ทรุดไม่เลิก ยอดขายรถใหม่ 2566 เดือนตุลาคมลดลงอีก 8.8% ปิกอัพไม่ฟื้นทรุดหนักสุด ลดลง 37.9%

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 28 พ.ย. 66 12:06
  • 4,755 อ่าน

สถานการณ์ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว ยอดขายรวมของเดือนตุลาคม 2566 ก็ยังลดลงอย่างต่อเนื่องอีก 8.8% โดยกลุ่มที่ยังอาการหนักคือรถกระบะ ที่ร่วงมากสุดถึง 37.9%

ยอดขายรถ

ตลาดรถยนต์ตุลาคมชะลอตัวต่อเนื่องที่ 8.8% ด้วยยอดขาย 58,963 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งยังเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 13.7% ด้วยยอดขาย 22,130 คัน เป็นผลมาจากการเติบโตของเซกเมนต์อีโคคาร์ด้วยยอดขาย 16,800 คัน เติบโตขึ้นถึง 20.3% ในขณะที่ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวต่อเนื่องที่ 18.4% ด้วยยอดขาย 36,833 คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน หดตัวถึง 35.1% ด้วยยอดขาย 22,998 คัน ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างลื่นไหล ผู้บริโภคยังคงชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างต่อเนื่องโดยมีอุปสรรคสำคัญก็คือความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมีความกังวลต่อความสามารถในการผ่อนชำระของผู้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกระแสการหมุนเวียนของสินเชื่อเป็นหลัก

ตลาดรถยนต์เดือนพฤศจิกายนมีความหวังฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย  ตามฤดูกาลขาย “High season” ซึ่งค่ายรถยนต์ต่างมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ พร้อมด้วยแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อหวังกระตุ้นยอดขายและปิดตัวเลขการขายประจำปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ  “Thailand International Motor Expo 2023” ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน- 11 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งลูกค้าจำนวนมากต่างเฝ้ารอรับข้อเสนอพิเศษสุดแห่งปี อย่างไรก็ตามความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจริญเติบโตของตลาดรถยนต์ทุกเซกเมนท์อย่างปฏิเสธไม่ได้

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนตุลาคม 2566

ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 58,963 คัน ลดลง 8.8%

  • อันดับที่ 1 Toyota 20,852 คัน ลดลง 18.0 %
  • อันดับที่ 2 Isuzu 10,962 คัน ลดลง 22.2%
  • อันดับที่ 3 Honda 7,306 คัน เพิ่มขึ้น 23.6%

ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 22,130 คัน เพิ่มขึ้น 13.7%                     

  • อันดับที่ 1 Toyota 7,165 คัน เพิ่มขึ้น 8.3%
  • อันดับที่ 2 Honda 3,462 คัน ลดลง 36.5%
  • อันดับที่ 3 Mitsubishi 743 คัน ลดลง 50.1%

ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 36,833 คัน ลดลง 18.4%

  • อันดับที่ 1 Toyota 13,687  คัน ลดลง 27.3%
  • อันดับที่ 2 Isuzu 10,962 คัน ลดลง 22.2%
  • อันดับที่ 3 Honda 3,844 คัน เพิ่มขึ้น 744.8%

ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 22,998 คัน ลดลง 35.1%

  • อันดับที่ 1 Isuzu 9,725 คัน ลดลง 24.0%
  • อันดับที่ 2 Toyota 9,338 คัน ลดลง 37.8%
  • อันดับที่ 3 Ford 2,539 คัน ลดลง 49.7%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 4,325 คัน Toyota 1,704 คัน - Isuzu 1,482 คัน – Ford 848  คัน – Mitsubishi 231 คัน – Nissan 60 คัน

ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 18,673 คัน ลดลง 37.9%

  • อันดับที่ 1 Isuzu 8,243 คัน ลดลง 29.9%
  • อันดับที่ 2 Toyota 7,634 คัน ลดลง 39.3%
  • อันดับที่ 3 Ford 1,691 คัน ลดลง 54.6%

    

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – ตุลาคม 2566
ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 645,833 คัน ลดลง 7.5%

  • อันดับที่ 1 Toyota 220,144 คัน ลดลง 5.9%
  • อันดับที่ 2 Isuzu 131,256 คัน ลดลง 26.1%
  • อันดับที่ 3 Honda 77,188 คัน เพิ่มขึ้น 14.9%

ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 241,798 คัน เพิ่มขึ้น 9.9%

  • อันดับที่ 1 Toyota 84,522 คัน เพิ่มขึ้น 29.3%
  • อันดับที่ 2 Honda 47,369 คัน ลดลง 7.9%
  • อันดับที่ 3 Mitsubishi 13,419 คัน ลดลง 24.8%

ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 404,035 คัน ลดลง 15.5%

  • อันดับที่ 1 Toyota 135,622 คัน ลดลง 19.6%
  • อันดับที่ 2 Isuzu 131,256 คัน ลดลง 26.1%
  • อันดับที่ 3 Honda 29,819 คัน เพิ่มขึ้น 89.3%

ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 278,897 คัน ลดลง 25.7%

  • อันดับที่ 1 Isuzu 117,883 คัน ลดลง 28.1%
  • อันดับที่ 2 Toyota 109,531 คัน ลดลง 24.0%
  • อันดับที่ 3 Ford 31,312 คัน ลดลง 5.8%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 51,555 คัน Toyota 18,896 คัน - Isuzu 18,031 คัน – Ford 10,118 คัน – Mitsubishi 3,524 คัน – Nissan 986 คัน

ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย  227,342 คัน ลดลง 29.8%

  • อันดับที่ 1 Isuzu 99,852 คัน ลดลง 32.9%
  • อันดับที่ 2 Toyota 90,635 คัน ลดลง 25.5%
  • อันดับที่ 3 Ford 21,194 คัน ลดลง 19.8%

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