“คาร์บอนไฟเบอร์” มีแนวโน้มถูกลง 90% หลังค่ายรถยนต์กันมาใช้ในรถยนต์ใหม่มากขึ้น

ผู้ผลิตชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ชี้มีแนวโน้มสูงที่คาร์บอนไฟเบอร์จะถูกลงในอนาคต หลังค่ายรถยนต์ใช้เป็นชิ้นส่วนในรถยนต์ใหม่มากขึ่น เชื่อมีแนวโน้มถูกกว่า 90% จากราคาค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน

 

 

หากกล่าวถึงเทคโนโลยีใหม่ที่ในรถยนต์ปัจจุบันแล้ว   Light weight   หรือการทำรถให้มีน้ำหยักเบาลง ภายใต้ขนาดที่เท่าเดิมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายทีมวิศวกรอย่างมาก แต่คำตอบก็มีอยู่แล้ว ด้วยคาร์บอนไฟเบอร์

[IMAGE1]

ที่ผ่านมา  วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมราคาค่างวดที่สูงลิ่ว จนทำให้รถใหม่ๆมีราคาสูงตามไปด้วย แต่ในอนาคต วัสดุน้ำหนักเบา ผลงานการสร้างสรรค์ด้วยเรซิ่นและพลาสติกนั้นจะมีราคาถูกลง และมันมีแนวโน้มจะดรอปลงถึง  90% ในอนาคต หลังค่ายรถยนต์จำนวนมากเริ่มหันมาใช้ คาร์บอนไฟเบอร์ในหลายชิ้นส่วนรถยนต์ใหม่มากขึ้น และ บ้างก็ใช้สร้างเป็นโครงสร้างตัวถังหลักด้วยซ้ำ

[IMAGE2]

[IMAGE3]

Automotive News   กล่าวเปิดเผยว่า มีแนวโน้มสูงมากที่คาร์บอนไฟเบอร์นั้นจะถูกลงในอนาคต  โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์  MAI Carbon Cluster Management  Gmbh   คู่พันธมิตรหลักของ   BMW   เผยว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่คาร์บอนไฟเบอร์ในอนาคตจะถูกลงถึงร้อยละ  90  

นาย คอส ดอยท์เลอร์ หัวหน้าโครงการพัฒนาวิจัย เปิดเผยว่า  เราเพิ่งจะผ่านครึ่งทางของการที่เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ในรถยนต์  แล้วยังมีแนวโน้มที่จะเห็นรถที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มากขึ้น โดยเฉพาะในรถยนต์รุ่นต่อๆไป ที่จะทำตลาดในอนาคต

[IMAGE4]

ทั้งนี้มีรายงานว่า การพยายามของยักษ์ใหญ่ทางด้านคาร์บอนไฟเบอร์ได้รับการสนับสนุนจาก  70   บริษัทยานยนต์อละชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำ โดยเฉพาะกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือ  BMW   และ  Audi   ซึ่งทีมวิศวกรรมพยายามหาทางในการเปลี่ยนเหล็กให้เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ทั้งเบากว่าและมันพิสูจน์แล้วว่ามีความแข็งแรงไม่แตกต่างกัน

ปัจจุบันคาร์บอนไฟเบอร์นั้น ผลิตในจำนวนที่จำกัดมา โดยคาร์บอนไฟเบอร์ที่จะมาผลิตเป็นชิ้นส่วนรถยนต์มีราคาค่างวดที่  20  ดอลล่าร์ต่อกิโลกรัม ในขณะที่เหล็กมีค่าใช้จ่ายเพียง  1  ดอลล่าร์ต่อกิโลกรัม หรือถูกกว่า  20  เท่า

และแน่นอนว่า แม้มันจะแพง แต่ก็มีความท้าทายจากค่ายรถยนต์ในการพยายามผลิตรถยนต์คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคันออกมาจำหน่าย หนึ่งในนั้น คือ  BMW i3