Deft Opinion : Fleet Modernize สิ่งที่ควรทำ มากกว่าปลดล็อครถคันแรก 3 ปี
- โดย : Autodeft
- 3 ส.ค. 58 00:00
- 36,606 อ่าน
ผ่าทางตันตลาดรถยนต์ซบเซา จริงหรือที่ปลดล็อครถคันแรกสามปี เป้นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งที่แนวคิด Fleet Modernize น่าสนใจกว่าแยะ
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
กลายเป็นประเด็นในช่วงสัปดาห์ก่อนหลังจากรัฐบาลส่งสัญญาณว่าอาจจะมีแนวคิดในการปลดล็อครถยนต์ ที่ถือครองตามสิทธิ โครงการรถคันแรก จากเดิมที่กำหนดให้ต้องถือครองเป็นระยะเวลา 5 ปี อาจจะปรับลดลงเหลือเพียง 3 ปี เพื่อให้คนที่อยากเปลี่ยนรถ สามารถที่จะซื้อรถรุ่นใหม่ได้ อันเป็นการกระตุ้นตลาดในทางหนึ่ง
แม้ว่าแนวทางดังกล่าวจะฟังดูดี เล่นเอาคนที่เพิ่งจะจ่ายเงินช๊อปรถคันแรกที่ปิดโครงการไปเมื่อ 3 ปีก่อน ถึงกับออกโรงสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ซึ่งอาจจะยังเป็นเพียงแนวทาง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง หากว่าเอาเข้าจริงแนวทางดังกล่าวจะกลายเป็นเพียงการสนับสนุนให้คนฟุ้งเฟ้อเพิ่มหรือไม่ ทั้งที่คนอยากมีรถใหม่ก็ยังมีอีกหลายกลุ่มไม่ใช่เพียง คนจากรถคันแรกเท่านั้น
คนกลุ่มหนึ่งที่มองแล้วน่าจะเป็นคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งพอจะมีกำลังซื้อรถยนต์ แต่ด้วยความย่ำแย่ของเศรษฐกิจทำให้กลุ่มคนบางส่วน โดยเฉพาะคนที่ใช้รถเก่ากลับมองไม่เห็นความจำเป็นในการซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ เนื่องจากเจ้าแก่ที่บ้านก็ยังขับได้ดี ใช้งานได้ลงตัว แม้ว่ามันอาจจะพังบ้างเสียบ้าง แต่เมื่อมองว่าดีกว่าตากแดด ตากฝน และที่สำคัญไม่ต้องเป็นหนี้ให้กลุ้มใจหาเงินให้เหนื่อยยากในการผ่อนรถ ก็ดูจะเป็นสิ่งกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับกลางไปจนถึงระดับบนกลับไม่ควักเงินออกมาใช้ ในสิ่งที่พวกเขาพึงพอใจอยู่แล้ว
แนวคิดหนึ่ง ซึ่งเคยเปิดออกมาจากทางค่ายรถยนต์ Chevrolet เมื่อช่วงปี 2011 ก่อนที่ทางรัฐบาลสมัยนั้นจะเคาะระฆังเปิดโครงการรถยนต์คันแรกในบ้านเรา จนเจ็บหนักตายระนาวกันแบบนี้ คือการนำเสนอแนวคิดเรื่องของ fleet Modernize ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนำเสนอโดย นาย มาร์ติน แอฟเฟล ผู้บริหารของ Chevrolet ประเทศไทยในยุคนั้น
โดยแนวคิดดังกล่าวถูกนำมาใช้ในหลายประเทศที่เจริญแล้ว ด้วยการพยายามสร้างแรงกระตุ้นให้กลุ่มคนที่มีรถยนต์อยู่แล้ว แต่ใช้รถยนต์ที่มีอายุมาก เกินกว่าอายุการใช้งาน ให้มีโอกาสในการเปลี่ยนรถยนต์ของพวกเขาเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการให้เงินสนับสนุนจากภาษี ซึ่งแนวความคิดหลายส่วนคล้ายโครงการรถคันแรกในสมัยนั้น เพียงแต่ว่า จากที่ทำกับกลุ่มคนที่ไม่มีรถแล้วอยากจะมี เปลี่ยนมาเป็นทำกับกลุ่มคนที่มีรถอยู่แล้ว และบอบช้ำจากการผ่อนค่างวดเช่าซื้อรถ จนพวกเขาไม่มีแนวคิดในการเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ เว้นแต่คันเก่าจะพังหนักมาก จนถึงกาลเวลาที่จะต้องเปลี่ยนคันใหม่
แนวทางดังกล่าวเป็นทางที่น่าสนใจ โดยคุณมาร์ติน กล่าวว่า การใช้แนวคิดดังกล่าวมีข้อดีในหลายๆ ส่วนที่สำคัญต่อตลาดรถยนต์ภายในประเทศไทย ได้แก่
1. ช่วยขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในรถยนต์เก่าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียซ้ำซาก ในระหว่างการขับขี่ ซึ่งเมื่อรถเสียก็จะมีผลต่อการจราจร การเดินทางของเพื่อนร่วมทาง ทำให้จราจรติดขัด
2.การมีรถใหม่จำนวนมากขึ้นภายในประเทศ นอกจากจะทำให้ประเทศดูมีความทันสมัยในด้านภาพลักษณ์แล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการส่งผลต่อเรื่องของอัตราประหยัดน้ำมันในภาพรวมด้วย เนื่องจากรถยนต์รุ่นใหม่ถูกวิศวกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเรื่องความประหยัดน้ำมัน และใช้น้ำมันอย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด
3.การใช้รถยนต์ใหม่มากขึ้นในประเทศ ยังเป็นการส่งเสริมในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนควบต่างมีสภาพที่พร้อมใช้งานเสมอ และที่สำคัญการวิศวกรรมในรถยนต์รุ่นใหม่นั้น ยังมีการออกแบบและใส่ใจเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น แถมยังมีระบบช่วยอำนวยความปลอดภัย ทั้ง Active Safety คอยดูแลในระหว่างการขับขี่ และ Passive Safety คอยดูแลเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แม้ว่าการปลดล็อครถยนต์คันแรก อาจจะฟังเป็นแนวทางที่น่าสนใจ แต่ในแง่หนึ่งรัฐบาลควรจะมองภาพกว้างๆ ของตลาดรถยนต์รวม ดูความต้องการที่แท้จริงว่ายังมีจุดไหนที่ทำหรือกระตุนให้คนกล้านำเงินมาใช้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาแบบนี้บ้าง และเมื่อดูอย่างรอบคอบ จะเห็นว่าวงจรตลาดรถบ้านเราต้องการแรงขับเคลื่อนทิศทางไหน จึงจะถูกต้องไม่ใช่ กะรอแก้เกมรถคันแรกเพียงอย่างเดียว
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook หรือ ทาง Fan page ,Twiter (@nattayodc)
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com