เจาะรถเด่น!! 2021 Mercedes-Benz GLC MY2021 ปรับเงียบๆ……เอสยูวีสไตล์หรู ในราคาใหม่ เริ่ม 3.439 ล้านบาท

เกือบ 2 ปี ที่ Mercedes-Benz GLC เผยรุ่นปรับโฉมและจำหน่ายที่ไทยจนได้รับการตอบรับอย่างดีจากสาวกรถหรูชาวไทยที่ชอบความคุ้มค่าความหรูหราในราคาที่จับต้องได้

ล่าสุดทีมงาน Autodeft ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า Mercedes-Benz GLC เปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่หรือ MY2021 ที่งานนี้จะปรับในส่วนของรุ่น GLC 220 d ทั้งแบบปกติ และแบบ Coupe เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเท่านั้น โดยไฮไลต์หลักมีการเพิ่มออพชั่นในรุ่น GLC 220 d โดยเพิ่มทั้ง ระบบแจ้งเตือนขณะเปลี่ยนช่องจราจร Blind Spot Assist ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือจักรยานยนต์คันอื่นที่อยู่ในจุดอับสายตาในขณะที่กำลัง จะเปลี่ยนช่องจราจร ระบบแจ้งสถานะเตือนเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง Rear Seat Belts status ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO พร้อมระบบเปิดประตูท้ายอัตโนมัติ แบบ Hands Free Access เพิ่มชุดเชื่อมต่อการสื่อสารแบบสาย Universal media cable kit และเปลี่ยนสีบอรนซ์เงินจาก iridium sliver เป็นสี high-tech sliver

แต่ตัดออพชั่นบางรายการออกเช่น ม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ตาข่ายเก็บเอกสารบริเวณผู้โดยสารด้านหน้า ระบบนำทาง พร้อมค่าตัวเพิ่มขึ้นจากเดิม 110,000 บาท เป็น 3,439,000 บาท

มากันที่รุ่น GLC 220 d AMG Dynamic โดยเพิ่มทั้ง ช่วยลดความเสี่ยงของการชนปะทะกับรถยนต์ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า Active Braking Assist ระบบแจ้งสถานะเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง Rear Seat Belts status เพิ่มชุดเชื่อมต่อการสื่อสารแบบสาย Universal media cable kit เปลี่ยนสีบรอนซ์เงินจาก iridium sliver เป็นสี high-tech sliver

แต่ตัดระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® system ไฟส่องบริเวณมือจับประตูด้านนอก ม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ตาข่ายเก็บเอกสารบริเวณผู้โดยสารด้านหน้า และ ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® แต่จำหน่ายในราคาเดิม 3,699,000 บาท

ปิดท้ายด้วยรุ่น GLC 220 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic เปลี่ยนระบบกล้องมองภาพรอบทิศทางและเป็นกลัองมองหลัง เพิ่มระบบแจ้งสถานะเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง Rear Seat Belts status เพิ่มชุดเชื่อมต่อการสื่อสารแบบสาย Universal media cable kit แต่ตัดระบบไฟส่องบริเวณมือจับประตูด้านนอก ม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ตาข่ายเก็บเอกสารบริเวณผู้โดยสารด้านหน้า ตัดที่จุดและที่เขี่ยบุหรี่ และระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® system ในราคาเดิม 4,040,000 บาท

ทั้ง 3 รุ่นที่กล่าวมายังคงความแรงด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบแถวเรียง 4 สูบ ภายใต้รหัส OM651 2.0 ลิตร กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600 - 2,800 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ยอดเยี่ยมเฉลี่ยเพียง 5.1 ลิตร/100 กม. ในรุ่น GLC 220 d และ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. ในรุ่น GLC 220 d 4MATIC Coupé AMG Dynamic และเกียร์อัตโนมัติ แบบ 9G-TRONICพร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel Gearshift Paddles) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ในรุ่น GLC 220 d 4MATIC Coupé AMG Dynamic

