พวกเราชาวไทย พร้อมหรือยังกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า?
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 26 ส.ค. 61 00:00
- 23,351 อ่าน
กระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้า กำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทั่วทุกภูมิภาคบนโลกนี้ มีทั้งแบบอยากได้ขับรถที่มีเทคโนโนยีใหม่, อยากรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งถูกบีบให้ใช้จากมาตรการจากทางภาครัฐก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้มันกำลังเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า แต่เมื่อหันมามองที่เมืองไทย กลับยังแทบหากระแสรถยนต์ไฟฟ้าไม่เจอ ที่พูคคุยกันเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงเป็นกลุ่มเล็กอยู่ แล้วอย่างนี้ ประเทศไทยจะพร้อมในการเปลี่ยนเป
ต้องยอมรับว่า คนที่ทำให้กระแสรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเกิดกระแสนิยมไปทั่วโลก ก็คือ Elon Musk ชายผู้ที่เป็นคนก่อตั้ง Tesla รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อแรกที่ทำการผลิตขายอย่างเป็นทางการ เพราะด้วยเป็นรถที่ไม่ปล่อยไอเสีย แถมยังมีสมรรถนะที่ดีกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ปกติด้วยซ้ำ จึงทำให้สามารถสร้างยอดขายไปทั่วโลกได้จำนวนมาก จนบางรุ่นไม่สามารถผลิตรถส่งไม่ทันด้วยซ้ำ เมื่อค่ายรถยนต์ใหญ่เห็นแล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้ามันก็สามารถสร้างยอดขายได้เหมือนกันนี่หว่า ถึงได้เริ่มทำการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าบ้าง และเริ่มทยอยผลิตออกมาจำหน่ายกันหลายรุ่นแล้ว
แล้วเมืองไทยล่ะ พร้อมแล้วหรือยังที่จะเริ่มทยอยเปลี่ยนรถใหม่ ถ้ามองสภาพโดยรวมแล้ว มันก็ยังไม่พร้อมหรอก เพราะแท่นชาร์จไฟที่สามารถใช้กับรถไฟฟ้าได้ก็ยังมีไม่มากพอ แต่ถ้าถามว่า ควรจะเริ่มเปลี่ยนเป็นยุคชองรถยนต์ไฟฟ้าได้หรือยัง ส่วนตัวผมเองคิดว่า มันควรจะเริ่มได้แล้ว ถ้ายังจำกันได้เมื่อสีก 1-2 เดือนก่อน ที่เรามีข่าวว่า ฝุ่นละอองในอากาศบางแห่งในกรุงเทพมหานคร มีค่าเกินกว่าค่ามาตรฐาน จนทำให้เกิดอันตรายกับผู้ที่สูดดมได้ จากการที่อากาศไม่หมุนเวียน จนเกิดฝุ่นสะสมมาก แสดงว่าฝุ่นละอองในเมืองกรุงมันมีมากเหลือเกิน เพียงแต่มันถูกลมพัดออกไป จนทำให้มันไปฟุ้งกระจายไปอยู่ทั่วที่อื่นเท่านั้นเอง แล้วฝุ่นละอองพวกนี้ล่ะมันมาจากไหน มันก็มาจากไอเสียที่พวกเราขับรถ, ใช้รถนั่นเอง แล้ววิธีการที่จะทำให้ฝุ่นละอองพวกนี้ลดลงได้อย่างไร ถ้าเอาแบบกำปั้นทุบดินมากที่สุด ก็ต้องหยุดการใช้รถ เมื่อไม่มีไอเสียปล่อยออกมา ฝุ่นก็จะไม่มี จะเหลือแต่ฝุ่นตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่กว่าเขม่าไอเสียเท่านั้น สุขภาพการหายใจของเราก็จะกลับมาดีได้เอง แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่สามารถทำได้ จะให้ทำแบบธานอส ดีดนิ้วแล้วรถหายไปครึ่งนึงก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการที่จะลดไอเสียได้ ก็ต้องให้รถยนต์แต่ละคันลดการปล่อยมลพิษให้ได้มากที่สุด แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตเครื่องยนต์ระบบสันดาปในปัจจุบัน มันก็เริ่มมาถึงขีดสุดของเทคโนโลยีมันแล้ว ไม่สามารถทำให้การปล่อยไอเสียน้อยลงได้มากกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นเทคโนโลยีการใช้ไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อนรถยนต์ ก็จะเป็นทางออกที่ดี ในการทำให้รถปล่อยไอเสียลดลง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์แบบ Hybrid, Plug-in Hybrid หรือ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าล้วนก็ตาม
