หล่อหรูลุยครบในคันเดียว!! Toyota Land Cruiser Prado MY2020 เอสยูวีรุ่นใหญ่พร้อมแรงใหม่ 204 แรงม้า
- โดย : Autodeft
- 5 ส.ค. 63 00:00
- 8,488 อ่าน
ตลอด 11 ปี ของการจำหน่าย Toyota Land Cruiser Prado เจนเนอเรชั่นที่ 4 เป็นที่โจทย์จันทน์แล้วว่านี่คือที่สุดเอสยูวีระดับหรูที่มีความโดดเด่นทั้งหน้าตา การใช้งานที่อเนกปประสงค์ 7 ที่นั่ง รวมถึงเทคโนโลยี และ ประสิทธิภาพในการลุยที่ถือว่าขั้นเทพสุด
มาปีนี้ Toyota มีการปรับปรุงอีกครั้งสำหรับ Toyota Land Cruiser Prado MY2020 ที่ภายนอกยังคงเดิมไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมทรงเดียวกับพี่ใหญ่ Land Cruiser 200 แต่ยังคงเอกลักษณ์แนวตั้ง 5 ซี่ ประทับด้วยโลโก้สามห่วงเช่นเดิม พร้อมไฟหน้า LED พร้อมไฟ DRL คู่กับกันชนหน้าทรงใหม่ ด้านท้ายเท่ด้วยฝาท้ายไฟท้ายกันชนหลังล้ออัลลอยลายสีทูโทน ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 265/55 R19 ภายในมีการปรับให้ดูหรูขึ้นกับคอนโซลกลางพร้อมระบบความบันเทิงใหม่ infotainment ขนาด 9 นิ้ว แผงแอร์ดีไซน์ลงตัว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นยกชุดมากจากรุ่นพี่อย่าง Toyota Land Cruiser 200 พร้อมมาตรวัดเรืองแสง และจอแสดงข้อมูลสี MID 4.2 นิ้ว กับหัวเกียร์ จับกระชับมือยิ่งขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ SUV 7 ที่นั่ง
ขุมพลังสำหรับตลาดญี่ปุ่นยกชุดความแรงมาจาก Toyota Hilux REVO เวอร์ชั่นไทยด้วยใหม่เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรุ่น 1GD-FTV High-Power ขนาด 2.8 ลิตร แต่มีการอัพพลังมากขึ้นเป็น 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ / นาทีในรุ่น เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Super ECT พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เต็มอิ่มด้วยพลังขับเคลื่อนเหนือชั่นด้วยระบบเพืองท้าย Torsen limited-slip differential และโหมดการขับขี่เลือกได้ถึง 5 โมหด (Normal, Eco, Comfort, Sport S, และ Sport S+) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-Time พร้อม Multi-Terrain Select ที่สามารถเลือกโหมดลุยได้ถึง 5 โหมด (MUD & SAND,LOOSEROCK, MOGUL, ROCK & DIRTและ ROCK) ทำงานคู่กับระบบ Multi-Terrain Monitor หน้าจอแสดงสถานะการลุย ซึ่งจะแสดงผลความเอียงและลักษณะของตัวรถทั้งด้านหน้าตรง ด้านหลังตรง และทางด้านข้าง
ระบบความปลอดภัยจัดเต็มภายใต้ Toyota Safety Sense P ที่เพิ่มระบบแจ้งเตือนการจราจรด้านหลัง แต่ยังคงคับคั่งกับระบบความปลอดภัยเต็มคันทั้ง Pre-Collision System with Pedestrian Detection, Adaptive Cruise Control, Lane Departure Alert with Steering Assist and Automatic High Beams, Blind Spot Monitor, Rear Cross Traffic Alert , ถุงลมนิรภัย 7 จุดรอบคัน และ กล้องรอบคัน Panoramic View Monitor
นอกจากนี้ยังแนะนำรุ่นพิเศษ Black Edition เข้มทั้งคันด้วยชุดแต่งสีดำตั้งแต่ กระจังหน้าโครเมี่ยม แร็คหลังคา กระจกมองข้าง กันชนหน้าดีไซน์พิเศษพร้อมกรอบไฟตัดหมอก ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18 และภายในเข้มด้วยแผงคอนโซลหน้าตกแต่งทูโทนสีเงินดำ โดยจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นทั้งในรุ่นปกติและรุ่นพิเศษ Black Edition ในราคาเริ่มต้น 3,621,000 - 4,261,000 yen หรือราว 1,063,000 – 1,250,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้าของไทย) แต่ถ้ามีการนำเข้ามาจำหน่ายราคาจะอยู่ที่ 3,657,000-4,299,000 บาท (รวมภาษีนำเข้าของไทย)
ที่มา Carscoops
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com