Deft Go : เยือนถิ่นผู้กล้าบางระจัน…เสริมมงคลให้ชีวิต ที่สิงห์บุรี
- โดย : Autodeft
- 8 มิ.ย. 61 00:00
- 17,993 อ่าน
“ถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนปลาช่อนแม่ลา เทศกาลกินปลาประจำปี” คำขวัญนี้คงเป็นใครไปใม่ได้นอกจากจังหวัดสิงห์บุรี ถึงจังหวัดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทางผ่านเสียมากกว่า แต่อย่างน้อยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงประวัติศาสาสตร์และความรักชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านบางระจัน
จังหวัดสิงห์บุรี ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลาง มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน สร้างขึ้นราว พ.ศ. 1650 โดยพระเจ้าไกรสรราช โอรสพระเจ้าพรหม (พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก) ได้สร้างขึ้น ซึ่งเข้าใจว่าคงจะมาพักขึ้นบก ณ ที่เป็นที่ตั้ง เมืองสิงห์เดิม คือ ตั้งอยู่ลำน้ำจักรสีห์ ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง ในปัจจุบันใกล้วัดหน้าพระธาตุ มีเมืองเก่า เรียกว่า "บ้านหน้าพระลาน" เพื่อที่พระองค์จะเดินทางลงเรือที่วัดปากน้ำ แม่น้ำลพบุรีต่อมาได้ย้ายเมืองไปตั้งทางแม่น้ำน้อยตำบลโพสังโฆ ใต้วัดสิงห์ (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอค่ายบางระจัน)
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าช่วงปี พ.ศ.2310จึงย้ายเมืองสิงห์มาตั้งทางแม่น้ำเจ้าพระยา ริมปากคลองนกกระทุง ตำบลบางมอญ (ปัจจุบัน คือ ตำบลต้นโพธิ์ จังหวัดสิงห์บุรี) ได้มีการจัดรูปการปกครองเมืองระบอบมณฑลเทศาภิบาล จึงได้จัดตั้งกรุงเก่าขึ้นประกอบด้วยเมือง 8 เมือง คือ กรุงเก่า พระพุทธบาท พรหมบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และ อินทร์บุรี ได้มีการยุบเมืองพรหมบุรี เมืองอินทร์บุรีลง ให้เป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสิงห์บุรี และย้ายไปตั้งที่ตำบลบางพุทรา อันเป็นที่ตั้งจังหวัดสิงห์บุรีในปัจจุบัน
การเดินทางมาจังหวัด สิงห์บุรี ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชม. (ประมาณ 140 กม.) โดยใช้ทางหลวงสายเอเชียหมายเลย 2 เดินทางเข้าตัวเมืองโดยที่แรกที่จะพาเที่ยวนั้นเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด ที่ผู้มาเยือนทุกคนต้องแวะไปกราบสักการะทุกคราว นั่นคือ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี
วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเมื่อคำนวนทางปริมาตรซึ่งองค์พระนั้นมีความยาว 47 เมตร 42 เซนติเมตร และมีพุทธลักษณะตามแบบศิลปะสุโขทัยที่งดงาม โดยพระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่าท้าวอู่ทองเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น นอกจากจะได้ชมพระพุทธไสยาสน์ ยังมีพระกาฬ พระพุทธรูปศิลาลงรักปิดทองและพระแก้วอันเป็นพระหล่อนั่งขัดสมาธิเพชร ที่มีพุทธศิลป์งดงาม โดยทั้งพระกาฬและพระแก้วนั้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงใช้เป็นพระประธานใน การถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการครั้นออกมาด้านหน้าวิหารยังจะพบต้นสาละสุดอลังการที่แตกช่อดอกสวยงาม ทำให้วัดพระนอนจักรสีห์กลายเป็นปูชนียสถานอันล้ำค่าที่ควรได้รับการอนุรักษ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาที่มาที่ไป รวมถึงกราบไหว้บูชาเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง
หลังจากไหว้สักการะหลวงพ่อพระนอนจักรสีห์แล้ว จึงเดินทางต่อไปที่อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน ไม่ไกลจากวัดพระนอน ฯ ราวๆ 7 กม. โดยอยู่บนถนนทางหลวงหมายเลข 3032 ตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน โดยอนุสาวรีย์ฯแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยเมื่อเดือน 3 ปีระกา พ.ศ. 2308 ชาวบ้านบางระจันได้รวมพลังกันต่อสู้กับกองทัพพม่าซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลเป็นต่ออย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นพม่ายังยกทัพเข้าตีหมู่บ้านนี้ถึง 8 ครั้ง ใช้เวลานานถึง 5 เดือน
จึงเอาชนะได้เมื่อวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 กล่าวได้ว่าชาวบ้านต้านทานกองทัพได้เป็นเวลานานด้วยกำลังพลเพียงน้อยนิด อนุสาวรีย์วีรชนฯแห่งนี้เป็นรูปหล่อประติมากรรมของหัวหน้าชาวค่ายบางระจันทั้ง 11 คน ค่ายจำลองตามแบบโบราณ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นย์ สวยงาม ยังมีอาคารศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์วีรชนค่ายบางระจัน ซึ่งจัดห้องนิทรรศการอยู่ตลอดโดยแบ่งออกเป็นห้องต่างๆทั้งแสดงเรื่องค่ายบางระจัน เครื่องใช้โบราณ แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย มรดกเมืองสิงห์บุรี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองสิงห์บุรี
พักผ่อนหย่อนใจและชื่นชมวีรกรรมอันกล้าหาญของชาวบ้านบางระจันกันแล้ว ฝั่งตรงข้ามของอนุสาวรีย์วีรชนฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่รวบรวมของกินและวิถีชีวิตย้อนยุค ท่ามกลางความร่มรื่น ของต้นไม้ใหญ่ นั่นคือ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน โดยอยู่ภายในวัดโพธิ์เก้าต้น บรรยากาศภายในตลาดย้อนยุคด้วยซุ้มร้านอาหารตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ มีทั้งร้านขายขนมจีนน้ำยา ก๋วยเตี๋ยว ทอดมันรวม ข้าวแช่ อาหารแห้ง ฯลฯ ถึงขนมไทยหายาก แม้กระทั่งเครื่องดื่มแบบไทยๆ เช่น น้ำลำไย น้ำมะตูม น้ำอัญชัน ก็ยังมีให้เห็นเก๋ไก๋ด้วยภาชนะที่ใส่ทำจากใบจากสาน พร้อมหลอดดูดทำจากก้านบัว
ร้านค้าส่วนใหญ่เสริมเด่นด้วยการแต่งตัวสไตล์ไทยย้อนยุค ถือเป็นการอนุรักษ์ของดั้งเดิมไปในตัว นอกจากของกินหลากหลาย ยังมีซุ้มประตูทางเข้าจำลองค่ายโบราณ ที่ทุกคนไม่ควรพลาดกับการถ่ายรูป และจะมีเหล่านายแบบแต่งชุดนักรบบ้านบางระจันมายืนให้ถ่ายรูปกันอย่างจุใจ พร้อมการแสดงศิลปะพื้นบ้าน เรียกว่าเต็มอิ่ม จุใจกันทั่วหน้าเมื่อได้มาเที่ยวตลาดแห่งนี้
การเดินทางมาเยือนถิ่นวีรชนบ้านบางระจันครั้งนี้ ต้องขอบคุณ ISUZU D-MAX V-Cross MAX 4X4 สปอร์ตออฟโรด เป็นพระเอกคู่ใจ กับพลังดีเปลี่ยนโลก 177 แรงม้า จากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน 3.0 Ddi Blue Power พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ Terrain Command และไม่หลงทางด้วยระบบเนวิเกเตอร์ ผ่านจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว ISUZU iConnect ครั้งต่อไปผมจะพาไปเที่ยวที่ไหน ต้องติดตามกันในคอลัมพ์ Deft's Go
เรื่องและเรียบเรียงโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ที่ได้เปิดโลกใหม่ในการเดินทางท่องเที่ยวแสนพิเศษ กับ ISUZU D-MAX V-Cross MAX 4X4
ที่มาข้อมูล thai.tourismthailand.org, singburi.go.th และ readme
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com