คลอดแล้ว Honda CB400 Super Four And Bol d'Or ปี 2022 Final Editions ออกสู่ตลาดในประเทศญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้น 237,000 บาท
- โดย : PR Autodeft
- 27 พ.ค. 65 00:00
- 20,803 อ่าน
โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ระหว่างรถเวอร์ชั่น Naked หรือ Half-Cowled ซึ่งจะได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 399 ซีซี
ช่างโชคร้ายเหลือเกินที่สิ่งดีๆจะต้องมีวันจบลง และนั่นก็คือความจริงของทุกๆสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่รถมอเตอร์ไซค์รุ่นอันเป็นที่รักยิ่งของเรา จากเหตุนี้เอง ทำให้ปี 2022 นั้น กลายเป็นจุดสิ้นสุดตรงปลายทางของรถมอเตอร์ไซค์ Honda รุ่น CB400 Super Four แต่อย่างไรก็ตาม เจ้า Honda CB400 Super Four และ Super Bol d’Or รุ่น Final Edition ที่จะออกสู่ตลาดในปี 2022 กลับดูเหมือนว่าพวกมันจะฟื้นคืนชีพกลับไปติดลมบนเป็นครั้งสุดท้ายได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ CB400 นั้น เป็นรถรุ่นที่ออกขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น แต่มันก็ค่อนข้างได้รับความนิยมและมียอดขายที่ค่อนข้างดีในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้มีการบังคับใช้กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษที่เรียกว่า Reiwa 2 (มีค่าเทียบเท่ากับ Euro 5) จึงทำให้รถมอเตอร์ไซค์รุ่นที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานนั้น จะต้องได้รับการอัปเดตใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว หากมิฉะนั้นแล้วจะต้องหยุดดำเนินการขายในทันที แน่นอนว่า Honda ก็คงเลือกที่จะปรับปรุงเจ้า CB400 คันนี้ เพื่อให้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ในการปล่อยมลพิษที่ออกมา อย่างไรก็ตาม จากเหตุผลอันเป็นที่รู้กันอยู่เฉพาะภายในบริษัทฯ ทาง Honda กลับตัดสินใจที่จะยุติการผลิตรถรุ่นนี้ลงหลังจากปีนี้เป็นต้นไป
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรามาดูรถรุ่น CB400 Super Four และ CB400 Super Bol d’Or ตัวสุดท้ายที่จะออกสู่ตลาดนี้กันดีกว่า
โดยรถมอเตอร์ไซค์ Honda รุ่น CB400 Super Four และ Super Bol d'Or จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Dual Overhead Cam ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 4 สูบเรียง 399 ซีซี มีความกว้างของกระบอกสูบและช่วงชักลูกสูบขนาด 55.0 มม. x 42.0 มม. ที่ให้กำลังสูงสุด 55 แรงม้า ที่ 11,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 29 ปอนด์-ฟุต ที่ 9,500 รอบต่อนาที ซึ่งจะจับคู่กับเกียร์ 6 สปีดเหมือนเดิม
ในส่วนของระบบกันสะเทือนนั้นก็ยังสามารถใช้งานได้ดี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษ ซึ่งมันจะประกอบด้วยโช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิกที่สามารถปรับพรีโหลดได้ และสวิงอาร์มที่ทำจากอะลูมิเนียม (พร้อมพรีโหลดแบบปรับได้) ที่ด้านหลัง ในเรื่องของระบบเบรกนั้น รถจะติดตั้งระบบเบรคหน้าแบบดิสก์คู่ พร้อมคาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบ ในส่วนของด้านหลังนั้นจะติดตั้งดิสก์เบรคเดี่ยว และคาลิปเปอร์แบบ 1 ลูกสูบ โดยจะทำงานคู่กับระบบ ABS นอกจากนี้ รถยังจะได้รับการติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว เท่ากันทั้งสองรุ่นอีกด้วย
ในส่วนของฟีเจอร์อื่นๆที่ถูกใส่มา ได้แก่ แผงหน้าปัดที่ถูกรวมกันไว้ได้อย่างค่อนข้างสวยงาม โดยรถจะมีเรือนไมล์ทรงกลมแบบอะนาล็อก 2 ตัว สำหรับมาตรวัดความเร็วรถ 1 ตัว และมาตรวัดความเร็วรอบอีก 1 ตัว ซึ่งเรือนไมล์เหล่านี้จะประกบกับแผง LCD ขนาดเล็ก ที่จะให้ข้อมูลของรถที่เป็นประโยชน์ รวมถึงบอกด้วยว่าคุณกำลังเข้าเกียร์อะไรอยู่ และมันยังบอกถึงข้อมูลอุณหภูมิที่อยู่แวดล้อม มาตรวัดการเดินทาง และมาตรวัดการสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ส่วนไฟหน้าและไฟท้ายก็จะเป็นแบบ LED ตามมาตรฐาน
เนื่องจากความแตกต่างหลักๆระหว่างรถรุ่น CB400 Super Four และ CB400 Bol d’Or จะอยู่ในส่วนของ Half-Cowl บริเวณด้านหน้า ทำให้ Honda เลือกที่จะรวมที่เก็บสัมภาระขนาดเล็กที่สามารถล็อคได้เข้ากับฝาครอบนั้นสำหรับรถในรุ่น Bol d’Or จากเหตุนี้ ทำให้ Team Red ได้ออกคำเตือนมาว่า คุณไม่ควรวางสิ่งของที่เสียหายได้ง่าย หรือของที่จะอาจจะเสียหายเมื่อได้รับความร้อนภายในนั้น แต่คุณก็คงจะไม่’รมณ์เสียไปกับไอ้แค่ที่เก็บของเล็กๆนั้นมั้งครับ
Honda CB400 Super Four รุ่นปี 2022 จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Candy Chromosphere Red, Atmosphere Blue Metallic (หรือที่เรียกว่าสีคลาสสิกของ Honda Racing Corporation) และ Darkness Black Metallic โดยทั้งรุ่น Candy Chromosphere Red และ Atmosphere Blue Metallic จะมีราคาขายอยู่ที่ 928,400 เยน (ประมาณ 249,000 บาท) ในขณะเดียวกันรถสี Darkness Black Metallic นั้น จะมีราคาที่ถูกกว่าเล็กน้อยคือ 884,400 เยน หรือประมาณ 237,000 บาท นอกจากนี้ยังมีสี Matt Beta Silver Metallic ที่เป็นรุ่น Limited Edition ที่ออกขายในราคา 917,400 เยน (ประมาณ 246,000 บาท) แต่รถรุ่นได้ถูกขายไปจนหมดแล้ว โดยจำนวนที่ผลิตออกมาอย่างจำกัดนั้น ก็ไม่มีความชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไหร่
และหากคุณถูกใจรถ Honda CB400 Super Bol d’Or รุ่นปี 2022 ที่มีส่วนหน้าแบบ Half-Cowl มากกว่า คุณจะสามารถเลือกสีรถได้ดังต่อไปนี้คือ สี Candy Chromosphere Red, Atmosphere Blue Metallic และ Darkness Black Metallic โดยราคาขายต่อคันตามคำแนะนำของบริษัทฯผู้ผลิตสำหรับสีแดงและน้ำเงินจะอยู่ที่ 1,084,600 เยน หรือประมาณ 291,000 บาท และหากคุณอยากได้สีดำมากกว่า ราคาก็จะลดลงเล็กน้อยที่ 1,040,600 เยน หรือประมาณ 279,000 บาท
ข้อมูลและภาพจาก rideapart
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com