รถมือสองในตำนาน!! ISUZU Trooper เอสยูวีรุ่นเดอะที่ครั้งหนึ่งอีซูซุก็เคยมีรถแบบนี้ทำตลาดในไทย
- โดย : Autodeft
- 24 พ.ค. 64 00:00
- 20,429 อ่าน
นับตั้งแต่ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์หรือรถตรวจการณ์ (เอสยูวี) ได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทย ในช่วงยุค 90 เริ่มเห็นค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นเร่มส่งรถยนต์กลุ่มนี้เข้าทำตลาดและกลายเป็นรถคันที่สองต่อจากรถยุโรปที่ใช้ในชีวิตประจำวันพื่อตอบโจทย์ผู้นำนักธุรกิจที่ต้องการรถเพื่อใช้งานในทุกเส้นทางไม่ว่าจะทางเรียบทางโหด โดยหนึ่งในรถที่คนไทยรู้จักก็คงหนีไม่พ้น ISUZU Trooper
ภาพโดย กันต์ ชมพูนุช
สำหรับ ISUZU Trooper เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ในหรหัส UBS เปิดตัวที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1992 สำหรับเมืองไทยเป็นครั้งแรกที่นำเข้ามาจำหน่าย (นำเข้าโดย บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด) ในปี 1993 ซึ่งเปิดตัวตามหลังตลาดโลกเพียงปีเดียว รุ่นที่นำมาขายนั้น เป็นรุ่น 5 ประตูฐานล้อยาวรุ่น XS หน้าตาหรูหราดุจรถลักชัวรี่ในร่างยกสูงก้วยกระจังหน้าโครเมี่ยมลายซี่ๆพร้อมตราตัวหนังสือ ISUZU ประกบกับไฟหน้า ฮาโลเจนแบบเต็ม กับกันชนหน้าสีเทาเข้มพร้อมไฟตัดหมอก ที่ปัดน้ำฝนในชุดไฟน้า ล้ออัลลอยลาย 6 ก้านดีไซน์ล้ำยุคจากต้นแบบอีซูซุ ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 245/70R16 แบบ H/T กระจกมองข้างโครเมี่ยมปรับพับด้วยระบบไฟฟ้า ที่เปิดประตูโครเมี่ยม พร้อมกรอบกระจกโครเมี่ยม ไฟท้ายแนวตั้งพร้อมประตูท้ายที่สามารถเปิดได้ 2 บานแบบตู้กับข้าวแบบ 70:30 และยางอะไหล่ห้อยท้าย
มิติตัวรถมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับคู่แข่งในยุคนั้น ตั้งแต่ความยาว 4,545 มม. ความกว้าง 1,745 มม. ความสูง 1,840 มม. ฐานล้อ 2,760 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 215 มม. และน้ำหนักรถ 1,991 กก.
ภายในใหญ่โตเน้นความหรูหราผสมกับอรรถประโยชน์ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซลหน้าดีไซน์เหลี่ยมพร้อมความเด่นของสวิตช์กลมๆ คู่ 2 ฝั่ง ที่ควบคุมการทำงานของไฟหน้า ไฟฉุกเฉิน ปรับระดับความสว่างของมาตรวัด พวงมาลัยทรงสปอร์ต 3 ก้านดีไซน์เดียวกับ ISUZU มังกรทอง พร้อมออพชั่นอำนวยความสะดวกมากมายทั้งเครื่องปรับอากาศ วิทยุ-เทป พร้อมลำโพง 4 จุดและเสาอากาศไฟฟ้า เบาะนั่ง 7 ที่นั่งทรงใหญ่โตที่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ รวมถึงเบาะนั่งตอน 2 กับตอน 3 ที่สามารถปรับเอน พับได้แบบ 60:40 ในตอน 2 และ 50:50 ในตอน 3 ลักษณะแขวนติดเสา C กับ D หุ้มด้วยวสัดุผ้ากำมะหยี่ ไฟส่องแผนที่ กระจกไฟฟ้าเซ็นทรัลล็อกทุกทบาน
โดยได้รับความนิยมมาตลอดจนกระทั่งในปี 1995 มีการเปิดตัวรุ่น Facelift เป็นการปรับโฉมครั้งแรก โดยปรับในส่วนของกระจังหน้าโครเมี่ยมดีไซน์ใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่แบบ 10 ก้าน พร้อมยางขนาดเดิม 16 นิ้วรวมถึงมีการนำสีทูโทนเพิ่มสีสันให้เท่เร้าใจจากเดิมที่มีแค่สีเดียว ส่วนภายในมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีการเปลี่ยนดีไซน์แผงคอนโซลหน้าจากแบบเหลี่ยมๆมาเป็นโค้งมน พร้อมช่องแอร์กลางถึง 3 ช่อง พวงมาลัยพาวเวอร์ 4 ก้าน หุ้มหนังปรับระดับได้ รวมถึงเพิ่มระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control กับออพชั่นเดิมทั้ง ทั้งเครื่องปรับอากาศ วิทยุ-เทป พร้อมลำโพง 4 จุดและเสาอากาศไฟฟ้า เบาะนั่ง 7 ที่นั่งทรงใหญ่โตที่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ รวมถึงเบาะนั่งตอน 2 กับตอน 3 ที่สามารถปรับเอน พับได้แบบ 60:40 ในตอน 2 และ 50:50 ในตอน 3 ลักษณะแขวนติดเสา C กับ D หุ้มด้วยวสัดุผ้ากำมะหยี่ ไฟส่องแผนที่ กระจกไฟฟ้าเซ็นทรัลล็อกทุกทบาน ในรุ่น LS
