กองทัพรถใหม่…….เตรียมจ่อเข้าไทยตลอดปี 2021
- โดย : Autodeft
- 5 ม.ค. 64 00:00
- 45,196 อ่าน
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้อาจตัวเลขยอดขายรถยนต์รวมทั้งปี 2020 ที่ผ่านมาอาจไม่ถึงฝัน บางค่ายอาจติดลบ บางค่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือว่าในปีที่ผ่านมาเป็นที่สาหัสจริงๆสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยค่ายรถยนต์หลายค่ายทยอยส่งรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดเพื่อให้คนไทยได้เป็นเจ้าของมากขึ้น
ถึงแม้เข้าสู่ศักราชใหม่ และ Covid-19 ยังคงอยู่ ค่ายรถยนต์สวมบทนักรบพร้อมรบสู้ทุกทิศ เตรียมส่งรุ่นใหม่ ทั้งในรูปแบบเจเนอรเรชั่นใหม่ รุ่นปรับโฉม หรือรุ่นพิเศษ เพื่อตอบสนองสาวกที่ชอบยานยนต์แห่งความทันสมัย ทีมงาน Autodeft จึงได้รวบรวมและคาดการณ์รถยนต์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2021 นี้ ของแต่ละค่ายรถยนต์มาให้ได้อ่านกัน เริ่มจาก
ค่ายรถยนต์หรูจากเมืองมิวนิก ตลอดทั้งปี 2020 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวมากมายหลายรุ่นทั้ง โมเดลใหม่ และ LCI หรือปรับโฉมมากมายทั้งแบบนำเข้าจากเยอรมนี อเมริกา มาเลเซีย และประกอบในไทย ปีนี้ อาจมีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมของ BMW 5 Series LCI รหัส G30 ด้วยหน้าใหม่ตั้งแต่กระจังหน้าทรงไตคู่ลายเท่ พร้อมไฟหน้าคู่ Adaptive LED ทรงเรียวยาวดีไซน์ใหม่พร้อมระบบส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง พร้อมไฟ DRL แบบ LED รูปตัว L ฝังในโคมไฟหน้า ไฟตัดหมอกหน้า LED รับกับช่องดักอากาศ ใหม่ด้วยไฟท้าย LED รูปทรง L แนวนอนแบบสามมิติ พร้อมกันชนหลังทรงสปอร์ตพร้อมลิ้นสปอยเลอร์หลังหรือ diffuser และท่อไอเสียคู่ พร้อมล้ออลัลลายลายใหม่ขนาด 17 และ 18 นิ้ว
ภายในเติมสีสันใหม่พร้อมกับปุ่มควบคุมฟังก์ชั่นอัจฉริยะพร้อมระบบสัมผัสเวอร์ชั่นใหม่ BMW’s iDrive 7 infotainment system พร้อมแสดงระบบนำทาง ระบบโทรศัพท์ ระบบความบันเทิง และระบบการทำงานของรถผ่านจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้วใหม่ พร้อมมาตรวัดดิจิทัลที่แผงคอนโซล ขนาด 12.3 นิ้วใหม่แบบเดียวกับ BMW 3 Series พร้อมเบาะนั่งหนังแท้ Nappa และ Dakota ลายใหม่
ขุมพลังเวอร์ชั่นไทยยังคงเดิมทั้ง 2.0 ลิตร เบนซินเทอร์โบ 184 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 109 แรงม้าที่ 3,140 รอบ/นาที แรงบิด 265 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากสุด 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน Gen 4 รุ่นใหม่ ที่มีขนาดความจุ 12 kWh ปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาที.ในโหมด XtraBoost โหมดการขับขี่แบบ HYBRID สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 110 กม./ชม. ขณะเดียวกันในโหมด ELECTRIC ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบไร้มลพิษ สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 กม./ชม. และขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ระยะทางขับขี่สูงสุดที่ 55-68 กิโลเมตร และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร งานนี้เตรียมถล่มคู่ปรับคนสำคัญอย่างสมศักดิ์ศรี
BMW 4 Series Convertible และ BMW 6 Series Gran Turismo LCI
เจเนอเรชั่นใหม่ที่แยกออกมาจาก 3 Series มาในรหัส G23 สำหรับ Convertible พื้นฐานเดียวกันกับ 3 Series G20 ขัดเกลาดีไซน์ให้ชัดเจนเด่นมีตัวตนที่โดดเด่นตั้งแต่กระจังหน้าไตคู่ดีไซน์ย้อนยุคแบบเดียวกับรุ่น 2000 CS แบบแนวตั้ง พร้อมไฟหน้า Adaptive LED แบบ Laserlight 4 ดวง ซ่อนไฟ Daytime LED รูปตัว C ในโคมเดียวกัน รับกับกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ตแบบต่อเนื่อง ไฟท้าย LED ดวงใหม่ดีไซน์เฉียบ กับ ไฟทับทิมฝังที่กันขนหลัง พร้อมกันชนหลังทรงสปอร์ตพร้อมลิ้นสปอยเลอร์หลังหรือ diffuser และท่อไอเสียคู่ เด่นด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 17 นิ้ว ขนาด 18 นิ้ว พร้อมภายในแบบเดียวกับ 3 Series พร้อมขุมพลังที่จะมาไทยคาดว่ามีทั้ง เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร 258 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ในรุ่น 430i พร้อมกันนี้ยังมี BMW 6 Series Gran Turismo LCI มาเสริมตลาด และอาจมีรุ่นอื่นๆในสังกัด มีการปรับเพิ่มรุ่นเพิ่ม-ลดออพชั่นตามสไตล์ บีเอ็มดับเบิลยู
