, 1990, 1991, 1998, 1999, 2008) โดยคนที่เรารู้จักกันดีก็คือ Niki Lauda (1984) Ayrton Senna (1988, 1990, 1991) Mika Häkkinen (1998, 1999) และ Lewis Hamilton (2008) ส่วนผลงานปี 2020 สามารถทำได้ 202 คะแนน คว้าอันดับที่ 3 ไปครองได้ และปี 2021 นี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อทีมตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องมาใช้ของ Mercedes แทน แต่ก็โชคร้ายเพราะดันเป็นปีที่เครื่องยนต์ของ Mercedes ดันแรงสู้ของคู่แข่งแทบไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับที่ 5 ในฐานะทีมผู้สร้างเท่านั้น แต่เมื่อปี 2023 กลับเป็นปีที่เฉิดฉายเลย เพราะรถของ McLaren มีพัฒนาการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าช่วงแรกจะยังไม่ดีเท่าไหร่ แต่หลังจากตั้งตัวได้ ทีมนี้ก็เริ่มโกยคะแนนได้เป้นกอบเป็นกำ ขึ้นโพเดียมได้เป็นประจำ สุดท้ายแล้วก็เก็บคะแนนจนครองอันดับ 4 ในฐานะทีมผู้สร้างไปจนได้

F1

F1

McLaren F1 Team มีฐานหลักอยู่ในประเทศอังกฤษ ตามเอกสารแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมคือ Andrea Stella วิศวกรชาวอิตาลีวัย 43 ปี ที่เพิ่งถูกดันขึ้นมาดูแลทีในปี 2023 เป็นปีแรก แต่เป็นที่รู้กันว่า นายใหญ่ที่ดูแลทีมจริง ๆ ก็คือ Zak Brown อดีตนักแข่งหลายรายการชาวอเมริกันวัย 52 ปี ที่เข้ามาดูแลเป็นนายใหญ่ของทีมตั้งแต่ปี 2018 นั่นเอง

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook McLaren

Lando Norris

หนุ่มน้อยอารณ์ดีชาวอังกฤษวัย 24 ปี Lando Norris เริ่มต้นการขับรถแข่ง F1 ด้วยการเป็นนักขับเยาวชนของทีม McLaren ตอนปี 2017 ก่อนจะได้โอกาสขับทดสอบช่วงกลางฤดูกาล ก่อนที่จะขยับขึ้นเป็นนักขับทดสอบและตัวสำรองของทีมในปี 2018 และสุดท้าย เขาก็ได้โอกาสเข้าร่วมเป็นนักแข่งหลักให้กับทีมในฤดูกาล 2019 ร่วมกับ Carlos Sainz Jr. เริ่มคว้าคะแนนแรกให้กับตัวเองในฐานะนักขับ F1 ใน Bahrain ด้วยการจบอันดับที่ 6 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยการเก็บ 49 คะแนน คว้าอันดับที่ 11 ไปครอง ส่วนปีที่แล้ว Lando ระเบิดฟอร์มเจ๋ง เกาะอันดับต้นได้เกือบทุกสนาม และยังขึ้นโพเดียมได้อีก 1 สนาม สะสมคะแนนได้รวมเป็นอันดับที่ 9 และในปี 2021 ก็ยังคงฟอร์มที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ได้เช่นเคย กับการทำคะแนนสะสมรวมจบเป็นอันดับที่ 6 ได้อันดับดีที่สุดคืออันดับที่ 2 ในรายการ Italian Grand Prix ขึ้นโพเดียมไปรวม 4 ครั้ง ขาดไปเพียงแค่แชมป์สนามเท่านั้นเอง ส่วนปี 2022 เขาก็ยังคงฟอร์มเดิม ๆ ของตัวเองไว้ได้ จบฤดูกาลไปด้วยคะแนนสะสมรวมอันดับที่ 7 ส่วนผลงานปี 2023 นั้น ถึงแม้ว่าในช่วงแรกจะยังจับจังหวะที่ดีของตัวเองไม่ได้ แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มขับได้เร็วขึ้น ขึ้นโพเดียมได้รวม 7 ครั้ง ทำคะแนนจนจบอันดับที่ 6 ไปได้