หลังจากนั้นในปี 1997 มีการปรับรุ่นย่อยถึง 3 รุ่นด้วยกัน เริ่มที่รุ่น SE หรือ Super Elegance จำหน่ายเพียงแค่สีขาวทูโทนเท่านั้น พร้อมเปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นแบบลาย BBS 16 นิ้ว ตัวอักษรโลโก้สีทอง ทั้ง ISUZU V6 Trooper และ SE บันไดข้างขึ้นรูป ไฟเบรกดวงที่ 3 ฝาครอบยางอะไหล่ ภายในหุ้มแท้ทั้ง 7 ที่นั่ง พร้อมวิทยุและ CD กับทีวีจอเล็กพับเก็บได้ ลายไม้หรูหล่อที่คอนโซลหน้า หัวเกียร์ และมีมาตรวัดอเนกประสงค์กับถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นออพชั่นมาตรฐาน รวมถึงยังแนะนำรุ่น LS Limited กับ LS Sport ออกจำหน่ายโดยรุ่น LS Limited มีการเพิ่มออพชั่นมาทั้งชุดแต่งลายไม้ เบาะนั่งหนังแท้ คิ้วกันสาด คิ้วขอบประตู บันไดข้าง สัญญาณกะระยะการจอดด้านหลัง ฝาครอบบยางอะไหล่และกระจกส่องมุมด้านข้างตัวรถด้านซ้าย ส่วนรุ่น LS Sport ยังคงเดิม
หลังจากนั้นในปี 1999 มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 โดยงานนี้เปลี่ยนแค่เปลือกนอกเท่านั้นตั้งแต่ ฝากระโปรงบังโคลนหน้ารถซ้าย-ขวา กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าฮาโลเจนใหม่ คิ้วขอบล้อขึ้นรูปใหม่ ภายในเข้มด้วยเบาะนั่งกำมะหยี่สีดำ (เบาะนั่งหนังแท้เป็นออพชั่นเสริม)แถมเปลี่ยนดีไซน์มาตรวัดเป็นแบบบันทึกระยะทางด้วยดิจิตอล และออพชั่นเดิมทั้ง พวงมาลัยพาวเวอร์ 4 ก้าน หุ้มหนังปรับระดับได้ ระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control เครื่องปรับอากาศ วิทยุ-เทป พร้อมลำโพง 4 จุดและเสาอากาศไฟฟ้า เบาะนั่ง 7 ที่นั่งทรงใหญ่โตที่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ รวมถึงเบาะนั่งตอน 2 กับตอน 3 ที่สามารถปรับเอน พับได้แบบ 60:40 ในตอน 2 และ 50:50 ในตอน 3 ลักษณะแขวนติดเสา C กับ D หุ้มด้วยวสัดุผ้ากำมะหยี่ ไฟส่องแผนที่ กระจกไฟฟ้าเซ็นทรัลล็อกทุกทบานและมีการตัดรุ่นย่อยเหลือรุ่นเดียวคือ SE
ช่วงปลายปี 2000 มีการปรับปรุงเล็กน้อยโดยเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่อีกครั้ง รวมถึงเปลี่ยนไฟท้ายเป็นสีขาวแดง พร้อมเปลี่ยนภายในเป็นแบบสีเบจ และในปี 2001 มีการเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมา รวมถึงมีการปรับอุปกรณ์บางอย่างให้เหมาะสมโดยมีทั้งเบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า เครื่องเสียงพร้อม CD 6 แผ่นย้ายตำแหน่งมาเปลี่ยนในช่องคอนโซลหน้าแทนกล่อง CD แม็กกาซีนที่ซ่อนใต้เบาะ รวมถึงช่องเสียบอุปกรณ์ชาร์จ ที่วางแก้น้ำในที่พักแขนตอน 2
สำหรับขุมพลังที่จำหน่ายในไทยมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 รหัส 6VD1 SOHC 3.2 ลิตร 177 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ 3,750 รอบ/นาที ทำงานด้วยระบบหัวฉีดอิเลคทรอนิกส์ ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 3,165 ซีซี ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชัก 93.4/77 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 9.3 ต่อ 1 จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและยังมีเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมโอเวอร์ไดร์ฟให้เลือก และขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time 4WD กับเฟืองท้าย Limited Slip และเพิ่ม Shift-on-the-fly โดยเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อน 2H เป็น 4H โดยไม่ต้องหยุดรถในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.มาในรุ่นปรับโฉมปี 1995-1999