ความเคลื่อนไหวของ All New Ford Ranger เจนใหม่ยังคงดำเนินต่อไปล่าสุดมีรายงานข่าวเตรียมใช้พื้นฐานเจนปัจจุบันมาพัฒนาใหม่ในชื่อ T6.2 เพราะสถานการณ์ Covid-19 อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ด้านดีไซน์จะบึกบีนขึ้นตามสไตล์กระบะอเมริกัน ด้วยรูปร่างหน้าตาถอดแบบจากกระบะรุ่นพี่อย่าง Ford Super Duty pickups ตั้งแต่กระจังหน้าโครเมี่ยแนวนอนยาวครอบคลุมถึงไฟหน้า LED พร้อมไฟ DRL แบบ LED ดีไซน์รูปตัว L ในโคมเดียวกัน สอดรับกับชุดกันชนหน้าที่ออกแบบดุดันถึงใจ เส้นสายตัวรถที่ยังมีความคล้ายกับ Ford Ranger เจนปัจจุบันอย่างชัดเจน
ด้านขุมพลังนอกจากเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ทั้งเทอร์โบเดี่ยว 180 แรงม้า กับ เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า อาจมีดีเซลเทอร์โบตัวบิ๊ก V6 3.0 ลิตร 248 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตรมาเสริมทัพ จับตาปีนี้จะมาไทยทันภายในปีนี้หรือไม่ต้องติดตาม
ค่ายรถยนต์น้องใหม่จากจีนที่กลับมาเอาจริงในตลาดรถยนต์เมืองไทยอย่างจริงจัง ผ่านแบรนด์ Haval, GWM และ ORA แบรนด์รถไฟฟ้าที่จะเข้าทำตลาด โดยจะเปิดตัวแบรนด์ในวันที่ 28 มกราคมนี้ โดยรุ่นรถที่มีแนวโน้มจำหน่ายในไทย เริ่มที่
เอสยูวีเจนใหม่พร้อมถล่มคู่ปรับหัวกระทิ ออกแบบสุดพรีเมียม ล้ำยุค เด่นด้วยสีตัวถังรถยนต์ใช้เกรดพรีเมี่ยมแบบเดียวกับรถซุปเปอร์คาร์ พร้อมความโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมแบบโครเมี่ยม ขนาบข้างกับไฟหน้า LED กับล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R19 ไฟท้าย LED ตกแต่งหรู พร้อมชุดโครเมี่ยม ราวหลังคา เติมเต็มความหรูขึ้นอีกระดับ โดยพัฒนาจากแพลตฟอร์ม LEMON platform เน้นความคงทน การเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม แรงด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร TGDI รุ่น GW4N20 190 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 340 นิวตันเมตรที่ 2,000-3,200 รอบ/นาที และเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร GW4B 163 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด 7DCT เลือกได้ทั้ง ขับสองล้อหน้า และ ขับสี่ อัจฉริยะที่มาพร้อมกับการอัปเกรดระบบ Firmware Over The Air (FOTA)
กระบะแกร่งน้องใหม่ดีไซน์ทัดเทียมกับคู่แข่งจากญี่ปุ่นและมะกันโดดเด่นในร่าง 4 ประตู Double Cab หล่อด้วยไฟหน้า LED กับไฟส่องว่าง DRL LED ในโคมเดียวกันกับกระจังหน้าขนาดใหญ่สร้างความน่าเกรงขามเมื่อแรกเห็นรับกับกันชนหน้าใหญ่เสริมไฟตัดหมอก ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18 เสริมด้วยบันไดข้าง พร้อมไฟท้าย LED ภายในหรูด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 4 ก้าน อ่านง่ายกับมาตรวัดเรืองแสงขนาด 7 นิ้ว กับจอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ปรับอุณหภูมิเบาะคู่หน้าและปรับไฟฟ้าคู่หน้า หุ้มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้ และชาร์จเร็วชาร์จไวด้วย Wirless Charging
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร GW4D20M 166 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ,กล้องหลังและผู้โดยสาร, ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC, ระบบอ่านป้ายจราจร, ระบบควบคุมความเร็วขณะออกตัวและลงทางชัน
ORA R1 หรือ ORA Black Cat
รถยนต์ท้ายตัดเล็กๆน่ารักสุดโดดเด่นที่เกิดจากการจับคู่สีภายนอก 12 แบบ และภายใน 8 แบบ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความงามทันสมัยสไตล์นากาจิม่า ประเทศญี่ปุ่น สุดล้ำด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ iFLYTEK และการอัพเกรดระยะไกล FOTA สบายตาด้วยหน้าจอความละเอียดสูงขนาดใหญ่ถึง 9 นิ้ว สบายใจกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด 400 กิโลเมตร ในพื้นที่ห้องโดยสารกว้างใหญ่ พร้อมด้วยแพลตฟอร์มสุดพิเศษ ME ให้ทั้งความปลอดภัยและสามารถเชื่อถือได้ โดยมี 2 ทางเลือก ทั้ง มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 35 กิโลวัตต์ แรงบิต 125 นิวตัน-เมตร ความจุแบตเตอรี่ Lithium 30.7 kWh วิ่งได้ 310 กม./ชาจ์ และ 33 kWh วิ่งได้ 351 กม./ชาร์จ ความเร็วสูงสุด 102 กม./ชม.