F1

ภาพจาก Facebook McLaren

Oscar Piastri

Oscar Piastri นักแข่งชาวออสซี่ ที่เข้ามาแทนที่ของนักแข่งรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนร่วมชาติอย่าง Daniel Ricciardo ที่ไม่ได้รับการต่อสัญญา โดยนักแข่งวัย 22 ปีคนนี้ เริ่มต้นการแข่งรถเหมือนเด็กทั่วไปกับการแข่งขันรถคาร์ท ก่อนที่จะขยับขึ้นมาแข่งในระดับรายการหลักของประเทศกับที่ HP Tuners ซึ่งเป็นทีมที่พ่อของเขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาเองในปี 2016 และเขาก็ขยับตัวเองขึ้นมาในระดับ British F4 ในปี 2017 กับทีม TRS Arden Junior Racing แล้วจบฤดูกาลในอันดับที่ 2 ได้แชมป์ไป 6 สนาม กับขึ้นโพเดียมได้ 6 ครั้ง ปี 2019 Piastri ขยับเข้าสู่การแข่งขันระดับใหญ่ได้มากขึ้น เมื่อเข้าร่วมเป็นนักขับทดสอบในระดับ F3 กับทีม Prema Racing ก่อนที่จะขึ้นเป็นนักแข่งให้กับทีมในปี 2020 พร้อมกับการคว้าแชมป์โลกไปได้ในปีนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับขึ้นมาแข่งในระบบ F2 กับทีมเดิมในปี 2021 และก็คว้าแชมป์โลกไปได้อีกครั้ง ก่อนที่ปี 2022 Piastri จะได้สัญญากับทีม Alpine ในฐานะนักแข่งสำรอง และยังได้เป็นนักขับสำรองของทีม McLaren อีกด้วยภายใต้สัญญาระหว่างทั้ง 2 ทีม ทำให้การเซ็นสัญญาเพื่อเป็นนักขับหลักของเขานั้นมีความยุ่งยากเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้ว ก็สามารถเซ็นสัญญาครองที่นั่งบนตำแหน่งนักขับในทีม McLaren จนได้ ช่วงแรกของการแข่งขันปี 2023 เจ้าตัวเหมือนจะยังไม่เข้ากับรถได้ดี แต่พอมาถึงครึ่งฤดูกาลหลัง เจ้าตัวก็เริ่มฉายแสงออกมา เริ่มจบการแข่งขันด้วยอันดับ Top 10 อยู่เสมอ และก็ขึ้นบนโพเดียมแรกได้ในสนามที่ประเทศญี่ปุ่น แถมยังเก็บชัยชนะการแข่งขัน Sprint Race ที่สนามในกาตาร์ได้อีกด้วย จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 9 ซึ่งเป็น Rookie ที่จบด้วยอันดับดีที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว

F1

Aston Martin Aramco F1 Team

เมื่อปี 2021 นายใหญ่ของทีมอย่าง Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดาที่เข้าไปซื้อหุ้น Aston Martin เป็นจำนวน 20% ได้ทำการเปลี่ยนชื่อทีมใหม่ จากเดิมชื่อทีม Force India ที่เจ้าของทีมเดิมอย่าง Vijay Mallya มาเป็น Lawrence Stroll แล้วเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Racing Point ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Aston Martin ในฤดูกาล 2021 โดยปัจจุบันทีม Aston Martin ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Mercedes อยู่ จบฤดูกาล 2021 ด้วยอันดับที่ 7 ด้วยคะแนนเพียง 77 คะแนนเท่านั้น ส่วนปี 2022 ก็ยังคงฟอร์มคงเส้นคงวา จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 เหมือนเดิม แต่คะแนนนั้นมีแค่ 55 คะแนนเท่านั้นเอง พร้อมการเลิกขับของแชมป์โลก 4 สมัยอย่าง Sebastian Vettel ส่วนในปี 2023 การได้แชมป์โลก 2 สมัยอย่าง Fernando Alonso มาช่วยขับให้ทีม คือความลงตัวให้กับทีมเป็นอย่างมาก เพราะแค่ 6 สนามแรก ทีมก็ครองโพเดียมได้ 5 ครั้งแล้ว สุดท้ายแล้วทีมนี้ก็เก็บคะแนนรวมได้ 280 คะแนน จบอันดับปีก่อนด้วยอันดับที่ 5 พร้อมอันดับนักแข่งที่อยู่ใน Top 10 ทั้งคู่อีกด้วย

F1

F1

Aston Martin มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ มี Mike Krack ชาว Luxembourg วัย 51 ปี ที่เคยเป็นวิศวกรเครื่องยนต์รถแข่งให้กับทีม BMW Sauber มาก่อนมาดูแลทีมอย่างต่อเนื่อง แต่คนที่มีอิทธิพลในทีมมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเจ้าของทีม Lawrence Stroll นั่นเอง แต่ช่วงปลายฤดูกาล 2023 ก็มีข่าวอยู่เนือง ๆ ว่า เจ้าตัวอยากจะขายทีมแล้ว ไม่รู้ว่าอยากขายจริงหรือเป็นเพียงเทคนิคในการสร้างแรงกระตุ้นให้กับทีมตัวเอง

