เจาะใจภาษี Co2 เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ..ต่อรถใหม่ปีหน้า

  • โดย : Autodeft
  • 3 เม.ย. 58 00:00
  • 20,566 อ่าน

เจาะลึกทุกอนูโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยานยนต์ใหม่แบบ Co2 อะไรควรรีบซื้ออะไร รอได้รอ ...ทุกคำตอบ เราจัดหนักเค้นความจริงมาให้แล้ว ...

 

 

เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง

 

นับวันก็ใกล้เข้ามาทุกทีเมื่อกล่าวถึงนโยบายของทางภาครัฐที่กำลังดำเนินการเปลี่ยนบทบาทแนวคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทยแบบยกโครงสร้างใหม่หมดทั้งระบบ เพื่อสนับสนุนความคิดในแนวทางการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือที่ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการกล่าวขานว่า ภาษี  Co2

แนวทางภาษียุคใหม่นี้เรียกว่าเป็นแนวทางใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีใหม่หมด นับตั้งแต่ที่เคยมีการปรับแนวทางจากอดีตมาจนยกเครื่องโครงสร้างใหม่ในปี พ.ศ.  2558  และหลังจาก 10  ปีที่ผ่านมา เรากำลังก้าวย่างสู่เส้นทางที่เป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น

ภาษี Co2  เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้วในการทำให้รถยนต์ที่เราใช้อยู่นั้นเป็นมิตรต่อสิงแวดล้อมมากขึ้น แนวความคิดนี้เกิดข้ามานานแล้วในแถบยุโรป ผิดกับในบ้านเราที่เน้นเอาเรื่องของความฟุ่มเฟือยมาเป็นตัวตั้งก่อนบวกลบคูณหารผ่านโครงการสนับสนุนของรัฐบาล

โครงสร้างใหม่ของภาษีจัดเก็บตามการปล่อยไอเสีย หรือ  Co2 นั้น ไม่เพียงแค่ยกระดับเข้าสู่มาตรฐานสากลเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้และผู้ผลิตตระหนักมากถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมไปตามกรอบสากล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคาร์บอนเครดิตให้กับประเทศ รวมถึง แนวทางที่ก้าวล้ำ  Carbon footprint   ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ หมดทั้งกระบวนการ ก็เป็นที่มาสำคัญของการที่ไทยเราควรเข้าสู่แนวทางภาษีใหม่

 

นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้เผยในการเสวนา  “ภาษีสรรพสามิตร ตามค่าคาร์บอน (Co2)   จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างไร” ว่า การดำเนินการตามโครงสร้างภาษีใหม่นี้มีความเรียบง่ายและโปร่งใสมากขึ้น ทั้งยังทำให้เทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ มาถึงมือประชาชนอีกด้วย

“โดยในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ เป็นการคิดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ  Co2  ไม่ใช่เพียงแต่พลังงานทางเลือก แต่ยังรวมถึงเครื่องยนต์ดีเซลและรถไฮบริด ที่มีความสิ้นเปลืองและการปล่อยมลภาวะที่แตกต่างกัน”

 

ตามการเปิดเผยบนเวทีเสวนาดังกล่าวได้มีการเผยโครงสร้างภาษี ที่จะจัดเก็บใหม่ที่ทางครม.มีการอนุมัติเห็นชอบ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป

หัวใจหลักสำคัญของภาษใหม่นั้น คือการเปลี่ยนลักษณะวิธีการคิดภาษี จากเดิมที่คิดตามขนาดเครื่องยนต์หรือ ซีซี ยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละที่แพงมาก มาเป็นการจัดเก็บโดยคำนวณตามอัตราการปล่อยมลภาวะจากปลายท่อไอเสีย ส่วนประเภทรถยนต์ที่จัดเก็บนั้นยังถูกแบ่งเหมือนเดิมดังเช่นในอดีต

แนวทางการจัดเก็บภาษีในรูปแบบ  Co2  ได้แบ่งประเภทรถออกเป็นสามกลุ่มสำคัญ ทีจะต้องดำเนินการตามนโยบายใหม่ ได้แก่กลุ่มรถยนต์นั่งและรถโดยสารไม่เกิน 10 คน ,กลุ่มรถกระบะและรถอเนกประสงค์แบบกระบะดัดแปลง และรถอีโค่คาร์

 

ในกลุ่มแรก ประเภทรถยนต์นั่งและรถโดยสารไม่เกิน 10 คน เรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก และถือเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดรถยนต์ อันหมายถึงรถเก๋งและรถยนต์อเนกประสงค์ ซึ่งได้รับความนิยมในตลาดมากที่สุด วิธีการจัดเก็บอัตราภาษีใหม่ รถยนต์ประเภทดังกล่าว ถูกแบบการปล่อยไอเสียจากเครื่องยนต์ เป็น 5  ระดับสำคัญ อันได้แก่