จากต้นแบบที่เผยไปเมื่อปีกลาย และเวอร์ชั่นขายจริงพร้อมที่จะขายเปิดตัวกลางปีนี้สำหรับทั่วโลก ผนวกกับมีการทดสอบพรางตัวในเมืองไทยทำให้มั่นใจคนไทยจะได้พบกับเก๋งยอดนิยม เจนที่ 11 คล้ายละม้ายกับต้นแบบและกับรุ่นพี่ Honda Accord ตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์คล้ายปีกนกแนวยาวสอดรับกับไฟหน้า LED ดีไซน์สุดเฉียบพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lights) แบบ LED กันชนหน้าทรงสปอร์ตเท่ กระจกมองข้างทรงสปูน พร้อมกระจกแบบโอเปร่าให้ความหรูแนวเดียวกับรถยุโรปชั้นนำ พร้อมหลังคารถที่ลาดลงดุจรถสปอร์ตไฟท้าย LED พร้อมล้ออัลลอยลายเข้มสีดำ ภายในมีแผงคอนโซลหน้าดีไซน์เรียบง่าย พร้อมระบบความบันเทิงแบบจอสัมผัส 9 นิ้วอยู่ตำแหน่งเหนือคอนโซลหน้า รวมถึงช่องแอร์เป็นแนวยาวในช่องคอนโซลกลาง
พร้อมขุมพลังในไทยยังคงเดิมกับเคร่องยนต์เบนซิน VTEC Turbo 1.5 ลิตร L15B7 ให้กำลังสูงถึง 173 แรงม้าที่ 5,500 แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,700-5,500 รอบ/นาที เลือกได้เฉพาะเกียร์อัตโนมัติ CVTและอาจมีขุมพลังอื่นๆอย่างเช่น Hybrid มาด้วย จับตาปลายปีนี้มาทันไหม?
ตามมาด้วย เอสยูวีเพื่อคนเมืองเจนใหม่รับช่วงต่อจากเจนเดิมที่ขายยาวมานานเกือบ 10 ปี เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้า LED โคมเล็กลงฝังด้วยไฟหน้า Daytime LED รับกับกันชนหน้า ตัวรถใหญ่ขึ้น พร้อมเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่เจนที่แล้วนั่นคือ ที่เปิดประตูหลังแบบซ่อนรูปติดเสา C ยังคงสร้างตัวตนอย่างชัดเจน
สำหรับเจนใหม่ยังคงรักษาอรรถประโยชน์การใช้งานจากเจนปัจจุบันและจะมีขุมพลังเด่นทั้ง Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน VTEC Turbo 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้าถึงสองตัว dual-motor full-hybrid powertrain ส่วนเครื่องยนต์สันดาปจะมีทั้ง เครื่องยนต์เบนซิน VTEC Turbo 1.5 ลิตร
ปรับนิดปรับหน่อยแต่ปรับแล้วจ้ากับเก๋งใหญ่พรีเมี่ยม เพิ่มฟังก์ชั่นความสะดวกสบายมากขึ้น ด้านหน้าปรับในส่วนของกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ออกแบบช่องระบายอากาศให้มีความภูมิฐานด้วยแถบโครเมี่ยม 3 ชั้น ปรับดีไซน์ระบบเซ็นเซอร์เรดาร์ให้ดูสวยงามประกบกับไฟหน้า LED ดีไซน์สุดเฉียบกลมกลืนเข้ากับ พร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED ทรงกลมในชุดกันชนหน้ารูปตัว U มีการปรับในส่วนล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235 / 40 R19 และยังมีขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225 / 50 R17 ให้เลือกงานนี้จะมีการอัพออพชั่นเพิ่มในรุ่น 1.5 VTEC Turbo ด้วยหรือไม่นั้นต้องติดตามกันปีนี้
ภายในเหมือนเดิมทุกประการแต่ปรับในส่วนระบบความบันเทิงด้วยจอสัมผัส 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto เอาใจสาวก Smartphone ด้วยระบบชาร์จไร้สาย wireless smartphone charger รวมถึงย้ายช่องเสียบ USB ให้ใช้งานได้มากขึ้นจอแสดงผลเหนือคอนโซล head-up display ขนาด 6 นิ้ว เบาะนั่งทรงสปอร์ตปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าและเบาะนั่งหลัง ออกแบบที่รองขาให้ยาวขึ้น 1.9 นิ้ว ที่ใหญ่โอโถงสบายทุกการเดินทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน ใช้งานสะดวกขึ้น และมาตรวัดเรืองแสง TFT ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว
ขุมพลังเวอร์ชั่นไทยยังคงเป็นเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร direct-injection turbo 192 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และเอาใจคนรักษ์โลกด้วยเครื่องยนต์เบนซิน I-VTEC 2.0 ลิตร 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิด 175 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบ/นาที ในภาคเครื่องยนต์ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลัง 2 ตัว ให้กำลัง 184 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 315 นิวตันเมตรที่ 0-2,000 รอบ/นาที และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ให้กำลังสูงสุดทั้งระบบได้ถึง 215 แรงม้า พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT)
