ล่องลงใต้...เข้าสู่มาเลเซีย ไปกับ Nissan Go Anywhere หาดใหญ่ - กัวลาลัมเปอร์ ระยะทาง 717 กิโลเมตร กลุ่มที่ 1
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 27 ก.พ. 63 00:00
- 11,151 อ่าน
ค่ายรถยนต์นิสสันสานต่อกิจกรรม Nissan Go Anywhere ลุยได้ทุกที่ ปีที่ 2 กับการเดินทางท่องเที่ยวตะลุยมาเลเซีย ทั้งสิ้น 8 วัน รวมระยะทางกว่า 2,000 กม. โดยทีมงานได้ร่วมขับขี่เดินทางในครั้งนี้ เป็นกลุ่มที่ 1 กับระยะทาง 717 กม. รับภารกิจเริ่มต้นจากหาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนที่จะขับลงใต้ข้ามประเทศ เข้าสู่ภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย โดยจุดหมายปลายทางที่เมืองหลวง กัวลาลัมเปอร์ Kuala Lumpur
การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลา 3 วันสำหรับกลุ่มแรก โดยในคาราวานนิสสัน Go Anywhere มีรถมากกว่า 10 คัน และรถยนต์นิสสันที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้ มีทั้ง Nissan Navara ,Nissan X-Trail และ Nissan Terra ที่จะพาเราลุยได้ทุกที่ไปยัง มาเลเซียในทริปนี้
24 กุมภาพันธ์ 2563
วันแรกของการเดินทาง เวลาประมาณ 10 โมงเช้า คาราวาน Nissan Go Anywhere เริ่มต้นกันที่หาดใหญ่ เพื่อรับบรีฟรายละเอียดข้อมูลในการเดินทางทั้งหมดในครั้งนี้ ก่อนที่จะล้อหมุนไปที่ด่านพรมแดนสะเดา ซึ่งวันนี้ทีมงานได้ขับรถกระบะ Nissan Navara 4 ประตู เมื่อไปถึงที่จุดหมายแรกด่านพรมแดนสะเดา ก็ได้เตรียมเอกสารพร้อมเดินผ่านด่านตรวจขาออกนอกประเทศ ก่อนที่จะขึ้นรถอีกครั้ง เนื่องจากรถที่จะขับผ่านในช่วงด่านตรวจนี้ต้องมีการระบุชื่อผู้ขับและผู้โดยสารในเอกสารประจำรถแต่ละคัน ซึ่งตัวรถเองจะต้องมี ป้ายวงกลม ติดที่กระจกหน้าของรถด้านซ้ายบอกรายละเอียดต่างๆ รวมไปถึงการติดป้ายทะเบียนพื้นดำตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวทั้งด้านหน้าและด้านหลังรถ ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมประมาณพันกว่าบาท โดยการขออนุญาตในแต่ละครั้งนั้นทำแล้วสามารถใช้ได้ประมาณ 1 เดือน
เมื่อผ่านด่านขาออกไทย ขับต่อไปตามเส้นทางเพื่อเตรียมเข้าสู่ด่านมาเลเซียที่จะเป็นคล้ายๆ กับด่านเก็บงานผ่านทางด่วนขนาดใหญ่หลายๆ ช่อง แต่เนื่องจากการเดินทางในครั้งนี้คาราวานมากันหลายคันและมีการติดต่อประสานกับทางมาเลเซียไว้ก่อนล่วงหน้า จึงเข้าผ่านด่านอีกทางหนึ่งที่ต้องมีการนำสัมภาระติดตัวลงไปผ่านเข้าด่านของมาเลเซีย ก่อนที่จะกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย
สภาพเส้นทางเข้ามาเลเซียแรกเห็นนั้น เป็นถนน 2 เลน แยกฝั่งทางตรงยาวๆ บรรยากาศแบบชานเมืองเล็กน้อย สองข้างทางเป็นต้นไม้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย วิ่งตรงยาวมาได้สักพักก็จะพบกับบรรยากาศความเป็นเมืองติดชายแดนที่มีโรงเรียน ชุมชน ร้านค้าต่างๆ ก่อนที่คาราวานนิสสันจะเข้าสู่ทางด่วน เพื่อไปยังจุดหมายแรกที่เมือง อลอร์ สตาร์
