เจาะรถเด่น !! Mini Cooper SE เมื่อพรีเมี่ยมคาร์ร่างจิ๋วขอรักษ์โลกด้วยพลังไฟฟ้า คาดเข้าไทย กุมภาพันธ์ นี้

หลังจากเปิดตัวในตลาดต่างประเทศตั้งแต่กลางปีที่แล้วสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจากค่าย มินิ (ในเครือ บีเอ็มดับเบิลยู) ในชื่อ Mini Cooper SE โดยล่าสุดมียอดจองทั่วโลกมากกว่า 45,000 คัน โดยทำตลาดในโซนยุโรป

สำหรับ MINI Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย ด้วยหน้าตาความหล่อยกพื้นฐานจากรุ่น Cooper S Hatch 3 ประตู ขัดเกลาให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ โดยมีความแตกต่างตรงที่ กระจังหน้า ที่มีการปิดทึบมากกว่า ไม่ช่องรับลมได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้เพราะไม่จำเป็นต้องนำลมจากภายมาช่วยระบายความร้อนในเครื่องยนต์นั่นเอง รวมทั้งความสูงของตัวรถนั้น จะสูงกว่าเดิมอีก 18 มม. จุดศูนย์ถ่วงของรถนั้นต่ำลงอีก 30 มม.ตามไปด้วย และที่เท่มากก็คือ ไฟท้ายนั้น เป็นรูปทรงของธง Union Jack ซึ่งเป็นธงชาติประจำประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักรอีกด้วยตัวรถใช้ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายสะท้อนแสง ตัวรถอาจจะมีน้ำหนักมากกว่าเดิมอีกราว 145 กิโลกรัม โดยมีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 1,365 กิโลกรัม

ภายในมีหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว ระบบสัมผัส พร้อมระบบนำทาง, แอร์แบบแยกโซน, ระบบ Mini Connected Remote App ที่สามารถตรวจสอบสถานะของรถได้ผ่านสมาร์ทโฟน ความจุด้านท้ายนั้น มีขนาด 211 ลิตร และเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 จะจุได้เพิ่มอีก 731 ลิตร

รถยนต์ไฟฟ้า 3 ประตูใหม่นั้น ใช้การขับเคลื่อนด้วยพลังจากมอเตอร์ขนาด 135 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่า 180 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 7.3 วินาที และมีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 150 กม./ชม. วิ่งได้ไกลสูงสุด 235 - 270 กิโลเมตร/การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง มีขั้วชาร์จรองรับได้ทั้งแบบ AC และ DC สูงสุด 50 กิโลวัตต์ ทำให้เมื่อชาร์จผ่านแท่นชาร์จเร็ว จะชาร์จได้เต็ม 80% ในระยะเวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น และแบตเตอรี่ขนาด 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง

ในตลาดโลก Mini Cooper SE ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้คันแรกตั้งแต่ มีนาคม 2020 เป็นต้นไปโดยจำหน่ายในโซนยุโรปทั้ง เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ และล่าสุด เมืองไทย อาจเป็นที่แรกในอาเซี่ยน และ อาจเป็นที่ที่สองของโลกที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา พบกัน กุมภาพันธ์นี้

 

ชม Gallery MINI Cooper SE ได้ที่นี่ !!

 

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com