ปิกอัพยอดนิยม อย่าง All New ISUZU D-MAX กวาดยอดขายปิกอัพขายดีที่สุดในเมืองไทยอันดับ 1 แถมปีที่ผ่านมามีการเพิ่มรุ่นแต่ง X-Series และรุ่นตัวเตี้ยเกียร์อัตโนมัติ เอาใจคนสู้งาน วัยรุ่นสร้างตัวยุคใหม่ที่รักความสบาย ปีนี้มีความเป็นไปได้ว่า ปิกอัพพลิกโลกยอดนิยม มีการเพิ่มออพชั่นความปลอดภัยมากขึ้นโดยไฮไลต์หลักนี้หนีไม่พ้นระบบระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) พร้อมนวัตกรรมกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera ทำหน้าที่เสมือนดวงตาอัจฉริยะ คอยตรวจจับเส้นถนนและวัตถุด้านหน้าแบบ Real Time ได้อย่างชัดเจน และแม่นยำกว่ากล้องเดี่ยวแบบ Mono Camera พร้อมเรดาร์ 2 จุด และเซนเซอร์ 8 จุดรอบคัน ให้ความมั่นใจและอุ่นใจเหนือระดับยามขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go, FCW (Forward Collision Warning) ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า, AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, LDW (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน, AHB (Automatic High Beam) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ, PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด, MSL (Manual Speed Limiter) ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง, MCB (Multi-Collision Brake) ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
นอกจากนี้อาจมีการเพิ่มระบบควบคุมการทรงตัวขณะขับขี่ Trailer Sway Control (TSC) มาด้วย คาดดว่าจะติดตั้งในรุ่นท็อป M ทั้งรุ่นยกสูง Hi-Lander และ V-Cross 4ประตู ส่วนรุ่นอื่นๆทั้ง ZP,Z,L อาจมีการเพิ่มออพชั่นตามความเหมาะสม ส่วน All New ISUZU MU-X ถ้าปีนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวราคาจำหน่ายยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
Mazda
ชัดเจนแล้วว่า 21 มกราคมนี้ พบกับสปอร์ตปิกอัพเจนใหม่ All New Mazda BT-50 ปิกอัพที่มีเอกลักษณ์ในดีไซน์ ถึงแม้จะใช้พื้นฐาน All New ISUZU MU-X พร้อมขุมพลัง 3.0 190 แรงม้า และ 1.9 150 แรงม้า ออพชั่นความสบายและความปลอดภัยง่ายๆว่า D-MAX มีอะไร BT-50 มีตามแน่นอน จับตาราคาและจำนวนรุ่นย่อยจะตรงใจสิงห์รถปิกอัพชาวไทยหรือไม่?
Mazda CX-5, Mazda CX-8 improvement
2 เอสยูวียอดนิยมมีการปรับเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ หน้าตายังคงเดิม แต่ปรับจอสัมผัสใหญ่ขึ้นเป็น 8.8 และ 10.25 นิ้ว ด้านขุมพลังอาจได้เห็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร SKYACTIV-D รหัส SH-VPTS พัฒนาใหม่อัพพลังมากขึ้นเป็น 200 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ทั้ง 2.0 2.5 และ 2.5 Turbo ยังคงขายต่อไป
เก๋งรุ่นใหญ่ในเจเนอเรชั่นที่ 7 เปิดตัวในไทยคงหนีไม่พ้นรุ่นฐานล้อยาว V223 จะกลายเป็นต้นแบบให้กับเก๋งในค่ายอย่าง Mercedes-Benz C-Class และ Mercedes-Benz E-Class ได้เจริญรอยตาม ด้านหน้าสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นผ่านกระจังหน้าแนวนอน 3 ชั้นพร้อมกรอบโครเมี่ยมขนาดใหญ่ แต่ ไฟหน้าแบบ Digital Light LED มีการปรับขนาดโคมไฟให้เล็กและเรียวขึ้นกว่าเดิมพร้อมความสว่างที่กว้างไกลกว่าเดิม ในชุดกันขนหน้าดีไซน์ใหม่นเน้นความสปอร์ต ถึงจะเผยแค่ด้านหน้าอย่างเดียวต่าข้อมูลคร่าวๆยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยด้านหลังดีไซน์ไฟท้าย LED แบบเดียวกับ Mercedes-Benz E-Class รุ่นปรับโฉม ครอบทับด้วยกรอบโครเมี่ยมใต้ป้ายทะเบียน ถัดลงมาเป็นกันชนหลังดีไซน์เท่ พร้อมกรอบท่อไอเสียคู่ 2 ฝั่ง ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/40 R20 และใหญ่สุด 21 นิ้ว
ภายในฉีกความเป็น S-Class เดิมๆออกไปด้วยแผงคอนโซลหน้าดีไซน์ล้ำอนาคตได้แรงงบันดาลใจมาจากเรือยอร์ชสุดหรูจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.8 นิ้วแนวตั้ง OLED รวมการทำงานของเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ 4 จุด กับระบบความบันเทิง MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เอาไว้ด้วยกัน พร้อมลำโพงคุณภาพ Burmester รอบคัน 31 ลำโพง แบบ 4 มิติ high-end 4D surround sound เบาะนั่งหนังแท้คุณภาพ ARTICO Nappa และห้องโดยสารด้านหลังมีพื้นที่สบายขึ้น พร้อมระบบมอเตอร์ที่ควบคุมเบาะนั่งรวมทั้งหมด 19 ตัว ประกอบด้วย 8 ตัวสำหรับปรับองศา 4 ตัวสำหรับนวด 5 ตัวสำหรับระบายอากาศ 1 ตัวสำหรับดันหลัง และ 1 ตัวสำหรับปรับหน้าจอของเบาะ
ขุมพลังที่จะเปิดในไทยคาดยังคงเดิมทั้ง ดีเซลเทอร์โบ 6 สูบแถวเรียงและอินเตอร์คูลเลอร์ 3.0 ลิตร OM656 286 แรงม้าที่ 3,400–4,600 รอบ/นาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่1,200 – 3,200 รอบ/นาที ในรุ่น S350 d และ ขุมพลัง Plug-In Hybrid 3.0 ลิตร Twin turbocharging 367 แรงม้า ซึ่งเมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 476 แรงม้าในรุ่น S 560 e
Mercedes-Benz E-Class Facelift