นักแข่ง

F1

ภาพจาก Facebook Aston Martin Aramco Formula One Team

Fernando Alonso

นักขับชาวสเปน อดีตแชมป์โลก 2 สมัย Fernando Alonso ตัดสินใจแขวนพวงมาลัยจากการแข่ง F1 ไปหลังจบฤดูกาล 2018 กับทีม Mclaren แต่ก็หยุดไปได้แค่ 2 ปี ก็ทนกับความหอมหวนของวงการรถสูตร 1 ไม่ไหว เลยตัดสินใจกลับมาร่วมทีมเก่าภายใต้ชื่อใหม่ที่เคยคว้าแชมป์โลกมาก่อนแล้ว โดย Fernando Alonso วัย 42 ปี เริ่มต้นเข้าวงการรถแข่งโกคาร์ทตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และคว้าแชมป์แรกได้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แล้วก้าวเข้าสู่วงการรถแข่งในรายการ Euro Open by Nissan ในปี 1999 พร้อมเฉิดฉายด้วยการคว้าแชมป์ไปได้ 6 รายการ จาก 16 สนาม และขึ้นตำแหน่ง Pole-Position ได้อีก 9 ครั้ง ด้วยความที่มีฝีมือขนาดนี้ จึงได้เริ่มเข้าสู่วงการ F1 ในฐานะนักขับทดสอบให้กับทีม Minardi ในช่วงปลายปี 1999 ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งนักขับสำรองในปี 2000 และข้ามเป็นนักขับหลักให้กับทีมในปี 2001 แต่ก็ไม่ได้สร้างผลงานอะไรที่ดี เมื่อจบฤดูกาลด้วยการไม่มีคะแนนเลย ดีที่สุดคือการจบที่อันดับ 10 จึงทำให้ Alonso ย้ายไปขับเป็นนักขับทดสอบให้กับ Renault ในปี 2002 และขึ้นเป็นนักขับหลักได้ในปี 2003 และก็เป็นปีที่เขาเริ่มส่งประกาย เมื่อทำลายสถิติด้วยการเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่คว้าตำแหน่ง Pole-Position ไปได้ ในสนามที่ 2 เท่านั้น ตามมาด้วยการทำลายสถิติเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่คว้าแชมป์ไปได้ เก็บแต้มรวมไปได้ 55 คะแนน จบอันดับที่ 6 และมาคว้าแชมป์โลกไปได้ในปี 2005 และ 2006 กลายเป็นนักขับที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ 2 ครั้ง ก่อนที่ในปี 2007 Alonso จัดการเซ็นสัญญากับทีม McLaren และก็เกือบคว้าแชมป์โลกได้ในปีนั้น เพราะสามารถทำคะแนนได้มากที่สุดคือ 109 คะแนน แต่แชมป์โลกในปีนั้นอย่าง Lewis Hamilton ก็ทำได้เท่ากัน แต่เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 2 ได้มากกว่าเท่านั้นเอง เขาขับให้กับ Mclaren จนจบสัญญา แล้วในปี 2010 ก็ย้ายไปขับให้กับทีม Ferrari และก็จบฤดูกาลแรกกับทีมใหม่ในอันดับที่ 2 อีกครั้ง พ่ายให้กับ Sebastian Vettel ที่ขับให้กับ Red Bull Racing แชมป์โลกในปีนั้นไป ก่อนที่ปี 2015 Alonso จะย้ายกลับไปขับให้ McLaren อีกครั้ง ในปี 2015 แต่ก็ไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีได้เลย จนประกาศเลิกขับ F1 ไปในปี 2018 แล้วออกไปขับรายการอื่น ๆ แทน และก็ถือว่ามีผลงานที่น่าพอใจ เพราะคว้าแชมป์ได้ทั้งรายการ FIA World Endurance Championship และ 24 Hours of Le Mans กับทีม Toyota Gazoo Racing แต่ในที่สุดก็ถูกทีมเดิมที่เคยคว้าแชมป์โลกด้วยกันอย่าง Renault ภายใต้ชื่อใหม่ Alpine F1 Team นั่นเอง และก็ถือว่าเป็นการกลับมาที่ยังคงฝีมืออันยอดเยี่ยมได้อยู่ กับการเก็บคะแนนสะสมได้เป็นอันดับที่ 10 ถึงแม้ว่าจะสามารถขึ้นโพเดียมได้ครั้งเดียวกับอันดับที่ 3 ในรายการ Qatar Grand Prix แต่ภาพจำของเขาในปี 2021 คือการบังไม่ให้แชมป์โลก Lewis Hamilton แซงได้ ถ่วงเวลาได้หลายรอบ จนสามารถส่งให้เพื่อนร่วมทีมอย่าง Esteban Ocon ขึ้นคว้าแชมป์ไปครองจนได้ ส่วนปี 2022 เขาก็ยังไม่ทิ้งลายแชมป์โลก โชว์ความเก๋าในเกือบทุกสนามที่ลงแข่ง จนสามารถเก็บคะแนนได้มากถึง 81 คะแนน จบในอันดับที่ 9 และได้รับข้อเสนอใหม่จากทีม Aston Martin ให้มาขับแทน Sebastian Vettel ที่ประกาศเลิกแข่งในนั้น และเมื่อเข้ามาแล้ว ก็กลายเป็นส่วนเติมเต็มให้กับทีม ทำอันดับจนจบบนโพเดียมได้อย่างสม่ำเสมอรวม 8 ครั้ง ลงแข่งพร้อมสไตล์การขับที่ดุดัน สร้างความสนุกสนานให้แก่กองเชียร์ได้ทุกครั้ง สุดท้ายแล้วก็จบไปได้ด้วยอันดับที่ 4 เป็นอันดับดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งทีม Force India เทียบเท่ากับ Sergio Perez เลยทีเดียว

