Honda อวดโฉมรถต้นแบบ ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนครั้งแรกในโลก ที่งาน Japan Mobility Show 2023

อีกหนึ่งงานใหญ๋ของโลกกับ Japan Mobility Show 2023 หรือชื่อเดิม Tokyo Motor Show ที่คุ้นเคยกันดี ทาง Honda ได้จัดเต็มอวดโฉมทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์อเนกประสงค์ (Power Products) อากาศยาน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมถึงเทคโนโลยีและรถต้นแบบมากมายในงานปีนี้ ที่จัดขึ้นช่วงปลายเดือนตุลาคม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

อยากที่ทราบกันว่าฮอนด้าได้ดำเนินธุรกิจในด้านการขับเคลื่อนภายใต้ Global Brand Slogan คือ The Powerof Dreams – How we move you – ที่มีความหมายว่า

“ความฝันของพนักงานฮอนด้าทุกคนเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่ฮอนด้ามาโดยตลอดในขณะที่หลากหลายผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนและบริการที่ฮอนด้าสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยพลังแห่งความฝันเหล่านี้สามารถนำพาผู้คนไปยังที่ต่าง ๆ ขับเคลื่อนหัวใจของผู้คนและช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความฝันของตนเองซึ่งจะนำไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่อีกมากมายในอนาคต”

ถูกถ่ายทอดความฝันผ่านผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อน บริการ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ของฮอนด้า เพื่อการก้าวข้ามขีดจำกัดต่าง ๆ และเพิ่มพูนศักยภาพและโอกาส ทั้งหมดนี้พร้อมให้ทุกท่านได้สัมผัสแล้วที่งาน Japan Mobility Show 2023 ในปีนี้ 

สำหรับบูทฮอนด้าในงานปีนี้  มาพร้อมแนวคิดที่ว่า Honda DREAM LOOP ที่สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยความฝันมากมายหลากหลายของผู้คน ที่ได้รับการสื่อสารผ่านออกมาทางผลิตภัณฑ์และบริการด้านการขับเคลื่อนจากความฝันของฮอนด้า ทั้งยังแสดงให้ได้เห็นถึงการริเริ่มต่าง ๆ ที่ฮอนด้าทำสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน มีการถ่ายทอดภาพการใช้ชีวิตประจำวันในปัจจุบันของผู้คนและอนาคตที่ยังมาไม่ถึงให้เด่นชัด เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นภาพและเข้าใจถึงแก่นที่ทางฮอนด้าฝันให้สังคมดี ๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้จริง

ภายในบูทถูกแบ่งและจัดแสดงไฮไลต์ต่าง ๆ ให้ผู้ที่สนใจได้เยี่ยมชมกันแบบใกล้ชิด โซนแรกกับผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนที่ออกแบบเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ที่หลาย ๆ ผลิตภัณฑ์เป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่นี่อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

SUSTAINA-C Concept และ Pocket Concept ต้นแบบแนวคิดของรถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่ออกแบบเพื่อสะท้อนแนวคิดในการก้าวข้ามข้อจำกัดของทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ผ่าน "การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน" ผลิตจากเรซินอะคริลิกที่ผ่านการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ ตอบโจทย์ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งมอบความสุขและอิสระในการขับเคลื่อนสู่อนาคต

SC e: Concept ต้นแบบของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ Honda Mobile Power Pack e: จำนวน 2 ยูนิต แบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ มอบความสะดวกกว่าไม่ต้องเสียเวลาในการรอชาร์จแบตเตอรี่ ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ ช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามขีดจำกัดด้านเวลา 

Honda Specialty Sports Concept ต้นแบบรถสปอร์ตไฟฟ้า ที่จะมาเปิดประสบการณ์ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับความสนุกสนาน และความเพลิดเพลินในการขับขี่ ก้าวข้ามข้อจำกัดของเวลาในยุคของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อความเป็นกลางทางด้านคาร์บอน และความนิยมของเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ โดยความเพลิดเพลินจากการขับขี่และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถรุ่นนี้ จะช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามข้อจำกัดในชีวิตประจำวันได้อีกขั้น