คู่รักคู่แค้นของ BMW 5 Series ที่ปรับโฉมไล่เลี่ยกันหล่อเหลายกชุดมาจาก Mercedes-Benz CLS ไม่ว่าจะปรับดีไซน์กระจังหน้าพร้อมโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่ สปอร์ตมากขึ้น ไฟหน้า MULTIBEAM LED โคมใหม่ พร้อม ไฟ daytime แบบ LED รูปตัว L สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน รวมถึงกันชนหน้าใหม่ลงตัวสปอร์ตมากขึ้น ฝากระโปรงออกแบบใหม่รับกับบุคลิกที่ลงตัว พร้อมไฟท้ายใหม่แบบ LED ออกแบบรับกับฝาท้ายที่สปอร์ตงดงาม ภายในใหม่ ทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์ใหม่สปอร์ตแบบ 3 ก้าน มาตรวัดขนาดใหญ่พร้อมจอสัมผัสในชุดเดียวกันแบบ 12.3 นิ้วพร้อม MBUX (Mercedes-Benz User Experience)ลำโพงชุดใหม่รอบทิศทาง Burmester พร้อมเบาะนั่งหนังแท้ลวดลายใหม่ ทั้งแบบ ARTICO Nappa
เวอร์ชั่นไทยยังคงมีทั้ง EQ และดีเซลทั้ง เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร พ่วงพลัง Plug-In Hybrid ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 122 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 441 นิวตันเมตรที่ 1,300-4,000 รอบ/นาที เมื่อทำงานร่วมกันให้พลังมาก 315 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร เลือกได้แบบขับหลัง ในรุ่น E300e และดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรในรุ่น E220d และ Mercedes-AMG E53 มาพร้อมเบนซินเทอร์โบ 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร 435 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตันเมตร พร้อมระบบ Mild Hybrid เสริมความแรงและประหยัดประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 48V electrical system และ EQ Boost starter generator สามารถเสริมกำลังเครื่องยนต์ได้ ถึง 22 แรงม้า รองรับการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดถึง 250 นิวตันเมตร เสริมทัพในตระกูล E-Class ปรับโฉม
อีกหนึ่งยานยนต์สายพันธุ์ยุโรปที่กำลังไปได้สวยกับยอดขายเอสยูวีเล็ก MG ZS กับ MG HS งานนี้เพื่อเป็นการต้อนรับน้องใหม่ร่วมชาติอย่าง Great Wall ที่เตรียมเปิดตลาดกระบะ ด้วยการส่งปรับครั้งใหญ่ MG Extender Facelift ที่ตอนนี้วิ่งทดสอบอยู่ที่เมืองจีน กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่พร้อมโลโก้ตัวหนังสือ Maxus ขนาดใหญ่รับกับไฟหน้า LED โคมเล็ก รับกับกันชนหน้าทรงใหม่ ด้านข้างเน้นความเรียบง่ายแต่แฝงปด้วยความบึกบึนพร้อมราวหลังคากับสปอร์ตบาร์ดีไซน์เข้ารูปให้เลือก และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลายใหม่พร้อมยาง 255/60 R18 ส่วนด้านท้ายคาดว่ามีการปรับเปลี่ยนเช่นกันทั้งดีไซน์ฝาท้ายและไฟท้ายใหม่ แต่ทั้งหมดนี้ปรับโฉมใหม่ในบอดี้เดิม
ภายในปรับเปลี่ยนใหม่หมด พร้อมขุมพลังเดิม เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 163 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,400 รอบ/นาที และลุ้นว่าเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร ที่ให้แรงดันคอมมอนเรลมากถึง 2000 บาร์ 218 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,400 รอบ/นาที มาไทยด้วยหรือไม่
Nissan Navara Single Cab Facelift
หลังเปิดตัวที่เม็กซิโกเป็นที่แรกของโลกไปงานนี้เมืองไทยมีโอกาสสูงที่จะเปิดตัวเช่นกัน หน้าตาแบบเดียวกับรุ่นปรับโฉมทั้ง กระจังหน้าแบบ ‘Interlock’ ใหม่ โดดเด่นด้วยโลโก้นิสสัน ขนาดใหญ่และท้ายของรถกระบะ มาพร้อมไฟหน้ามัลติรีเฟลกเตอร์ใหม่ ให้ความกระฉับกระเฉง เสริมความเท่และมีสไตล์ ด้วยกระทะล้อขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 195R15C ไฟท้ายสีขาวแดง และเอกลักษณ์เด่นด้วยที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้าง พร้อมขุมพลังเดิมดีเซลเทอร์โบแปรผัน 2.5 ลิตร รุ่น YD25DDTI Mid Power ให้กำลังแรงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3600 รอบต่อนาที แรงบิด 403 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ทั้ง 2 ขนาดจับคู่กับระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เลือกได้ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ
หลังจากเปิดตัวให้ชาวตะวันออกลางได้เชยชมกัน งานนี้พี่ไทยมีสิทธิ์ได้เจอด้วยเช่นกัน เป็นการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 3 ปี ด้วยกระจังหน้ากระจังหน้ารูปตัววี หรือ V Motion ขนาดใหญ่รวมถึงกันชนหน้าดีไซน์ใหม่เป็นหนึ่งเดียวพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED เท่ด้วยไฟหน้า Quad LED ดวงใหญ่ 2 ดวง พร้อมไฟ DRL LED ในโคมเดียวกัน ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 255/65 R17 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/60 R18 ด้านท้ายดีไซน์ใหม่ด้วยขอบโครเมี่ยมเหนือโลโก้ Nissan กับไฟท้าย LED ใหม่และ เสาอากาศครีบฉลาม ติดตั้งช่องระบายอากาศทรงเดียวกับคู่แข่งจากแดนมะกัน ติดตั้งซ้าย-ขวา บังโคลน