F1

ภาพจาก Facebook Aston Martin Aramco Formula One Team

Lance Stroll

แน่นอนว่า ในเมื่อพ่อของเขาเป็นเจ้าของทีม ลูกชายอย่าง Lance Stroll ชายหนุ่มชาวแคนาดาวัย 25 ปี ก็ต้องมาขับให้กับทีมของพ่อตัวเองอย่างแน่นอน แต่จุดเริ่มต้นชีวิตในวงการ F1 ไม่ได้เริ่มต้นที่นี่ แต่ไปเริ่มกับทีม Williams ตั้งแต่ปี 2017 ถึงแม้ว่าจะโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีใน 3 สนามแรก เพราะไม่สามารถจบการแข่งขันได้เลย แต่ที่สนาม 4 ในรัสเซีย เขาก็สามารถขับจบการแข่งขันได้เป็นครั้งแรก โดยเข้าเป็นอันดับที่ 11 แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขับได้ดีขึ้น โดยตำแหน่งดีที่สุดคือการที่สามารถขึ้นโพเดียมได้ใน Azerbaijan Grand Prix จบเป็นอันดับที่ 3 ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 18 ปี 239 วันเท่านั้น จบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บได้ 40 คะแนน ได้อันดับที่ 12 ไป ต่อมาในฤดูกาล 2018 Stroll ยังคงขับให้ Williams ต่อไปเช่นเดิม ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเข้ามาซื้อทีม Force India และเปลี่ยนเป็น Racing Point ในช่วงกลางฤดูกาล จบฤดูกาลด้วยการเก็บไปได้เพียง 6 คะแนน จบอันดับที่ 18 ถือเป็นผลงานที่แย่ลงทั้งตัวนักขับและในส่วนของทีม จนปีล่าสุด 2019 ที่เขาย้ายมาขับให้ทีม Racing Point อย่างเป็นทางการ จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 21 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 15 เคยทำตำแหน่งได้ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 ในรายการ Germany Grand Prix แต่ปี 2020 เขาทำผลงานได้ดีขึ้น ด้วยการขึ้นโพเดียมได้ 2 ครั้ง และเก็บคะแนนได้เกือบทุกสนาม จบฤดูกาลเป็นอันดับที่ 11 ส่วนฤดูกาลก่อนฟอร์มจะแย่ลง เพราะเก็บคะแนนไปได้เพียง 34 คะแนนเท่านั้น ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 6 ที่กาตาร์ และในปี 2022 ก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเก็บคะแนนไปได้แค่ 18 คะแนนเท่านั้นเอง จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งนักขับลำดับที่ 15 แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นนักแข่งที่มีตำแหน่งนักแข่งรถ F1 ที่มั่นคงมากที่สุดแล้ว เพราะมีพ่อเป็นเจ้าของทีมนั่นเอง ต่อเนื่องมาถึงปี 2023 เขาก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้น เมื่อโกยคะแนนได้รวม 74 คะแนน จบอันดับที่ 10 ในผังคะแนนรวม

อ่านตอนที่ 2 ได้ที่นี่

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