ทางด่วน หรือ เส้นทางหมายเลข E1 เป็นถนนที่วิ่งเหนือสุดไปใต้สุด ในรัฐเกอดะฮ์ (Kedah) ถนนที่วิ่งผ่านเมืองใหญ่ๆ สำคัญของมาเลเซีย โดยการผ่านด่านทางด่วนในครั้งนี้ทีมคาราวานได้เตรียมบัตรแข็งเพื่อไว้สำหรับจ่ายค่าผ่านทาง โดยจะต้องวิ่งเข้าช่อง Touch 'n Go ที่เป็นป้ายสีน้ำเงิน ใช้การแตะบัตรเพื่อผ่านด่านทางด่วน และวิ่งมาได้สักระยะก็เตรียมแยกซ้ายออกไปยังเมือง Alor Setar อลอร์ สตาร์
สำหรับเมือง อลอร์ สตาร์ Alor Setar ตั้งอยู่ในภาคเหนือของมาเลเซีย เป็นเมืองเอกในรัฐเกอดะฮ์ (Kedah) หรือในประวัติศาสตร์ไทยรู้จักกันในชื่อ ไทรบุรี 1 ใน 4 รัฐมลายู ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ตั้งแต่สมัยอยุธยา จนมาถึงในรัชกาลที่ 5 ที่ตอนหลังเรายกเมืองนี้ให้กับอังกฤษ ที่เข้ามายึดอำนาจในดินแดนนี้ ดังนั้นที่นี่จึงมีคนเชื้อสายไทยอยู่ค่อนข้างเยอะ และเห็นได้ว่าในเมืองจะมีวัดไทยอยู่ด้วยนั้นเอง
บรรยากาศในเมืองอลอร์ สตาร์ เอง มีการจราจรในวันธรรมดาที่หนาแน่นไม่เบา ถนนส่วนใหญ่เป็นฝั่งละ 2 เลนแบบมีเกาะกลาง ข้างทางด้านซ้ายเป็นร้านค้าต่างๆ คล้ายบ้านเรา ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทานอาหารกลางวัน ที่ Alor Setar Tower แลนมาร์คสำคัญแห่งหนึ่งของเมือง ที่สูง 165.5 เมตร นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของมาเลเซีย ขึ้นลิฟท์มาด้านบนจะมีห้องอาหารที่สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา โดยโต๊ะที่นั่งทานอาหารตั้งอยู่บนพื้นที่สามารถหมุนไปรอบๆ เพื่อให้เราชมวิวได้แบบรอบเมือง ซึ่งสภาพอากาศโดยรวมแดดค่อนข้างแรงกว่าบ้านเรามากทีเดียว
หลังเติมพลังเสร็จ ล้อหมุนต่อไปยังจุดเช็คอินอีกหนึ่งแลนมาร์คที่มีชื่อเสียงของเมือง อันเป็นสัญลักษณ์ของเมือง อลอร์ สตาร์ มีสุเหร่าซาฮีร์ (Zahir Mosque) ที่มีโดมสีดำ 5 โดม สถาปัตยกรรมแบบมาเลย์-อิสลาม ถูกสร้างขึ้นในปี 1912 ก่อนที่ขบวนจะขับวนรอบๆ เมือง ซึ่งตึกราบ้านช่องแถวนี้สไตล์ชิโนโปรตุกีส บอกเลยว่ามีดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงภูเก็ตบ้านเราไม่น้อย
ล้อหมุนมุ่งหน้าต่อไปยัง Mount Jerai ภูเขาเจไร ที่มีความสูงถึง 1,800 เมตร หรือเรียกกันว่า Kedah Peak แลนมาร์คสำคัญอีกแห่งตั้งแต่ในอดีต นับเป็นจุดหมายเมืองที่ไว้คอยใช้ในการสังเกต ในอดีตจึงเป็นเมืองท่าโบราณสำคัญ ซึ่งด้านบนจะมีหอสังเกตการณ์อยู่ มีการค้าทางเรือเป็นหลักสำคัญ เส้นทางการขับขี่ในช่วงนี้จะเป็นแบบเลนสวนทางรองชานเมืองคล้ายกับในบ้านเรา ผิวถนนขุระขระเล็กน้อย แต่ก็สามารถขับเจ้า Nissan Navara ผ่านไปได้แบบสบายๆ
ก่อนถึงที่พักที่อยู่บนภูเขาเจไรนี้ เส้นทางค่อนข้างแคบเป็นแบบเลนสวนระยะทางขึ้นเขา 12 กม. มีจุดที่ต้องระวังและเลี้ยวโค้งทางชันแบบพับผ้าหลายจุด แต่สภาพเส้นทางค่อนข้างดีทีเดียว รถยนต์สามารถขับขึ้นได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร ไม่นานนักคาราวานนิสสันของเราก็เดินทางขึ้นมาถึงโรงแรม The Jerai Hill Resort ที่พักในค่ำคืนแรกนี้ สัมผัสวิวบนยอดเขาสูง ที่มองลงไปเห็นทั้งเมือง และทะเลช่องแคบมะละกา พร้อมอากาศเย็นสบาย ที่ยิ่งดึกยิ่งหนาวเลยทีเดียว...