ภายในเปลี่ยนใหม่หมดด้วยแผงคอนโซลหน้าที่ลืมของเก่าไปได้เลย เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาพร้อมแอร์บนหลังคา มาตรวัดเรืองแสงใหญ่หน้าจอสีแสดงผลสามมิติแบบ TFT ความละเอียดสูง ขนาด 7 นิ้วพร้อมจอแสดง Off-Road Meter จอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว อินโฟเทนเมนท์ Nissan Connect เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับรถได้อย่างราบรื่น ฟังเพลงผ่าน Bluetooth, ระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) พร้อมระบบนำทาง (Navigation system) และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน ดีไซน์สหกรณ์
และขุมพลังเดิมดีเซล 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ในรุ่น YS23DDTT จับคู่กับระบบส่งกำลังทั้ง เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ระบบขับเคลื่อนมีทั้งรุ่น 2WD และรุ่น 4WD ช่วงล่างหลัง Five-link rear suspension พัฒนาพร้อมคอยล์สปริง 2 ขั้น ให้ความนุ่มนวลไม่แพ้รถเก๋ง และระบบความปลอดภัยแบบเดียวกับกระบะ Navara facelift
เก๋งเล็กท้ายตัดเจเนอเรชั่นที่ 3 เน้นดีไซน์สปอร์ตมากขึ้น ใหญ่ขึ้นทุกมิติ และยังเป็นว่าที่ Eco-Car เฟส 2 ของไทยโดยคล้ายกับ Nissan Ariya ตั้งแต่ชุดกระจังหน้า V-motion รูปทรง “โล่ หรือ shield” อันเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่น ประกบกับไฟหน้า LED 4 ดวง Four-Lens ล้ออัลลอยให้เลือกทั้งขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 185/65R15 และ 16 นิ้ว พร้อมยาง 185/60R16 พร้อมด้านท้ายเท่ด้วยไฟท้าย LED รมดำ
ภายในใหม่หมดมีความคล้ายกับ Nissan X-Trail เจนใหม่ ตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน มาตรวัดขนาดใหญ่เป็นแบบ Full Digital LCD 12.3 นิ้ว พร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 9 นิ้ว รองรับระบบนำทาง ที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันไม่ละสายตาขณะขับขี่ สบายด้วยเบาะนั่ง 5 ที่นั่ง แบบ Zero Gravity คั่นกลางด้วยกล่องคอนโซลกลางแนวยาวเป็นชิ้นเดียวเสริมความสวยงามลงตัว และที่ยั่งด้านหลีงขนาดใหญ่โล่งโปร่งสบาย
ขุมพลังเป็นขุมพลัง e-Power เบนซิน HR12DE พัฒนาใหม่ 1.2 ลิตร 82 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 103 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับชุดแบตเตอร์รี่ Lithium-ion ขนาด 1.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง พ่วงเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส EM47 โดยให้กำลังสูงถึง 116 แรงม้าที่ 2,900-10,341 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตรที่ 0-2,900 รอบ/นาที และเตรียมลุ้นว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 3 สูบ รหัส HRA0 ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้าที่ 5,000 รอบ/นาที มีแรงบิดถึง 152 นิวตันเมตร 2,400 -4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic จำหน่ายควบคู่กับเครื่องยนต์ e-Power หรือไม่ต้องติดตาม
ปีนี้พร้อมแล้วกับการเปิดราคาของ Peugeot 2008 เอสยูวีเล็กจากเมืองน้ำหอม ประกอบจากมาเลเซียขายในราคาเร้าใจคาดว่าเริ่มต้น 9 แสนปลาย ถึง ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เวอร์ชั่นไทยแน่นอนแล้วว่าเป็น เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.2 ลิตร PureTech 130 แรงสุด 131 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมออพชั่นเด่นทั้ง ไฟหน้า Fulll LED แบบ กรงเล็บสิงโต “triple-claw” 3 เส้น กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ สิงห์เขย่งขา ไฟท้าย LED แบบกรงเล็บสิงโต ‘lion claws’ พร้อมท่อไอเสียปลายเดี่ยว 2 ข้าง พร้อมล้ออัลลอยทูโทนตั้งแต่ขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 215/65 R16 ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/60 R17 และใหญ่สุดขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 215/55 R18 ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์ม Common Modular Platform (CMP) พร้อมออพชั่นล้ำสมัยแบบ ‘i-Cockpit 3D’ ด้วยจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ 10 นิ้ว พร้อมเฮด-อัพดิสเพลย์อเนกประสงค์ แบบดิจิตอล 3 D แสดงข้อมูลหลากหลายและอาจได้เห็นการปรับโฉมครั้งแรกของ Peugeot 3008 กับ 5008 และอาจมีรุ่นใหม่เสริมตลาดมาอีก 1 รุ่น