HondaJet/Honda eVTOL อากาศยานที่บินขึ้นและลงในแนวดิ่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าถึง “การขับเคลื่อนแบบสามมิติ” เป็นมากกว่าเพียงผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนบนพื้นดิน ก้าวข้ามขีดจำกัดของสถานที่และระยะทาง โดยมีการจัดแสดงแบบจำลองภายในห้องโดยสารของ HondaJet Elite II เครื่องบินเจ็ตธุรกิจขนาดเล็ก ให้ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสประสบการณ์ภายในห้องโดยสารของ HondaJet แบบเสมือนจริง พร้อมกันนี้ยังได้จัดแสดงแบบจำลองภายนอกขนาด 1:5 ของ Honda eVTOL รวมถึงกังหันก๊าซไฮบริด (Gas Turbine Hybrid System) ที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ที่จะใช้เป็นระบบส่งกำลังของ Honda VTOL ที่ได้นำมาจัดแสดงในงานนี้ด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ Honda Mobile Power Pack e: นั้น จะได้รับคุณสมบัติการจัดเก็บและพกพาพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดในแบตเตอรี่ MPP ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ มอบความอิสระในการเคลื่อนที่และการใช้ชีวิตประจำวันได้มากกว่า ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ MPP และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย

โซนถัดมากับผลิตภัณฑ์แห่งการขับเคลื่อนของฮอนด้าที่ออกแบบเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพและโอกาส

เริ่มด้วย Honda CI-MEV ที่ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในโลก เป็นโมเดลสาธิตของรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 2 ที่นั่ง 4 ล้อ ที่ใช้เทคโนโลยี Cooperative Intelligence (CI) ของฮอนด้า และเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ เพื่อมอบการขับเคลื่อนที่เข้าถึงง่ายจนถึงปลายทางสำหรับทุกคน ตามความมุ่งมั่นของฮอนด้า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเมื่อไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ หรือเมื่อผู้คนประสบปัญหาในการเดินระยะไกล

ยนตรกรรมขับเคลื่อนอัตโนมัติของฮอนด้า (Honda Autonomous Work Vehicle) ที่เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นยนตรกรรมไร้คนขับที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลายผ่านทางอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ และปรับปรุงเพื่อทำงานต่าง ๆ แทนมนุษย์ ในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อาจประสบปัญหาในการปฏิบัติงาน

หุ่นยนต์ Honda Avatar Robot หุ่นยนต์อวาตาร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานก้าวข้ามข้อจำกัดของเวลาและสถานที่ และเพิ่มขีดความสามารถและความเป็นไปได้ของผู้คน โดดเด่นมาด้วยมือหุ่นยนต์หลายนิ้ว ซึ่งพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีที่ฮอนด้าสั่งสมมาจากการวิจัยด้านหุ่นยนต์ รวมถึงอาซิโม (ASIMO) และเทคโนโลยีการควบคุมระยะไกลที่รองรับระบบ AI ทำให้หุ่นยนต์ Honda Avatar Robot สามารถอำนวยความสะดวกผู้ใช้ในการทำงานและสัมผัสสิ่งต่าง ๆ จากระยะไกลได้คล่องแคล่ว ราวกับว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นด้วยตนเอง 

UNI-ONE พาหนะเคลื่อนที่ส่วนบุคคลแบบนั่งโดยไม่ต้องใช้มือบังคับ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวที่พัฒนาขึ้นจากการวิจัยหุ่นยนต์ของฮอนด้า และระบบล้อขับเคลื่อน Omni Traction Drive ของฮอนด้า สามารถเคลื่อนที่ได้รอบทิศทางอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ใช้งานสามารถบังคับทิศทางได้อย่างสะดวกง่ายดาย เพียงโน้มตัวในขณะนั่ง และเคลื่อนตัวราวกับว่ากำลังเดิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวสามารถขยับและเคลื่อนที่ได้ 