 

ค่าการปล่อยไอเสีย

อัตราภาษีสรรพสามิตที่ต้องเสีย(%)

 

E10/E20

E85/NGV

Hybrid

น้อยกว่าหรือเท่ากับ  100 กรัม/กิโลเมตร

30

25

10

ระหว่าง 100-150 กรัม/กิโลเมตร

30

25

20

ระหว่าง 151-200 กรัม/กิโลเมตร

35

30

25

มากกว่า 200 กรัม/กิโลเมตร

40

35

30

เครื่องยนต์เกิน  3,000 ซีซี

50

50

50

 

ซึ่งแนวทางใหม่ดังกล่าว บางคนอาจจะงงกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในการซื้อรถยนต์ใหม่บ้านเรา แต่เรื่องนี้ง่ายมากเมื่อดูตามตารางเปรียบเทียบลักษณะภาษีเก่ากับ ภาษีใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในปีหน้า

ตามแนวทางใหม่นี้รถยนต์นั่งที่จะได้อานิสงค์ในการปล่อยไอเสียต่ำสุดและจะกลายเป็นรถยนต์ที่มีราคาถูกลงโดยปริยายนั้นคือรถยนต์ไฮบริดที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 10  จากเดิมที่เทียบตามซีซีเครื่องยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0  ลิตร (รถญี่ปุ่น) ต้องภาษีอัตราร้อยละ 30  หรือถูกกว่าเดิมราวๆ  20 % ของยอดภาษีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ในกลุ่มรถยนต์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปอย่างมาก ก็หนีไม่พ้นกลุ่มคอมแพ็คคาร์และซับคอมแพ็คคาร์หรือซิตี้คาร์ เดิมทีถูกจัดอยู่ในประเภทเครื่องยนต์ไม่เกิน 2000 ซีซี  เสียภาษีในอัตรา ร้อยละ  30  หากใช้ E10  ได้และร้อยละ 25 หากใช้ E20  ได้ ยิ่งถ้าใช้ E85  ได้ จะเสียในอัตราร้อยละ 22  

ในทั้งสองกลุ่มนี้ ดูเหมือนว่าผู้ผลิตจะยังมีสิทธิรับอัตราภาษีเดิมอยู่โดยการติดตั้งระบบมาตรฐานความปลอดภัย  Active Safety  เข้ามา โดยเฉพาะระบบเบรก  ABS  รวมถึงระบบควบคุมการทรงตัว VSC   หรือ  Vehicle Stability Control  แต่ยังต้องปล่อยไอเสียตามมาตรฐานกำหนด  คือไม่เกิน  150  กรัม/ กิโลเมตร

ส่วนในกรณีที่ทางผู้ผลิตไม่สามารถจะทำให้เครื่องยนต์นั้นปล่อยไอเสียตามาตรฐานกำหนด  ก็อาจจะต้องเจอการปรับการเสียเพิ่มขึ้นระหว่าง 2-40 %  หรือ หากกล่าวตามความเป็นจริง ก็น่าจะมีราคาเพิ่มขึ้นราวๆ 5,000 ไปจนถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว

 

ทางด้านรถยนต์นั่งขนาดเล็กอีโค่คาร์ เป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงค์เช่นเดียวกัน โดยแบ่งการคำนวณการเสียภาษีดังนี้

อัตราการปล่อยไอเสีย

อัตราภาษีสรรพสามิตที่ต้องเสีย(%)

 

E10/20

E85

ต่ำกว่า 100  กรัม /กิโลเมตร

14

12

101-120  กรัม /กิโลเมตร

17

17

 

ถ้ามองตามอัตราการเสียภาษีเดิมในกลุ่มนี้ที่เสียกันอยู่ที่ร้อยละ  17  ตามภาษีโครงสร้างใหม่ กลุ่มที่จะได้อานิสงค์ทันที่คือรถยนต์อีโค่คาร์ที่เข้าโครงการอีโค่คาร์เฟส 2  ซึ่งบังคับให้ผ่านมาตรฐานการปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100  กรัมต่อกิโลเมตร ส่ง ให้ลดภาษีได้ทันที   3% และในกรณีที่ใช้ E85  ได้ จะลดไปถึง   5 %

แต่โดยส่วนใหญ่อย่างที่เราทราบกันดีว่ารถยนต์อีโค่คาร์ ที่ขายในปัจจุบันยังคงเป็นรถยนต์ในเฟสที่ 1  ที่คุ้นหน้าตาดันดี ทำให้ ราคารถยนต์กลุ่มนี้น่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนรถยนต์อีโค่คาร์เฟส 2  อย่าง  Mazda  2  เอง มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงอีกเล็กน้อย ตามเงื่อนไขดังกล่าว

 

 

 