ประเดิมปีวัวกับรถรุ่นใหม่เริ่มที่ เอสยูวี เล็กเอาใจคนเมืองหัวใจลุยเป็นส่วนใหญ่ เริ่มที่กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม สไตล์เดียวกับรุ่น Outback เจนใหม่ ไฟหน้า Projector แบบ LED เวอร์ชั่นใหม่ กันชนหน้าครอบทับด้วยชุดแต่งลุยสีดำที่โหดกว่าครั้งไหนๆพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED คิ้วขอบล้อใหม่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมล้ออัลลอยเลือกได้ 2 ขนาดตั้งลาย 17 นิ้วพร้อมยาง 225/60 R 17 และขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/55 R 18 ด้านท้ายยังคงเดิม พร้อมไฟท้ายสปอร์ตขาว-แดง LED รับกับกันชนหลังเสริมชุดแต่ง ขุมพลังคงเดิมขนาด 2.0 ลิตร FB20 Boxer พร้อมระบบ Direct Injection 2.0 ลิตร 156 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT แบบ 7 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบสมมาตรตลอดเวลา Symmetrical all-wheel drive เสริมด้วยระบบ X-MODE จับตา Subaru EyeSight หรือระบบสนับสนุนการขับขี่ด้วยฟังก์ชั่นหลากหลายช่วยผู้ขับขี่สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัย ใช้การตรวจจับด้วยกล้อง จะมาบรรจุในรุ่นนี้ด้วยหรือไม่
แวก้อนสปอร์ตเจนใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Bold Design ตั้งแต่ กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมรับกับชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ตพร้อมไฟหน้าและไฟตัดหมอก LED กับไฟ Datytime แบบ LED horizontal พร้อมสคูพดักลมบนฝากระโปรงรถ หลังคารถที่ลาดลง และ เสา D ออกแบบใหม่ พร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ที่มีตั้งแต่ขนาด 17 นิ้ว 10 ก้านทูโทน พร้อมยาง 215/50 R17 และขนาด 18 นิ้วทูโทนที่มีให้เลือกถึง 2 ลาย พร้อมยาง 225/45 R18ตัวถั้งรถยังคงใช้แพลตฟอร์มใหม่ Subaru Global Platform พื้นฐาน Impreza และตัวรถใหญ่ขึ้นทุกมิติ ภายในยังคงเอกลักษณ์ 5 ที่นั่งแบบสบายๆด้วยการออกแบบคอนโซลหน้าทันสมัยตั้งแต่มาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ระบบความบันเทิงแบบจอสัมผัสขนาดใหญ่ 11.6 นิ้ว แบบ tablet-style infotainment display รวมการทำงานของเครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศ Dual Zone ไว้ในที่เดียวกัน พร้อมขุมพลังใหม่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Boxer 1.8 ลิตร DIT รหัส CB18 ให้กำลังสูงถึง 177 แรงม้าที่ 5,200-5,600 รอบ/นาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,600-3,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติพัฒนาใหม่ Lineartronic CVT 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เลื่องชื่อ Symmetrical All Wheel Drive
อีกหนึ่งรุ่นที่มีแววเข้าไทยหลังได้รับการตอบรับอย่างดี ทรงเอสยูวียกสูง ผสมผสานกับแพลตฟอร์ม Subaru Global Platform (SGP) เกิดความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบในร่างแวก้อนยกสูง หน้าตาบ่งบอกถึงความถึกทน ดุดันสไตล์ SUV ด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม ไฟหน้า LED พร้อมไฟ DRL LED รูปตัว C ในโคมเดียวกัน กระจกมองข้างดีไซน์ใหม่ออกแบบติดขอบกระจกไฟท้าย LED ชุดแต่งรอบคันพร้อม คิ้วขอบล้อ ล้ออัลลอยลายใหม่สีเข้ม เลือกไดทั้งขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 225/65R17 และ 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/60R18 และแร็คหลังคา ภายในยกดีไซน์ Subaru Legacy เจนใหม่มาปรับใช้เข้ากับตัวตนแห่งการผจญภัย ทั้ง คอนโซลกลางที่มีจอสัมผัสแนวตั้งความชัดสูงแบบ HD ขนาดใหญ่ 11.6 นิ้ว เป็นศูนย์การทำงานของเครื่องปรับอากาศ วิทยุ ระบบนำทางเป็นต้น คันเกียร์อัตโนมัติออกแบบใหม่ ใกล้แผงคอนโซลกลางมากขึ้น เป็นต้น
ขุมพลังยกชุดจาก Subaru Legacy เจนใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน Boxer 2.5 ลิตร รหัส FB25DI พร้อมฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงตรง direct injection สร้างกำลังสูง 188 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิด 245 นิวตันเมตรที่ 3,400-4,600 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive พร้อมระบบ Subaru EyeSight หรือระบบสนับสนุนการขับขี่ด้วยฟังก์ชั่นหลากหลายช่วยผู้ขับขี่สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัย ใช้การตรวจจับด้วยกล้อง