ในปี 1999-2003 มีการพัฒนาเครื่องยนต์เบนซิน V6 6VD1 ขนาด 3.2 ลิตร พัฒนาแบบ DOHC พร้อมเพิ่มพลังเป็น 205 แรงม้าที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิด 284 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบ/นาที ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชักเท่าเดิม 93.4/77 มม. แต่อัตราส่วนกำลังอัดลดลงเหลือ 9.1 ต่อ 1 และเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลเจ้าแรกของไทยในยุคนั้น ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JX1-TC 159 แรงม้าที่ 3,900 รอบ/นาที แรงบิด 333 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชักเท่าเดิม 95.4/ 104.9 มม. แต่อัตราส่วนกำลังอัดลดลงเหลือ 19.0 ต่อ 1 โดยทั้ง 2 ขนาดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time 4WD กับเฟืองท้าย Limited Slip และ Shift-on-the-fly โดยเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อน 2H เป็น 4H โดยไม่ต้องหยุดรถในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.ด้วยระบบไฟฟ้าเพียงกดปุ่ม และเปลี่ยนมาใช้ 4L ที่เกียร์ฝากข้างเกียร์หลักและในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน V6 มีระบบ TOD ระบบแบ่งกระจายการทำงานของล้อหน้ากับล้อหลังโดยอัตโนมัติให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางที่ต่างกัน
ระบบช่วงล่างด้วยด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมทอชั่นบาร์ ส่วนด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริง 4 จุด มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง และ โช้กอัพแก๊ส หน้า-หลังให้ความนุ่มนวลแบบรถหรูถึงจะมีอาการดีดบ้างในบางครั้ง ระบบห้ามล้อ มาเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ แบบมีครีบระบายความร้อนพร้อมระบบเบรก ABS ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา โครงสร้างของโดยสาร ผลิตด้วยเหล็กกล้า แต่ถ้าทุกอย่างสุดวิสัยจริงๆก็ยังมั่นใจได้ด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าในรุ่น SE ตั้งแต่ปี 1997-2003 ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยตรึงคุณอยู่กับตำแหน่งเบาะนั่งเพื่อลดการกระแทกจากแรงชน โดยราคาจำหน่ายในยุคนั้นเริ่มที่ 1,500,000-2,950,000 บาท โดยบอดี้นี้จำหน่ายตั้งแต่ ปี 1993-2003
ถึงจะได้รับความนิยมแม้จะเป็นชื่อ อีซูซุ ก็ตาม จึงวางใจได้ในการบริการทั่วไทย แต่สำหรับ ISUZU Trooper ก็ยังพอมีอะไหล่ให้เปลี่ยนได้อยู่ถึงอาจจะไม่มากก็ตามสำหรับรุ่นเครื่องยนต์ V6 มีการบริโภคน้ำมันที่สาหัสเอาเรื่องจนผู้ใช้รถตัดสินใจไม่ติดแก็สก็เปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ดีเซลของ ISUZU เองโดยสามารถยกชุดจากปิกอัพ D-MAX MU-7 และ MU-X ทั้งขนาด 2.5 3.0 คอมมอนเรลได้ หรือถ้าต้องการสภาพเดิมๆทั้ง รุ่น V6 และ ดีเซล CommonRail ก็ยังได้ตามตลาดรถมือสอง ในราคาเริ่มต้น 100,000- 400,000 บาท ขึ้นอยู่กับปีรถและสภาพเท่านั้น
บทความโดย นายเต้ย
ที่มาข้อมูล บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com