ลอกคราบ BAC e-Mono ซูเปอร์คาร์คอนเซ็ปต์ กับการใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเพื่อเพิ่มความแรงเต็มพิกัด
- โดย : PR Autodeft
- 13 มิ.ย. 65 00:00
- 3,564 อ่าน
BAC หรือ Briggs Automotive Company บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตรุ่น Mono ได้เสร็จสิ้นการทำงานในขั้นตอนแรกของโครงการที่ร่วมมือกับ Viritech บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านระบบส่งกำลังไฮโดรเจน ในการพัฒนารถยนต์ที่มีน้ำหนักเบามากเป็นพิเศษ ที่มีชื่อรุ่นว่า BAC e-Mono
เผยแนวคิดของรถซูเปอร์คาร์จากเมืองผู้ดีอย่าง BAC รุ่น e-Mono ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและติดตั้งมอเตอร์ในกงล้อขนาดเล็กจำนวน 2 ตัว ที่มีน้ำหนักเพียงชิ้นละ 3 กิโลกรัมเท่านั้น
รถจำลองเสมือนจริงของรุ่น e-Mono นั้น ถูกติดตั้งด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 704 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ารถ BAC รุ่น Mono-R ที่มีความเร็วตามมาตรฐานประมาณ 149 กิโลกรัม แต่กระนั้นก็ตาม เจ้า e-Mono ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันสามารถวิ่งได้เร็วกว่ารถรุ่นพี่ด้วยเวลาที่น้อยกว่า 2.0 วินาทีอยู่เล็กน้อย ในการทดสอบวิ่งแบบ Simulated Digital รอบสนามซิลเวอร์สโตน
โดยหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในความพยามขับเคลื่อนเทคโนโลยีระบบส่งกำลังแบบล้ำหน้าขั้นสูง คือ การให้ทีมพัฒนาได้มีโอกาสทำงานกับรถที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งมีน้ำหนักและโครงสร้างภายนอกอยู่ในระดับพรีเมียม และแม้ว่าแบตเตอรี่ของรถ EV ในปัจจุบัน จะมีประสิทธิภาพที่ดีเพียงพอที่จะติดตั้งในรถที่ออกขายในท้องตลาดจำนวนมาก แต่ในเรื่องของน้ำหนักและขนาดที่ใหญ่มหึมาของมัน ก็ยังคงเป็นคำถามถึงผลกระทบที่มีต่อการใช้พลังงานเพื่อประสิทธิภาพความเร็วสูงสุดของรถอยู่
และด้วยความที่เป็นรถขนาดเล็กจิ๋วของเจ้า Mono คันนี้ จึงไม่มีทางที่จะหลีกหนีจากความเป็นจริงนี้ไปได้ ซึ่งทางบริษัท BAC ก็ได้คำนวณแล้วว่า ทางออกในการใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าจะเพิ่มน้ำหนักของรถขึ้นอีกถึง 50% ในขณะที่พวกเขาก็ได้ให้ความมั่นใจว่าสมรรถนะของรถนั้น ยังสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม น้ำหนักของรถที่มากขึ้นก็จะลดทอนความคล่องตัวและประสิทธิภาพในช่วงการเข้าโค้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการแก้ปัญหาของ BAC ก็คือ ใช้ความเชี่ยวชาญของบริษัท Viritech ในการใช้ระบบเซลล์เชื้อเพลิงขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบา เพื่อการออกแบบระบบส่งกำลังที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิง ให้ติดตั้งได้พอดีกับขนาดของแชสซีและตัวถังที่เป็นมาตรฐานรถในตระกูล Mono คันอื่นๆ
ซึ่งแม้ว่าทุกคนจะยอมรับตั้งแรกแล้วว่า ระบบเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งประกอบไปด้วย Fuel Cell Stack, ถังไฮโดรเจน และแบตเตอรี่ขนาด 20kWh นั้น จะมีน้ำหนักที่มากกว่าเครื่องยนต์เบนซินแบบสี่สูบและขนาดของถังเชื้อเพลิงที่ถูกติดตั้ง แต่ความแตกต่างของน้ำหนักที่เกิดขึ้นนั้น ก็ไม่ทำให้เราต้องลังเลในเรื่องของประสิทธิผลที่ได้จากรถรุ่น Mono คันนี้ โดยจุดที่ทำให้ระบบเซลล์เชื้อเพลิงนี้ได้เปรียบกว่าก็คือ โครงสร้างทั้งหมดของระบบนั้น สามารถติดตั้งอยู่ได้ทั่วไปภายในแชสซี
ในกรณีนี้ แบตเตอรี่จะถูกติดตั้งไว้ที่บริเวณใต้เบาะที่นั่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยที่โครงของรถนั้นจะกลายเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างของแชสซี ซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่ของโครงสร้างภายนอกรถเพิ่มขึ้น โดยที่ระบบเซลล์เชื้อเพลิงนั้นจะถูกติดตั้งอยู่บริเวณเหนือแบตเตอรี่และมีเครื่องอัดอากาศอยู่ภายในช่องรับอากาศ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นส่วนที่เครื่องยนต์เบนซินใช้เพื่อระบายอากาศ ซึ่งมันก็ใช้งานได้ดีเช่นกัน โดยคาดว่าเครื่องยนต์จะให้กำลังประมาณ 371bhp ที่มาจากผลิตของมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Axial-Flux สี่ตัว
ส่วนของมอเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ที่บริเวณกงล้อหน้าทั้งสองข้างนั้น จะให้กำลังที่ 55 แรงม้าต่อตัว ในขณะที่มอเตอร์อินบอร์ดอีกสองตัว ที่ให้แรงขับเคลื่อนสำหรับล้อหลังนั้น จะให้กำลังส่วนที่เหลืออีก 261 แรงม้า ส่วนการจ่ายไฟจะมีขนาด 400V โดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงขนาด 80kW รวมกับแบตเตอรี่ขนาด 197kW ซึ่งในระหว่างการทดสอบวิ่งรถโดยรอบสนามซิลเวอร์สโตนนั้น รถรุ่น e-Mono สามารถทำเวลาได้ดีว่ารถรุ่น Mono-R ที่เกือบ 2.07 วินาที โดยทำเวลาได้ 2 นาที 4.23 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 165 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และสามารถเร่งความเร็วระหว่าง 0 – 62 ไมล์ต่อชั่วโมง (0 – 99 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)ในเวลาเพียง 2.2 วินาทีเท่านั้น
ด้านการคำนวณระยะทางวิ่งที่รถจะทำได้บนท้องถนนที่ 166 ไมล์ (267 กิโลเมตร) ในมาตรฐานของ WLTP Cycle นั้น จะเทียบเท่ากับระยะทางวิ่งจริงที่ประมาณ 140 ไมล์ (225 กิโลเมตร) ซึ่งการพัฒนาในระบบการออกแบบเซลล์เชื้อเพลิงนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มพิสัยการวิ่งขึ้นไปได้อีก 50% ภายในปี 2024 ทำให้พิสัยการวิ่งได้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 210 ไมล์ (337 กิโลเมตร) โดยจะมีการพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนรูปทรงของเคสคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับเซลล์เชื้อเพลิง และโมดูลแบตเตอรี่แบบใหม่นั้น คาดว่าจะทำให้น้ำหนักที่มีความแตกต่างกันระหว่างรถรุ่น e-Mono และรถรุ่น Mono-R ลดลงเหลือแค่ประมาณ 100 กิโลกรัมเท่านั้น
ข้อมูลและภาพจาก autocar
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com