ทางด้านกลุ่มกระบะเป็นอีกกลุ่มที่มีการเปลี่ยนอย่างหนักในเรื่องของการปรับอัตราภาษี โดยเฉพาะใครที่หมายปองรถยนต์ประเภทตอนครึ้ง หรือรถที่มี  Cab   มาใช้งาน คงต้องคิดถี่ถ้วนกันใหม่ เพราะต่อจากนี้ มันถูกแยกประเภทขึ้นมาเสียภาษี จัดเก็บในอัตรา 5 %  ส่วนรถตอนเดียวจัดเก็บในอัตราเดิม 3.18% แต่รถยนต์ในกลุ่มกระบะดัดแปลง หรือ PPV   โดนจัดหนักบวกจัดเก็บเพิ่มทันที 5% จากเดิม 20 % ก็กลายเป็น 25% 

แต่ที่ได้อานิสงค์มากที่สุดคือรถ  Double cab    หรือรถกระบะสี่ประตูไม่บวกเพิ่มจัดเก็บเท่าเดิม 12 %  ในกรณีที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน  200 กรัม/ กิโลเมตร (ดูตารางเปรียบเทียบภาษีประกอบด้านบน)

นาย ณัฐกร กล่าวว่า  การแยกประเภทรถตอนครึ่ง หรือ  cab ขึ้นมาเพื่อต้องการให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไปใช้งานให้ถูกต้อง ไม่ใข่ซื้อรถตอนครึ่งไปโดยสาร ส่วนกรณีจัดเก็บกระบะดัดแปลงหรือ  PPV  เพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้คุณภาพการขับขี่มีดีเท่ารถยนต์นั่ง จึงปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จะเห็นว่ายังไม่สูงเท่า  SUV  โดยรถส่วนใหญ่ที่น่าจะทำได้ตามกฎการปล่อยไอเสียนั้น ปัจจุบัน จากการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มเครื่องยนต์  2.2-2.5  ลิตร เป็นกลุ่มที่มีแววจะผ่านมาตรฐานไอเสียมากที่สุด

 

 

แล้วควรรีบซื้ออะไร..

 

จากโครงสร้างภาษีใหม่ที่จะปรับขึ้น เราลองไปสำรวจตลาดจริงๆ ในวันนี้ดู ต้องยอมรับว่าในกลุ่มที่น่าจะมีการถ่างราคาออกไปจากเดิมนั้นเป็นกลุ่ม ซับคอมแพ็คคาร์ที่แม้จะมีมาตรฐานความปลอดภัยมาให้ก็จริง แต่ก็ปรับการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น   3 % ในกรณีที่ใช้  E85  ได้จาก   22 % เป็น   25%  ส่วนรถที่ใช้   E20  ได้นั้น มีอัตราจัดเก็บเพิ่มขึ้น   5 %  แม้ว่าจะมีระบบช่วยป้องกันอันตราย Active Safetyตามที่กำหนดแล้วก็ตามที ในขณะที่กลุ่มคอมแพ็คนั้นมีผลกระทบน้อยมาก แต่ที่ได้อานิสงค์มากที่สุด ก็เป็นรถยนต์นั่งไฮบริดที่ลดการจัดเก็บลงจากเดิม ด้วยการแบ่งเป็นกลุ่มใหม่เข้ามา

ด้านกลุ่มกระบะดูเหมือนว่ารถยนต์นั่งกระบะ Cab  นั้นจะมีเป็นกลุ่มที่มีมีการปรับตัวขึ้นทันทีไม่ว่าจะผ่านมาตรฐานไอเสียตามที่กำหนดหรือไม่ ทำนองเดียวกับรถยนต์อเนกประสงค์กลุ่มกระบะดัดแปลงที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นแน่นอน จนค่ายรถยนต์บางเจ้าที่เปิดตัวรถยนต์ใหม่เช่น   Ford  พยายามที่จะมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่มองว่าจะซื้อรถยนต์   Ford Everest   ใหม่ในงานมอเตอร์โชว์ และย้ำกับลูกค้าให้ตัดสินใจก่อนช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากน่าจะได้รับผลกระทบจากภาษีใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องยนต์ 3.2  

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่ารถยนต์บางประเภทอาจจะชอกช้ำจากการจัดเก็บฐานภาษีแบบ   Co2  ใหม่ ที่มีการปรับตัวขึ้น หรือเพิ่งโผล่มาจัดเก็บเป็นประเภทใหม่ ทว่าเจตนารมณ์ของภาษีใหม่นี้เกิดขึ้นภายใต้ความต้องการขงรัฐบาล ที่อยากทำให้คนไทยตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมและมองหารถยนต์ที่ถูกต้องต่อการใช้งานของตัวเอง

 

เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)

ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook ,Twiter (@nattayodc)        

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com

5 เรื่องน่าสนใจ