เมื่อ Honda Accord ขยับปรับโฉมมีหรือที่ Toyota Camry จะไม่ปรับด้วย แต่การปรับครั้งนี้ปรับเล็กๆน้อยทั้งภายนอกและภายในไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าทรงสปอร์ตพร้อมไฟหน้าทรงเดิมแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light กันชนหน้าใหม่ออกแบบให้สปอร์ตมากขึ้น พร้อมช่องระบายอากศออกแบบใหม่รับกับคิ้วโครเมี่ยมขอบซ้าย-ขวา ไฟท้าย LED รับกับกันชนท้ายใหม่เสริมลุคส์สปอร์ตด้วยพร้อมล้ออัลลอย 18 นิ้วลายใหม่ พร้อมยาง 235/45 R18 และขนาด 17 นิ้วใหม่พร้อมยาง 215/55R17
ภายในมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยตรงบริเวณจอสัมผัสขนาดกับช่องแอร์มีการสลับตำแหน่งกันโดยจอสัมผัสขนาดใหญ่ไปอยู่ตำแหน่งอยู่ด้านบนสุดโดยมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 7 กับ 9 นิ้ว รองรับ Android Auto และ Apple และเวอร์ชั่นไทยอาจมีแนวนโน้มที่จะเห็นขุมพลัง Dynamic Force ครบไลน์จากเดิมจะมีทั้ง 2.5 ลิตร Hybrid 211 แรงม้า และ 2.5 ลิตร 206 แรงม้าแล้ว อาจเปลี่ยนเครื่องยนต์ 2.0 เดิมในรหัส 6AR-FBS เป็น 2.0 Dynamic Force Engine รหัส M20A-FKS ผลิตกำลังได้ 170 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาทีแรงบิด 202 นิวตันเมตรที่ 4,400- 4,800 รอบ/นาที พร้อมระบบฉีดจ่ายน้ำมันโดยตรง D-4S direct injection และควบคุมการเปิด-ปิด วาลว์ไอดี VVT-iE electric variable valve timing จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ Direct Shift
ทั้งหมดนี้คือรุ่นรถยนต์ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการและคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวภายในปี 2021 อาจมีะรถที่คุณชอบรถและใช่จะมาให้ได้สัมผัสเป็นเจ้าของกันอย่างสมบูรณ์แบบ งานนี้รักใครชอบใครเตรียมกำเงินจองไว้ให้ดี
หลังจากเปิดตัว New Volvo XC40 Recharge ในรูปแบบ Plug-In Hybrid กับ Volvo S90 Recharge รุ่นปรับโฉม และรวมถึงรุ่นในสังกัดเกือบทั้งหมดให้จำหน่ายแต่รุ่น Plug-In Hybrid เท่านั้น ทำให้ค่ารถยนต์จากเมือง โกเธนเบิร์ก สวีเดน พร้อมสู้รบทุกทาง และคาดว่าปีนี้จะมี การเพิ่มทางเลือกใหม่และเป็นครั้งแรกของค่ายกับ New Volvo XC40 Recharge Electric EV 100 % ภายนอก คล้ายกับรุ่น XC40 ปกติหล่อตั้งแต่ การใช้ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/50 R19 และ 20 นิ้วพร้อมยาง 245/45R20 กระจังหน้าพร้อมโลโก้ Iron Mark แบบไส้ในปิดทึบไม่มีเส้นแนวนอน ออกแบบแนวใหม่ที่พร้อมสะกดทุกสายตา ไฟหน้าทรงค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์ Thor’s Hammer แบบ LED ฝากกระโปรงหน้าดีไซน์แตกต่างจากรุ่นอื่นในตระกูล XC บั้นท้ายที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นยาว พร้อมไฟท้าย L Shaped แบบ LED หลังคาแบบ Panoramic Sunroof เพื่อการนำแสงธรรมชาติเข้าสู่ห้องโดยสาร ฝากระโปรงหน้าเปิดมากลายเป็นที่วางสัมภาระ 30 ลิตร และช่องชาร์จไฟที่เสา C
ภายในเหมือนกับรุ่นปกติ ด้วยรายละเอียดการตกแต่งที่สวยงามเพื่อเสริมความสง่างาม เพียบพร้อมด้วยระบบจัดเก็บสัมภาระที่ยอดเยี่ยม พื้นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีอัจฉริยะอื่น อาทิ สเตชั่นสำหรับชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ระบบเสียงชั้นนำระดับพรีเมียมจากแบรนด์ Harman Kardon สรรค์สร้างประสบการณ์การฟังเพลงอันน่ารื่นรมย์ ติดตั้งจอสั่งการแบบทัชสกรีนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน 9 นิ้ว สามารถลากนิ้วและแตะเพื่อสั่งงานระบบนำทางผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างง่ายดายเสมือนการใช้อุปกรณ์แท็บเล็ตทั่วไป ระบบสั่งการด้วยเสียง และมาตรวัดอันทันสมัย แบบจอสี TFT ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ แต่ในรุ่น Recharge EV 100 % ออพชั่นจะต่างกันที่มาตรวัดจอสีพร้อมระบบความบันเทิงด้วยระบบปฎิบัติการ Android ที่มีความเด่นตรงที่สามารถอัพเดทผ่านทาง OTA (over-the-air)
รุ่น Recharge Electric มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่แบบ Dual electric permanent magnet synchron front and rear motors ขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ AWD รหัส E400V6 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 78 กิโลวัตต์ชั่วโมงให้กำลังสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิด 660 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 4.9 วินาที สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 400 กิโลเมตร/การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง รองรับการชาร์จเร็วจาก 0-80% ได้ใน 40 นาทีและติดตั้งระบบความปลอดภัย Advanced Driver Assistance System (ADAS)
เรื่อง เรียบเรียงโดย นายเต้ย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com