Lexus ES รุ่นปี 2016 เผยตัวจริงแล้วที่อเมริกา

หลังจากเผยตัวจริงกันที่เมืองจีนในช่วงเดือนเมษาที่ผ่านล่าสุด Lexus เผยข้อมูล รุ่น ES MY 2016 สเปคมะกัน

 

 

หลังจากช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา Lexus เคยอุบไต๋เกี่ยวกับยานยนต์ซีดานในสังกัด Lexus ES ว่าจะออกมาในรูปแบบโมเดลใหม่หรือ Facelift แต่หน้าทาปาก จนสื่อมวลชนทั่วโลกตั้งข้อสงสัยและมาเฉลยในงาน Auto Shanghai 2015 ว่าเปิดตัวในจริงในรูปแบบ Facelift แต่หน้าทาปากนี่เอง

เมื่ออาหมวย อาตี๋ ได้ยลโฉมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชาวมะกันก็เป็นประเทศที่สองที่ได้ยลโฉมเช่นกัน คราวนี้  Lexus ES รุ่นปี 2016 สเปคอเมริกานี้เปิดตัวด้วยกัน  2 รุ่น คือ Lexus ES 350 กับ Lexus ES 300h รูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นนี้แทบไม่แตก่างจากเวอร์ชั่นจีน ตั้งแต่ กระจังหน้าใหม่แบบแนวนอน Spindle Grill ขนาดใหญ่ดีไซน์คล้ายกับ All New Lexus RX

ผสมผสานกับไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์แบบ LED แบบ Nike Swoosh  พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL รูปทรงตัว L ไฟตัดหมอกทรงกลม ไฟท้ายรูปทรงตัว L ใหม่ พร้อมขอบฝากระโปรงท้ายตกแต่งด้วยโครเมี่ยมดีไซน์ใหม่ และล้ออัลลลอยด์ดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว แถมมีสีใหม่ให้เลือก 4 สี ได้แก่ Autumn Shimmer, Nightfall Mica, Caviar และ Eminent White Pearl

ภายในหรูหรา โดดเด่น กว่าเดิม ทั้งโทนสีใหม่ทั้งตัวเบาะแผงคอนโซลหน้า ใหม่โดยใช้วัสดุหนังและลายไม้ที่มีคุณภาพทีทีคุณภาพกว่าเก่ารวมถึงการตกแต่ง การจัดวางฟังก์ชั่นต่างๆภายในรถให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายขึ้น พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังกึ่งลายไม้ เบาะนั่งด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 10 ทิศทาง ระบบเครื่องเสียงคุณภาพพร้อมหน้าจอสัมผัสที่เลือกได้ทั้ง 7 นิ้ว หรือ 8 นิ้ว

เครื่องยนต์คือหัวใจสำคัญที่จะนำพารถขับเคลื่อนไปทุกเส้นทางที่ใจปรารถนาด้วยเครืองยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร V6 268 แรงม้าจับคู่กับระบบเกียร์ออโต้ 6 สปีด และระบบขับหน้าแต่ถ้าลูกค้าอยากรักษ์โลก อยากประหยัด ยังมีเครื่องเบนซิน Hybrid ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวม 200 แรงม้า พร้อมให้อัตราสิ้นเปลือง 40 ไมล์/แกลลอน สำหรับในเมือง และ 39 ไมล์/แกลลอน สำหรับเส้นทางนอกเมือง

พร้อมระบบความปลอดภัยเต็มสูตร เช่น ระบบ ล็อคความเร็วอัตโนมัติควบคุมด้วยระบบเรด้าร์ ระบบแจ้งเตือนขณะเปลี่ยนเลน หรือ Lane Departure Alert ไฟหน้าปรับแสงอัตโนมัติ และอื่นๆอีกมากมาย

ถึงแม้ราคาทาง Lexus  ยังไม่เผยแต่อย่างใดแต่จากข้อมูลเดิมตอนเปิดตัวที่เมืองจีนจะเริ่มส่งขึ้นโชว์รูมในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ส่วนเมืองไทยคงต้องรถกันอีกสักระยะ

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com

 

[GALLERY1507]