พร้อมรูปลักษณ์คงเดิมทั้งกระจังหน้าเสริมโครเมี่ยมแบบสามมิติที่ลาดต่ำลงเพื่อความสวยงาม ประดับด้วยสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ขนาดใหญ่ตรงกลางบนลาย 2 แถบ ลายเส้นด้านข้างถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้ายเสริมโครงสร้างตัวรถให้ดูทรงพลังและสง่างามไปพร้อมกัน โดยในรุ่น GLC 220 d มาพร้อมกับระบบไฟหน้าแบบ LED High Performance headlamps และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว 5 ก้าน พร้อมยาง 235/60R18 ในขณะที่รุ่น GLC 220 d AMG Dynamic มาพร้อมชุดไฟหน้าอัจฉริยะแบบ MULTIBEAM LED ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมความดุดันให้กับรถได้ ทั้งขณะเปิดหรือปิดไฟ พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ซึ่งประกอบ ด้วยหลอดไฟ LED ที่ทำงานโดยอิสระจำนวน 84 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคม ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถปรับความเข้มแสง โดยใช้ระบบไฟหน้าให้เข้ากับสภาพการจราจรโดยรอบได้ มาพร้อมกับล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 19 นิ้ว แบบ 5 ก้านคู่พร้อมยาง 235/55R19 และสะดวกสบายด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่เลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า ในรุ่น GLC 220 d AMG Dynamic

ส่วน GLC 220 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic ยังคงกลิ่นอายของความสปอร์ตเอาไว้เช่นเดิมมาพร้อมฝากระจังหน้าแบบ diamond radiator grille มีสัญลักษณ์โลโก้เมอร์เซเดส-เบนซ์ขนาดใหญ่ตรงกลาง โคมไฟหน้าแบบ LED High-performance ที่มาพร้อมไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED fibre-optic เพื่อการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ เส้นสายหลังคา และลายเส้นด้านข้าง ถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้ายเน้นดีไซน์แบบเรียบหรู ล้ำสมัย เสริมโครงสร้างตัวรถให้ดูทรงพลัง และสง่างามไปพร้อมกัน ด้านท้ายเพิ่มความแข็งแกร่งดุดันด้วยปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ พร้อมด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling (กันชนหน้า-หลัง), ล้ออัลลอย ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 19 นิ้ว 5 ก้านคู่ สีเงินสลับดำ พร้อมยางหน้า 235/55 R19 และยางหลัง 255/50 R19 , ระบบกันสะเทือนแบบ Sports suspension, หลังคาซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า

 

ภายในหรูเช่นเดิมหรูหรา ทันสมัย และกว้างขวาง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวโดยเฉพาะ มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 550 ลิตร และสามารถบรรจุได้ถึง 1,600 ลิตรเมื่อพับเบาะที่นั่งด้านหลังลง ในรุ่น GLC 220 d ทั้ง 2รุ่นย่อย และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่กว้างขวางด้วยความจุ 500-1,400 ลิตร ซึ่งนับเป็นความจุที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์กลุ่มเดียวกัน ในรุ่น GLC 220 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic การตกแต่งภายในของรุ่น GLC 220 d จะตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Open-pore brown ash wood พร้อมเบาะหนัง ARTICO สีดำแบบ Comfortที่ง่ายต่อการดูแลรักษา และพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการหน้าจอแบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งเป็นหน้าจอ อินโฟเทนเมนต์ที่ใช้ระบบสัมผัส (Touchscreen) เพื่อใช้ในการควบคุมระบบต่างๆ ของรถโดยผู้ขับขี่สามารถควบคุมและออกคำสั่งได้ด้วยการสัมผัสที่หน้าจอ หรือใช้ Touchpad ดีไซน์ใหม่ มีระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ Bluetooth สำหรับแผงหน้าปัดฝั่งผู้ขับขี่ในรุ่น GLC 220 d AMG Dynamic และ GLC 220 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic จะเป็นระบบ All-Digital instrument display หน้าจอเรือนไมล์แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ คือ Classic, Sporty และ Progressive และมีระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO เสริมเข้ามาด้วย เฉพาะรุ่น GLC 220 d 4MATIC Coupe AMG Dynamic มีระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester®, ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังแบบสปอร์ตพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด ชุดคันเร่ง และแป้นเบรกแบบสปอร์ต เบาะนั่งหุ้มหนังแบบสปอร์ต พรมปูพื้นพร้อมสัญลักษณ์ AMG และระบบไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร

ด้านเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย Mercedes-Benz GLC มาพร้อมกับระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ ECO ที่ช่วยปรับการขับขี่เข้าสู่ระบบประหยัดน้ำมัน, INDIVIDUAL ที่สามารถบันทึกรูปแบบการขับขี่ที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ได้, COMFORT ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, SPORT และ SPORT+ เน้นการเพิ่มความเร้าใจให้กับการขับขี่มากยิ่งขึ้น