25 กุมภาพันธ์ 2563
วันนี้ทีมงานเปลี่ยนรถที่จะใช้ในการเดินทางเป็นอเนกประสงค์ Nissan X-Trail จุดจอดแรกหลังออกจากโรงแรม ระยะทาง 75.8 กม. วิ่งลงเขาทางเดิมก่อนจะขึ้นทางด่วนกันอีกครั้ง การขับขี่ช่วงลงเขาด้วย Nissan X-Trail ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ที่สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์เองได้ ก็ช่วยให้การลงเขาได้อย่างปลอดภัยขึ้น โดยอาศัยการเปลี่ยนเกียร์เพื่อใช้ engine brake ลงทางเขาแบบต่อเนื่องยาวๆ บวกกับพวงมาลัยที่เบาและควบคุมง่าย ก็ให้การขับขี่ที่สะดวกสบายได้อย่างดี
หลังลงเขาและวิ่งเข้าทางด่วนทางตรงแบบยาวๆ ต้องขอบคุณระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ INTELLIGENT CRUISE CONTROL (ICC) ที่มอบความสบายอย่างยิ่ง สามารถชะลอและเพิ่มความเร็วอัตโนมัติ ตามระยะคันหน้าอย่างปลอดภัย สามารถปรับระยะห่างได้ 3 ระดับ ตามความเร็วที่เราตั้งเอาไว้ ที่ 110 กม./ชม. ตามกฎหมายกำหนดของที่นี่ ซึ่งตามข้างทางก็จะมีป้ายเตือนสีเหลืองขนาดใหญ่อยู่ เมื่อใกล้จุดที่มีกล้องจับความเร็วอัตโนมัติ
จุดหมายต่อมา คาราวาน Nissan Go Anywhere ก็มาแวะกันที่ ปราสาทเคลลี (Kellie's Castle) ก่อนทานกลางวัน ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่มีผู้คนมาเก็บภาพความสวยงาม ที่ยังสามารถเข้าไปเดินเยี่ยมชมกันได้แบบใกล้ชิด มีห้องต่างๆ มากมาย รวมถึงห้องลับใต้ดิน สร้างขึ้นโดยวิศวกร ชาวสกอตแลนด์ นามว่า William Kellie Smith แต่สร้างไม่เสร็จเนื่องจากเสียชีวิตไปก่อน ภรรยาและลูกจึงขายปราสาทแห่งนี้ และหลังจากนั้นก็ถูกขายต่อมาเป็นทอดๆ จนในปัจจุบันถูกซื้อและนำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเคยมีภาพยนตร์เรื่อง Anna and the King มาถ่ายทำหนังที่นี่กันด้วย
หลังทานมื้อเที่ยงเติมพลังเรียบร้อย กับอาหารสไตล์โต๊ะจีน ในชุมชนจีน ที่ร้าน Thonglok Seafood, Tanjung Tualang เมนูต่างๆ ค่อนข้างมีความคุ้นเคยกับในบ้านเรา เนื่องจากเป็นเมนูอาหารจีน แต่จะมีบางเมนูที่มาครั้งนี้เพิ่งเคยได้ลองชิม ชื่อว่า อีซัง ที่เอาสารพัดวัตถุดิบมาคลุกราดซอสคล้ายถั่วหนืดๆ และปลาดิบเล็กน้อย
มุ่งหน้าต่อ...ได้เวลาย่อยอาหารกลางวัน ผ่านเส้นทาง Dirt Road ตัดเข้าผ่านป่าในช่วงบ่ายวันนี้ ก่อนขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปยังกัวลาลัมเปอร์ สภาพเส้นทางลัดเลาะป่า เป็นเส้นทางฝุ่นขุรขระ สลับเนินขึ้นลงเล็กน้อย ที่สองข้างทางนั้นเป็นต้นไม้รก และมีตัดผ่านลำธารเล็กๆ ที่ต้องระมัดระวังหินก้อนใหญ่ๆ ที่ขวางอยู่ ซึ่งใน Nissan X-Trail ที่มีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง ก็ช่วยให้สามารถมองเห็นรอบๆ ตัวรถได้ชัดเจน ในขณะที่ขับรถผ่านอุปสรรค มากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมสวิตช์แบบโรเตอร์ (4WD WITH ROTOR SWITCH) สามารถเลือกโหมดการขับเคลื่อนได้ถึง 3 รูปแบบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ ,ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพียงการหมุนสวิตช์ได้อย่างงายดาย และก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นทางด่วน E1 อีกครั้ง ตรงเข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซียนั้น พวกเราก็มาแวะกันที่ริมน้ำ ที่เป็นโซนแคมปิ้ง พักกันก่อนจะมุ่งหน้าลงใต้เข้าเมือง
