EU เตรียมเปลี่ยนแนวทางเก็บภาษีนำเข้า EV จากจีน อาจใช้ “ราคาขั้นต่ำ” แทนภาษีสูงสุด 45% สะเทือนตลาดรถไฟฟ้าทั่วโลก
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 17 เม.ย. 68 12:24
- 1,022 อ่าน
ในขณะที่อุตสาหกรรม รถไฟฟ้า (EV) ของจีนยังคงรุกตลาดยุโรปอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สหภาพยุโรป (European Union - EU) และจีนได้กลับมาเจรจากันอีกครั้ง โดยมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดจากการเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 45% มาเป็นระบบ “ราคาขั้นต่ำ” (Minimum Pricing หรือ Price Undertakings)
แนวคิด “ราคาขั้นต่ำ” นี้หมายถึง การยกเลิกภาษีนำเข้าและตกลงตั้งราคาจำหน่ายขั้นต่ำสำหรับ EV ที่นำเข้าจากจีน เพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยทาง Maros Sefcovic กรรมาธิการด้านการค้าของยุโรปยืนยันว่า มาตรการใหม่นี้จะต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการเก็บภาษี
แม้มาตรการภาษีจะถูกใช้เฉพาะกับ รถไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (Battery-Electric Vehicles) เท่านั้น และไม่รวมถึงรถไฮบริดหรือรถประเภทอื่น ๆ ที่ผลิตในจีน แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดการเติบโตของแบรนด์จีนในยุโรปได้ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ยอดขายรถจีนในยุโรปเพิ่มขึ้นถึง 64% (ทุกรุ่นรวมกัน)
แม้ยอดขายรถไฟฟ้าที่ผลิตในจีนจะลดลงเล็กน้อย 3.4% ในเดือนเดียวกัน ขณะที่รถไฟฟ้าจากยุโรปเองกลับมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 26%
ยกตัวอย่างเช่น Citroen e-C3 และ Dacia Spring ที่ถือเป็นรถไฟฟ้าราคาถูกที่สุดในยุโรปในปัจจุบัน แม้จะเป็นแบรนด์ยุโรป แต่ก็ผลิตในประเทศจีน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาการผลิตจากจีนในตลาด EV ของยุโรปอย่างชัดเจน
การเจรจารอบใหม่ระหว่าง EU และจีนเกิดขึ้นหลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรง โดยมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภท รวมถึง EV แม้จะมีรายงานว่าฝั่งสหรัฐฯ ยอมผ่อนปรนบ้างในบางหมวดสินค้าอย่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ภาษีรถยนต์ยังคงเดิม
ความคิดในการใช้ “ราคาขั้นต่ำ” นั้นเคยถูกเสนอไว้ตั้งแต่ EU เริ่มเก็บภาษีในวันที่ 31 ตุลาคม 2024 โดยในขณะนั้นทั้งสองฝ่ายเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เรียกว่า “price commitments” ที่สอดคล้องกับกฎขององค์การการค้าโลก (WTO)
เหตุผลเบื้องหลังของการเก็บภาษีครั้งนี้มาจากผลการสืบสวนของ EU ที่ระบุว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จีนได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลให้สามารถตั้งราคาต่ำกว่าตลาดได้อย่างมาก
-
ผู้ผลิตรถไฟฟ้าจากจีนจึงถูกเรียกให้ยื่นข้อมูลเกี่ยวกับระดับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เพื่อใช้ในการกำหนดอัตราภาษี
- ผู้ผลิตที่ให้ความร่วมมือและได้รับการสนับสนุนจากรัฐน้อย เช่น Tesla ได้รับภาษีต่ำสุดที่ 7.5%
- SAIC Motor (บริษัทแม่ของแบรนด์ MG และ LDV) ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 38.3% บวกกับภาษีพื้นฐานอีก 10%
- Geely (เจ้าของแบรนด์ Volvo, Polestar, Lotus และหุ้นร่วมใน Smart กับ Mercedes-Benz) ได้รับอัตราภาษี 20%
- ส่วน BYD ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Tesla โดนภาษี 17.4%
แม้จะมีมาตรการเข้มข้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกประเทศใน EU ที่เห็นด้วย โดย เยอรมนี แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างชัดเจน เนื่องจาก Volkswagen อาจต้องปิดโรงงานในประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะยอดขายที่จีนตกลงอย่างหนักช่วงปลายปี 2024 ขณะที่จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเยอรมนี โดยมีสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของยอดส่งออกรถยนต์ทั้งปี
ในทางกลับกัน ประเทศที่สนับสนุนการเก็บภาษี ได้แก่
- ฝรั่งเศส ที่เป็นฐานของกลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi
- อิตาลี ซึ่งเป็นบ้านของ Stellantis กลุ่มผู้ผลิตที่ถือแบรนด์ดังมากมาย อาทิ Fiat, Peugeot, Jeep, Alfa Romeo, Ferrari และ Opel
ในมุมของประเทศไทยที่กำลังเดินหน้าสู่ยุครถไฟฟ้าอย่างจริงจัง มาตรการด้านการค้าระหว่างจีนและยุโรปนี้ย่อมส่งผลในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ด้านการส่งออกของจีนเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลต่อกลยุทธ์การตั้งฐานการผลิตในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV ของจีน เช่น BYD และ MG ที่มีการลงทุนก่อสร้างโรงงานในไทย
หากยุโรปหันมาใช้ระบบ “ราคาขั้นต่ำ” จริง ก็อาจเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันให้ผู้ผลิต EV จากจีนต้องปรับโมเดลการตั้งราคาทั่วโลก รวมถึงตลาดในไทยที่ยังเน้นการตั้งราคาที่ดึงดูดใจผู้บริโภค ด้วยการใช้กลยุทธ์ “ถูกกว่ารถน้ำมัน”
อนาคตของรถไฟฟ้าโลกและไทยจึงยังคงต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิการค้าอย่างใกล้ชิด
ข้อมูลจาก Drive
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com