แต่พอมองไปตามท้องถนนแล้ว กลับยังหารถยนต์แบบที่ใช้ไฟฟ้าแทบไม่ค่อยเจอ เอาล่ะ เราอาจจะเห็นรถยนต์ Hybrid กันบ่อย แต่ประเภท Plug-in Hybrid กลับยังเห็นน้อย ยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV เลยยิ่งแทบไม่มี อ้าว ถ้ามันดีจริง แล้วทำไมคนไทยยังไม่เริ่มใช้กันล่ะ นั่นก็เป็นเพราะราคาของรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ มันยังสูงกว่ารุ่นที่ไม่ใช้ไฟฟ้าอยู่ประมาณหนึ่ง ที่ราคาสูงกว่า มันมาจากต้นทุนที่เป็นแบตเตอรี่นั้น ยังมีราคาสูงอยู่ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บไฟไว้ได้มากๆ ก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก ทำให้คนที่เลือกซื้อรถ มองไม่เห็นความจำเป็นว่า แล้วฉันจะจ่ายตังให้มากขึ้นทำไม ก็ใช้แบบเดิมแหล่ะดีแล้ว แต่ถ้าได้ลองติดตามตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาช่วงหลังนี้ ราคาของรถยนต์ปกติ กับรถยนต์ที่พ่วงระบบไฟฟ้า ก็เริ่มจะมีราคาใกล้เคียงกันแล้ว อย่างเช่น Toyota Camry ในตัวแพงสุดของเครื่องยนต์ปกติคือ 2.5G ตอนนี้ราคา 1,599,000 บาท ขณะที่ 2.5HV Navigator ในระบบ Hybrid คุณเพิ่มเงินอีกไม่มากเป็น 1,673,000 บาท ก็จะได้รถยนต์ระบบ Hybrid มาใช้แล้ว (ออพชั่นมากกว่าด้วย) และเมื่อไปดู ECO Sticker แล้ว จะเห็นว่า 2.5HV Navigator ปล่อยไอเสีย 133 กรัม/กม. ส่วนในรุ่น 2.5G ปล่อยไอเสียมากถึง 188 กรัม/กม.เลย ลองคิดดูว่าถ้าเอารถ Toyota Camry ทุกคันมาเปลี่ยนเป็นแบบ Hybrid ให้หมด มลพิษจะหายไปขนาดไหน
แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้คนยังกลัวการใช้รถแบบไฟฟ้าอยู่ ก็คือเรื่องบรรดาข่าวต่างๆที่ออกมาบอกว่า เวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ที หมดกันเป็นแสน ยิ่งยี่ห้อหรูอย่าง Mercedes-Benz เปลี่ยนทีเกือบ 8 แสน ทำให้คนเลยขยาดกับการซ่อมบำรุงไปเลย ซึ่งถ้าเจาะลึกแล้ว ราคาแบตเตอรี่ของ Mercedes-Benz ในระบบ Plug-in Hybrid มันก็ไม่ได้เกือบ 8 แสนอย่างที่เป็นข่าว มันก็ยังอยู่ในระดับ 180,000 - 210,000 บาทอยู่ แต่ลองนึกถึงดูว่า รถประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันแบตเตอรี่อยู่แล้วในระดับ 10 ปีทั้งนั้น ถ้าซื้อตอนนี้แล้วอีก 10 ปีเปลี่ยนแบต ถึงวันนั้นราคาก็คงลดลงไปมากแล้ว เผลอๆเราจะขายรถแล้วซื้อใหม่ไปแล้ว เพราะมีการประเมินกันไว้ว่า ด้วยการที่เราเริ่มผลิตแบตเตอรี่ในระดับอุตสาหกรรมมากขึ้น และเทคโนโลยีในการผลิตมีสูงขึ้น ก็มีส่วนทำให้ราคาของแบตเตอรี่ลดลง และเมื่อถึงประมาณปี 2025 ราคาของรถยนต์เครื่องปกติ จะเท่ากับรถยนต์แบบไฟฟ้าไปแล้ว
ประเด็นต่อมาที่บ้านเรา อาจจะยังไม่พร้อมที่เป็นยุคของรถยนต์ไฟ้ฟ้า ก็เป็นเรื่องของการส่งเสริมจากทางภาครัฐ ที่ถือว่ายังมีน้อยอยู่มากๆ เท่าที่เห็นและสัมผัสได้ก็คือ การลดสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้เหลือเพียง 2% แต่เป็นการลดแบบมีเงื่อนไขว่า ต้องทำข้อตกลงว่า จะมีการสร้างโรงงานประกอบในประเทศไทย และใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น เลยทำให้ยังไม่ค่อยมีรถยนต์ค่ายไหนให้ความสนใจตอบรับนโยบายแบบนี้มากนัก ถ้าไปเทียบกับต่างประเทศที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก อย่างเช่นที่ประเทศจีน ได้ส่งเสริมให้ Tesla เข้ามาสร้างโรงงานในประเทศ โดยให้การยกเว้นเงื่อนไขการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น รวมทั้งการให้เงินชดเชยสำหรับผู้ซื้อรถรถยนต์ส่วนบุคคลไฟฟ้าไว้สูงสุด 9,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 350,000 บาท) และรถบัสโดยสารไว้สูงสุด 81,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.91 ล้านบาท) หรืออย่างนอร์เวย์ ถือเป็นอีกประเทศที่มีการส่งเสริมการใช้งานพลังงานสะอาด โดยเฉพาะรถยนต์ ที่มีการส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ ทั้งไม่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 25% ของราคารถ, ไม่เก็บค่าทางพิเศษ, ไม่เก็บค่าจอดรถในที่จอดของรัฐ, ใช้งานบัสเลนได้ในชั่วโมงเร่งด่วน และนำรถยนต์ขึ้นเรือเฟอร์รี่ได้ฟรี เป็นต้น เมื่อเปรียบเทียบแล้ว การส่งเสริมให้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของบ้านเรา ยังห่างไกลกับประเทศอื่นมากนัก
