ชิ้นส่วนขาด น้ำมันแพงก็ฉุดไม่อยู่ ยอดขายรถใหม่เดือนพฤษภาคม 2564 ยังโต ขายรวม 64,735 คัน เติบโตสูงถึง 15.7%
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 28 มิ.ย. 65 00:00
- 3,771 อ่าน
ถึงแม้ว่าทั่วทั้งโลกยังประสบปัญหาเรื่องน้ำมันแพงและชิ้นส่วนรถยนต์ขาด จนทำให้ไม่สามารถส่งมอบหรือเปิดจองรถได้หลายรุ่น แต่ก็ยังไม่ทำให้ยอดขายหยุดโตได้ เมื่อสรุปยอดขายรถใหม่เดือนพฤษภาคม 2564 ยังมีอัตราการขายรวมทั้งหมด 64,735 คัน เติบโตขึ้นเมื่อทียบกับปีก่อนสูงถึง 15% เลยทีเดียว
ตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคมมีปริมาณการขาย 64,735 คัน เพิ่มขึ้น 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 29% ส่วนตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันที่ 10.6% เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตในการประกอบอาชีพและกิจกรรมทางเศรษฐกิจจนเกือบเป็นปกติ แม้จะมีปัจจัยลบที่สำคัญคือสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีความต้องการใช้รถยนต์ของผู้บริโภคที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์นั่งซึ่งมีความจำเป็นในการเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคระบาด โควิด-19
ตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายนมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากความมั่นใจของผู้บริโภคที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ส่งผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และสะท้อนไปยังตลาดรถยนต์ด้วยเช่นกัน โดยสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่ส่วนใหญ่ใช้ในภาคขนส่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันเบนซินที่ส่วนใหญ่ใช้ในรถยนต์ส่วนบุคคล ส่งผลให้ต้นทุนในการเดินทางของประชาชนสูงขึ้น แต่ก็ไม่อาจหยุดความต้องการใช้รถยนต์ของผู้บริโภค ภายใต้ปัจจัยเสริมที่สำคัญคือข้อเสนอพิเศษที่ทำให้การเป็นเจ้าของรถยนต์ในปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายนยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนพฤษภาคม 2565
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 64,735 คัน เพิ่มขึ้น 15.7%
อันดับที่ 1 Toyota 22,181 คัน เพิ่มขึ้น 12.2%
อันดับที่ 2 Isuzu 15,728 คัน เพิ่มขึ้น 5.8%
อันดับที่ 3 Honda 5,035 คัน เพิ่มขึ้น 0.7%
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 20,084 คัน เพิ่มขึ้น 29%
อันดับที่ 1 Toyota 5,773 คัน เพิ่มขึ้น 19.7%
อันดับที่ 2 Honda 3,191 คัน ลดลง 27.1%
อันดับที่ 3 Mitsubishi 2,077 คัน เพิ่มขึ้น 76.5%
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 44,651 คัน เพิ่มขึ้น 10.6%
อันดับที่ 1 Toyota 16,408 คัน เพิ่มขึ้น 9.8%
อันดับที่ 2 Isuzu 15,728 คัน เพิ่มขึ้น 5.8%
อันดับที่ 3 Mitsubishi 2,637 คัน เพิ่มขึ้น 19.1%
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 33,822 คัน เพิ่มขึ้น 6.4%
อันดับที่ 1 Isuzu 14,192 คัน เพิ่มขึ้น 5.9%
อันดับที่ 2 Toyota 13,909 คัน เพิ่มขึ้น 11.1%
อันดับที่ 3 Mitsubishi 2,604 คัน เพิ่มขึ้น 19.2%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 4,585 คัน
Toyota 2,048 คัน - Isuzu 1,297 คัน – Mitsubishi 702 คัน – Ford 435 คัน – Nissan 103 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 29,237 คัน เพิ่มขึ้น 5.4%
อันดับที่ 1 Isuzu 12,895 คัน เพิ่มขึ้น 5.2%
อันดับที่ 2 Toyota 11,861 คัน เพิ่มขึ้น 13.0%
อันดับที่ 3 Mitsubishi 1,902 คัน เพิ่มขึ้น 9.7%
สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2565
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 359,351 คัน เพิ่มขึ้น 16.6%
อันดับที่ 1 Toyota 121,006 คัน เพิ่มขึ้น 27.6%
อันดับที่ 2 Isuzu 89,743 คัน เพิ่มขึ้น 13.5%
อันดับที่ 3 Honda 35,766 คัน เพิ่มขึ้น 1.1%
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 116,302 คัน เพิ่มขึ้น 18.9%
อันดับที่ 1 Toyota 33,010 คัน เพิ่มขึ้น 35.9%
อันดับที่ 2 Honda 27,056 คัน ลดลง 10.3%
อันดับที่ 3 Mazda 10,151 คัน เพิ่มขึ้น 11.9%
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 243,049 คัน เพิ่มขึ้น 15.5%
อันดับที่ 1 Isuzu 89,743 คัน เพิ่มขึ้น 13.5%
อันดับที่ 2 Toyota 87,996 คัน เพิ่มขึ้น 24.7%
อันดับที่ 3 Mitsubishi 13,545 คัน เพิ่มขึ้น 11.4%
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 190,223 คัน เพิ่มขึ้น 16.2%
อันดับที่ 1 Isuzu 82,799 คัน เพิ่มขึ้น 14.3%
อันดับที่ 2 Toyota 76,603 คัน เพิ่มขึ้น 28.4%
อันดับที่ 3 Mitsubishi 13,447 คัน เพิ่มขึ้น 13.6%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 25,400 คัน
Toyota 12,012 คัน - Isuzu 7,531 คัน - Mitsubishi 3,483 คัน – Ford 1,850 คัน – Nissan 524 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 164,823 คัน เพิ่มขึ้น 18%
อันดับที่ 1 Isuzu 75,268 คัน เพิ่มขึ้น 17.2%
อันดับที่ 2 Toyota 64,591 คัน เพิ่มขึ้น 31.5%
อันดับที่ 3 Ford 10,295 คัน ลดลง 9.9%
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com