ช่วงเวลาประมาณ 17.00น. บนทางด่วน E1 มุ่งหน้าเข้ากัวลาลัมเปอร์ เริ่มมีฝนตกโปรยปรายลงมาเล็กน้อยเป็นระยะๆ ซึ่งช่วงการเดินทางสุดท้ายนี้ ก่อนถึงที่พักระยะทางราว 78 กม. ทีมงานได้ปล่อยให้คาราวานวิ่งแบบฟรีรันโดยบอกรายละเอียดรูทเส้นทางคร่าวๆ พร้อมกับชื่อที่พักที่เราจะค้างในคืนนี้
ด้วยความสะดวกสบายกับหน้าจอกลางความบันเทิงที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay เพียงการเสียบสาย เมื่อระบุจุดหมายปลายทางเรียบร้อย ระบบนำทางก็พร้อมแสดงและนำทางได้ผ่านหน้าจอของรถ Nissan X-Trail เรียกได้ว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน เราก็สามารถ Go Anywhere ไปได้ทุกที่ไม่มีหลง
สภาพเส้นทางด่วนในช่วงนี้เริ่มเป็นถนน 3 เลน และ 4 เลน เมืองเข้าใกล้เมืองมากขึ้น จากการกดดูแผนที่ Google Map แล้ว ช่วงในเมืองกัวลาลัมเปอร์การจราจรเริ่มมีติดขัดบ้างแล้วเป็นช่วงๆ และเริ่มมีแยกต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่าถ้าไม่คุ้นเคยเส้นทางและไม่มีแผนที่นำทางแล้ว ก็น่าจะทำเอางงและสับสนเส้นทางไม่น้อย ซึ่งต้องคอยดูแผนที่ดีๆ ไม่ช้ารถในคาราวานแต่ละคันก็มาถึงยัง โรงแรมที่พัก Impiana KLCC Hotel ได้สำเร็จทุกคัน
26 กุมภาพันธ์ 2563
เวลา 8 โมงเช้า คาราวานล้อหมุนออกจากโรงแรมที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองไม่ไกลจากตึกแฝด เปโตรนาสทาวเวอร์ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองปุตราจายา (Putrajaya) หรือศูนย์ราชการของที่นี่ โดยรถยนต์นิสสันที่เราใช้เดินทางกันในวันนี้ก็คืออเนกประสงค์ใหม่ Nissan Terra การขับขี่ช่วงในเมืองกัวลาลัมเปอร์ที่ค่อนข้างมีการจราจรหนาแน่น และมีแยกต่างๆ มากมาย ก็สามารถขับได้คล่องตัว บวกกับรถที่สูงก็ได้มอบทัศนวิสัยที่ดี และการขับขี่ต้องขอแนะนำว่าควรเปิดดูเส้นทางคร่าวๆ ก่อน เพราะในขณะที่ขับขี่ช่วงในเมืองสัญญาณของแผนที่อาจจะช้า และทำให้การนำทางไม่แน่นอนนั้นเอง
และสำหรับที่เมืองปุตราจายานี้ ต้องบอกเลยว่ามีความสวยงามของตึกต่างๆ ที่มีดีไซน์สวยงามแปลกตา และมีความใหญ่โตอลังการชวนให้เก็บภาพอย่างมาก ถนนหนทางถูกตัดผ่านเป็นบล็อคๆ อย่างเป็นระเบียบ นับเป็นอีกจุดเช็คอินห้ามพลาดที่จะต้องมาเยี่ยมชมและเก็บภาพเป็นที่ระลึกกัน กับเมืองราชการ เมือง Putrajaya แห่งนี้ ก่อนที่คาราวานกลุ่มที่ 1 Nissan Go Anywhere ของเราจะมุ่งหน้าสู่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเตรียมส่งไม้ต่อให้กลุ่มที่ 2 ที่กำลังเดินทางมาจากประเทศไทย
นับเป็นการสิ้นสุดภารกิจการเดินทางของกลุ่มแรกในครั้งนี้ ตลอด 3 วัน เป็นระยะทางกว่า 717 กิโลเมตร ตั้งแต่หาดใหญ่ มาถึง กัวลาลัมเปอร์ โดยการขับรถในรูปแบบคาราวานท่องเที่ยวกับรถยนต์นิสสัน ที่รวมแล้วมากกว่า 10 คัน นับเป็นอีกหนึ่งความประทับใจกับกิจกรรม Nissan Go Anywhere ในครั้งนี้ ที่นับเป็นปีที่ 2 แล้ว
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com