อีกข้อจำกัด ที่ทำให้บ้านเรายังไม่พร้อมที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้ ก็คือเรื่องที่ชาร์จไฟนั่นเอง ถ้าเราใช้รถยนต์แบบ Hybrid มันก็ไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟ สามารถผลิตไฟฟ้าแล้วใช้งานได้เลย เพราะแบตเตอรี่ตัวนิดเดียว แต่ถ้าเป็นแบบ Plug-in Hybrid หรือรถยนต์ไฟฟ้า EV มันต้องใช้ไฟมาจากภายนอก เพราะแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่กว่ามาก อย่างพวกรถยนต์ Plug-in Hybrid ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงในการชาร์จ เพื่อให้วิ่งได้ราว 30-50 กิโลเมตร (ในระบบไฟฟ้าล้วน) แต่ถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV ก็ต้องใช้เวลาชาร์จราว 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้รถยนต์วิ่งได้ 300 กิโลเตรขึ้นไป ซึ่งการชาร์จแบบนี้ แทบจะต้องชาร์จที่บ้านเท่านั้นเลย แต่ถ้าอยากให้ไวกว่านี้ก็ต้องเป็นแบบแท่นชาร์จแบบเร็ว ที่อาจลดเวลาในการชาร์จเหลือเพียง 1-2 ชั่วโมง แต่แท่นแบบนี้มันจะหาชาร์จได้ง่ายๆที่ไหน จริงอยู่ว่าตอนนี้อาจจะเริ่มมีผู้บริการมาติดตั้งตามสถานที่ต่างๆเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น EA Anywhere ก็มีสถานีชาร์จเพิ่มมากขึ้น แต่เวลาเราออกไปเที่ยวที่ต่างจังหวัด มันก็เริ่มลดน้อยลง (ณ ตอนนี้) ทำให้ความคล่องตัวในการใช้งานก็ไม่ดีเท่ารถใช้น้ำมัน ที่ไปตรงไหนก็เจอปั๊มเต็มไปหมด แถมใช้เวลาในเติมเร็วกว่ามาก ดังนั้นตรงนี้ ถ้าอยากให้มีสถานีชาร์จมากขึ้น ก็ต้องเป็นหน้าที่ของภาครัฐอีกแหล่ะ ที่ต้องลงมาส่งเสริมให้มีการติดตั้งให้ทั่วถึงมากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ภาคเอกชนต่อสู้กันอยู่ฝ่ายเดียว
ถ้าวันนี้เราพร้อมที่จะเปลี่ยนเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งที่จะเปลี่ยนไปได้อย่างเห็นผลชัดเจนคือเรื่องมลพิษ ที่จะลดลงได้ทันที ถึงแม้บางคนอาจจะพูดว่า สุดท้ายรถยนต์ก็ต้องเสียบปลั๊กไฟฟ้า แล้วโรงงานไฟฟ้าก็สร้างมพิษแทนอยู่ดี อันนี้ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า ด้วยเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน ผมว่ามันดีกว่าการปล่อยให้รถแต่ละคันปล่อยมลพิษด้วยตัวเองตั้งมากมาย ลองดูตัวอย่างการพ่นควันดำของรถเมล์ ก็คงเห็นภาพชัดเจน
รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับประเทศไทยแล้ว หลายคนอาจจะยังมองว่า มันคือเรื่องไกลตัว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะเปลี่ยนยุค แต่ถ้าเรามามองกันให้ละเอียด ตอนนี้รถที่ใช้ระบบไฟฟ้าก็เริ่มมีมากขึ้น อย่างยี่ห้อดังทั้ง BMW และ Mercedes-Benz ก็มีรถยนต์ Plug-in Hybrid จำหน่ายในบ้านเราหลายรุ่น ราคาก็ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ปกติแล้ว (BMW 320d กับ 330e iconic ราคาเท่ากันที่ 2,259,000 บาท), KIA ก็มี Soul EV - Hyundai ก็มี IONIQ รถยนต์ไฟฟ้าล้วนจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ส่วน Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมทั่วโลก ก็กำลังนำมาจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆนี้ และล่าสุดก็มีการส่งมอบ BYD E6 ให้กับ อีวี โซไซตี้ ผู้บริหารกิจการแท็กซี่ในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นจำนวน 101 คัน เพื่อออกให้บริการแล้ว ดังนั้นเราจะเรียกว่าเรื่องไกลตัวก็คงไม่ได้ เพราะในทีสุด เราก็ต้องพร้อมเปลี่ยนกันอยู่ดี จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง
Earthpark02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com