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนอื่น ๆ ของฮอนด้าที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในชีวิตของผู้คนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถต้นแบบเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ mini-BEV และ Power Exporter e: 6000 อุปกรณ์จ่ายพลังงานไฟฟ้าแบบพกพา

รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนและบริการที่ริเริ่มจาก IGNITION หรือหน่วยสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ของฮอนด้า ได้แก่
     - Ashirase สายรัดในรองเท้าพร้อมระบบนำทาง สำหรับผู้พิการทางสายตา (Ashirase Inc.)
     - Striemo สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสามล้อสำหรับหนึ่งคน (Striemo Inc.)
     - RAIL ACTIVE-e bicycle – รถจักรยานไฟฟ้า ที่ติดตั้งระบบ SmaChari ซึ่งจะเชื่อมต่อและช่วยเหลือผ่านระบบไฟฟ้า (Y. International., inc.) โดย SmaChari จะเป็นเทคโนโลยีแรกที่มาจากหน่วยงาน IGNITION ที่จะทำการค้าภายใต้แบรนด์ฮอนด้า

ไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ยังมีการอัปเดตเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า Honda e:Ny1 ใหม่ ที่คาดว่าจะทำตลาดบ้านเราในไม่ช้าอีกด้วย โดย Honda e:Ny1 ถือเป็นยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นที่สองที่จำหน่ายในยุโรปแล้ว ตัวรถได้รับการพัฒนาจากแนวคิดที่ต้องการมอบคุณค่าใหม่ ความรู้สึกใหม่ และประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยทีมพัฒนา e:Ny1 มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกอันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า มาพร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายและใช้งานง่าย 

สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม e:N Architecture F ของฮอนด้า แพลตฟอร์มที่รองรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์หน้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ และจะถูกใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่ม B-segment ของฮอนด้าทั่วโลกต่อไป

แบตเตอรี่ถูกวางในตำแหน่งใต้พื้นรถ ทำให้ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่กว้างขวางและสะดวกสบาย มากับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 68.8 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 412 กม. (ตามมาตรฐาน WLTP) และชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ 10% ไปถึง 80% โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที เมื่อใช้ที่ชาร์จแบบ DC ต่อเข้ากับหัวชาร์จ CCS สามารถรชาร์จไฟเพื่อวิ่งต่อได้อีก 100 กม. ภายในเวลา 11 นาที เท่านั้น สำหรับที่ชาร์จไฟบ้านแบบ AC จะสามารถชาร์จไฟ 10-80% ได้ภายในเวลา 6 ชั่วโมง

งานออกแบบโดดเด่น สมาร์ต มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากไลน์อัปรถยนต์ฮอนด้าทั่วไป ระยะด้านหน้ามี overhang สั้น ล้อขนาดใหญ่และฐานล้อที่กว้าง เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจในสไตล์รถ SUV ไฟหน้าโฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ กระจังหน้าแบบเรียบ ทําให้ e:Ny1 มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยการออกแบบเส้นสายรอบคันอย่างกลมกลืน

ด้านหน้าเองยังโดดเด่นมาด้วยไฟ LED เส้นยาวใต้แนวฝากระโปรงเชื่อมต่อกับไฟหน้า โดยจะแสดงสถานะขณะกำลังชาร์จไฟในรูปแบบเฉพาะตัว กระจังหน้าด้านล่างตกแต่งด้วยสีดําเงา ดูหรูหราโฉบเฉี่ยว มีช่องชาร์จไฟอยู่หลังแผงกระจังหน้าตรงกลางที่สามารถหมุนเปิดเข้าด้านในเพื่อทำการชาร์จ สะดวกจากตำแหน่งแท่นชาร์จทั้งสองฝั่งของตัวรถ

โครงสร้างตัวถังแบบเดียวกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ในสไตล์สปอร์ตคูเป้ มาพร้อมเส้นสาย belt line และ character line ที่เฉียบคม พื้นผิวเรียบเนียน ลวดลายการออกแบบที่เรียบง่าย เป็นระเบียบ อีกทั้งจัดวางมือจับประตูหน้าและการซ่อนมือจับประตูหลังไว้ด้วยดีไซน์ที่กลมกลืนรอบคัน จากด้านหน้าสู่ด้านท้าย มีเส้นไฟท้ายที่ยาวเต็มพื้นที่ ช่วยให้ดีไซน์ด้านหลังดูกว้าง 

และ Honda e:Ny1 ใหม่ ยังมาพร้อมกับสัญลักษณ์ H Mark สีขาว ที่ด้านหน้า ตรงกลางฝาครอบล้อ และพวงมาลัย นอกจากนี้ ยังมีการเลือกใช้ฟอนต์ใหม่ที่ดูสมาร์ต เป็นการเน้นชื่อแบรนด์ฮอนด้าด้านหลังให้โดดเด่น ให้ลุคที่สดใหม่ พรีเมียม และจะถูกนำมาใช้กับรถไฟฟ้าทั้งหมดของฮอนด้าในอนาคตต่อไป

ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบคอนโซลกลางใหม่ การจัดวางปุ่มเกียร์ที่เรียบง่าย เข้ากับสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า ทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่คนขับควบคุมได้ง่าย รวมทั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 15.1 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง เข้าถึงเมนู Infotainment ต่าง ๆ ได้ง่ายผ่านการแบ่งโซนใหม่ที่ออกแบบมาเฉพาะรุ่นนี้ ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึง Apple Car Play ไร้สาย และ Android Auto พร้อมด้วยฟังก์ชัน Wi-Fi ในรถยนต์ สามารถอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-air กับการอัปเดตฟังก์ชันและแอปต่าง ๆ ได้จากระยะไกล 

เบาะที่นั่งด้านหน้าได้รับการพัฒนาโดยมุ่งเน้นความสะดวกสบายและหรูหรา ด้วยแผ่นรองยูรีเทนแบบหนา ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่พร้อมโอบรับสรีระในช่วงเร่งความเร็วหรือเข้าโค้ง โดยวัสดุหุ้มเบาะมีให้เลือกแบบหนังสังเคราะห์สีดําหรือสีเทาอ่อนขึ้นอยู่กับสีภายนอก กับการออกแบบที่ดูสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว

มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่สามารถจุสัมภาระได้สูงสุด 361 ลิตร และเมื่อพับเบาะลงจะเพิ่มขึ้นเป็น 801 ลิตร และได้สูงสุดที่ 1,176 ลิตร เมื่อนำสัมภาระใส่จนเต็มพื้นที่ด้านหลังจนชนเพดานห้องโดยสาร

ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยรอบด้าน และช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ในทุกการเดินทางด้วยฟังก์ชันขั้นสูงของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ กับเทคโนโลยีกล้องและโซนาร์ล่าสุด มีเซนเซอร์โซนาร์ 12 จุดรอบคันรถ แบ่งเป็น 4 จุดที่บริเวณกันชนหน้าและหลัง และด้านข้าง ๆ ละ 2 จุด สามารถตรวจจับวัตถุ เช่น อาคาร และพาหนะอื่น ๆ ด้วยความแม่นยําสูง ระบบกล้องและโซนาร์จะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับความปลอดภัยโดยรวม ทำให้ Honda e:Ny1 สามารถระบุสัญลักษณ์บนพื้นถนนและริมถนนที่ไม่มีเส้นได้ ซึ่งรวมถึงรถจักรยานยนต์ นักปั่นจักรยาน และยานพาหนะอื่น ๆ

เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีใหม่เพื่อความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แล้ว ทางฮอนด้าก็ได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda SENSING 360 และ Honda SENSING Elite  เจเนอเรชันใหม่  ด้วยเช่นกัน 

● ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 (Honda SENSING 360)
ในเจเนอเรชันใหม่มีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ ให้กับฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 ในรุ่นปัจจุบันเพื่อช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ด้วยระบบการตรวจจับสภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และสภาพแวดล้อมโดยรอบตัวรถ ช่วยลดความเสี่ยงในการเฉี่ยวชนและเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเริ่มเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ นี้ในรถยนต์ที่จำหน่ายทั่วโลกภายในปี 2024

● ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท (Honda SENSING Elite)
ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและราบรื่นในทุกเส้นทางตั้งแต่ออกจากบ้านไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งรวมถึงเส้นทางที่ไม่ได้เป็นทางด่วน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการจดจำและความเข้าใจที่ได้รับจากเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) ต้นแบบของฮอนด้า โดยจะเริ่มแนะนำเทคโนโลยีใหม่ทั่วโลกในช่วงกลางทศวรรษ 2020

ทั้งหมดในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ทางฮอนด้าตั้งเป้าเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 โดยตั้งเป้าหมายไว้ดังนี้

     - ติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทุกรุ่นทั่วโลก (รวมทั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 และฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท) พร้อมฟังก์ชันการตรวจจับรถจักรยานยนต์ภายในปี 2030
     - ติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมดในตลาดหลัก ภายในปี 2030

และท้ายสุดนี้ยังมีการเปิดตัวเทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งอนาคตเป็นครั้งแรกในโลก ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ที่ทางฮอนด้าด้ามุ่งมั่นที่จะสร้าง “สังคมปลอดอุบัติเหตุและลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ ตามเป้าหมายการดำเนินงานปี 2050” ด้วยการใช้ 2 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI-powered Intelligent Driver-Assistive Technology) ที่สามารถให้การช่วยเหลือที่เหมาะสมกับความสามารถและการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคน โดยช่วยลดความผิดพลาดและความเสี่ยงในการขับขี่ ทำให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

พร้อมด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายสนับสนุนความปลอดภัยในการขับขี่ (Safe and Sound Network Technology) ที่เชื่อมต่อผู้ใช้ถนนทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทั้งผู้คนและผลิตภัณฑ์เพื่อการขับเคลื่อนทั้งหมด ผ่านระบบโทรคมนาคม เพื่อช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และช่วยคนให้เลี่ยงความเสี่ยงนั้น ๆ ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุได้

กับเป้าหมายการสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุและลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2050

ทางฮอนด้าจะได้ขยายการติดตั้ง ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 (Honda SENSING 360) ระบบความปลอดภัยรอบทิศทางและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ให้ครอบคลุมรถยนต์ทุกรุ่นที่จะวางจําหน่ายในตลาดหลักทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2030  นอกจากนี้ ฮอนด้าจะเดินหน้าขยายการใช้งานฟังก์ชันตรวจจับรถจักรยานยนต์ และปรับปรุงฟังก์ชันต่าง ๆ ของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver-Assistant System - ADAS) ให้ดียิ่งขึ้น

และยังจะนำเทคโนโลยีความปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ไปใช้ให้ครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีความปลอดภัย (Honda Safety EdTech) ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกลงครึ่งหนึ่ง*2 ภายในปี 2030

สำหรับความปลอดภัยที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ฮอนด้าตั้งเป้า "ลดความผิดพลาดของมนุษย์ให้เป็นศูนย์" เมื่อขับขี่ด้วยยานยนต์ที่ติดตั้ง "เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driver-Assistive Technology)"

และสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันได้อย่างปลอดภัย ทางฮอนด้าจะได้สร้างสรรค์เทคโนโลยีเครือข่ายสนับสนุนความปลอดภัยในการขับขี่ (Safe and Sound Network Technology) ที่เชื่อมโยงผู้ใช้ถนนทั้งหมดด้วยระบบการสื่อสารโทรคมนาคม

ซึ่งทางฮอนด้าตั้งเป้าที่จะนําเทคโนโลยีเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้งานจริงหลังจากปี 2030 โดยจะสร้างระบบและตรวจสอบประสิทธิภาพในการใช้งานให้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2020 จากนั้นจะเร่งสร้างความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม พร้อมภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020 ให้ได้